ในสมองของเฟิ่งเฟยเฟยปรากฏภาพอันพร่าเลือน ความเจ็บปวดเปลี่ยวเหงาตอนบิดามารดาสิ้นใจสมัยเป็นดรุณีน้อย ชื่อเสียงและความรุ่งโรจน์หลังกราบอาจารย์เข้าสำนัก ความลำบากตรากตรำยามทุ่มเทฝึกกระบี่เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากอาจารย์ ภาพยามยิ้มแย้มสนทนากับศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย แต่ละภาพหวนย้อนกลับมาในห้วงคะนึง ก่อนทุกสิ่งจะสลายกลายเป็นหมอกควัน ร่างกายของนางค่อยๆ หยุดดิ้นรน ดวงตาสองข้างสิ้นประกาย
คนผู้นั้นพลิกศพของเฟิ่งเฟยเฟยขึ้นมา สายตาจับจ้องดวงหน้างามคล้ำเขียวของนางแล้วถอนหายใจ “แม้เจ้าจะรู้จักแต่คล้อยตามผู้อื่นเขาไปเสียหมด แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็นับว่าครองตนบริสุทธิ์ และมิได้ทำลายเกียรติของสำนักมากเกินไปนัก ในเมื่อวันนี้เจ้าตายแล้ว ข้าก็มิปรารถนาจะให้เจ้าถูกหยามหมิ่น เฮ้อ เดิมเป็นคนดีแท้ๆ เหตุไฉนจึงมาเป็นโจร ยามนี้หวนคืนสู่ผืนดินแล้วก็จงอย่าเคียดแค้นเสียใจอีกเลย”
สิ้นคำ คนผู้นั้นก็เทยาในขวดหยกในมือลงบนร่างของเฟิ่งเฟยเฟย เพียงครู่เดียวหญิงงามก็สลายกลายเป็นหยดน้ำพิสุทธิ์แอ่งหนึ่งซึมลงสู่ผืนพสุธา หลงเหลือไว้เพียงข้าวของกระจัดกระจายจำนวนหนึ่ง คนผู้นั้นใช้ดินฝังกลบจนหมดสิ้น จากนั้นจึงเดินตามรอยกีบเท้าอาชา ไม่นานก็หายเข้าไปในพงพนา
เดือนเก้า วันที่ยี่สิบสาม ภายในเมืองจงหลี ลู่อวิ๋นหวนกลับมาจากศึกที่ซู่โจวได้มิทันไรก็ทราบข่าวการหายตัวไปของสืออวี้จิ่นกับลู่เหมยพร้อมกันกับเหวยอิงที่รอคอยอยู่ในจงหลีมาหนึ่งคืน เหวยอิงเสียใจยิ่งนักที่มิได้คุ้มกันสตรีทั้งสองมาถึงจงหลี ลู่อวิ๋นกลับมีสีหน้านิ่งขรึมดุจสายน้ำ มิหวั่นไหวแม้สักนิด จนคล้ายกับว่ามิสนใจ แต่เหวยอิงจับสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกลึกล้ำจากตัวของเด็กหนุ่มผู้นี้
เหวยอิงเกลี้ยกล่อมลู่อวิ๋นสองสามประโยค เปิดปากโน้มน้าวให้ลู่อวิ๋นนำทัพลุกขึ้นก่อกบฏช่วยบิดา แต่ลู่อวิ๋นกลับส่ายศีรษะไม่พูดจา ลู่เฟิงที่น้ำตาไหลนองหน้าอยู่ด้านข้างดวงตาฉายประกายวาบ กล่าวเสียงแข็ง “พี่ใหญ่ ต่อให้ท่านไม่แค้นที่พวกเขาทำให้พี่สะใภ้ใหญ่กับน้องสาวหายตัวไป แต่ท่านจะมิสนใจไยดีชีวิตของท่านพ่อหรือ”
ลู่อวิ๋นเก็บสายตาเฉยชากลับไปแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าสาบานจะภักดีต่อแว่นแคว้นดุจเดียวกับบิดา แม้นตายก็มิเสียใจ ท่านพ่อยังยอมให้จับตัวแต่โดยดี มิยอมก่อกบฏ แล้วข้าไฉนจะทำลายชื่อเสียงความภักดีของท่านพ่อได้”
ลู่เฟิงว่าอย่างโมโห “เพื่อชื่อว่าภักดี จะมิสนใจไยดีความเป็นความตายของครอบครัวก็ได้หรือ พวกเขาหมายจะเข่นฆ่าพวกเราให้หมดสิ้น ไม่เพียงต้องการจะสังหารบิดา แต่ยังต้องการจะสังหารท่าน แล้วยังต้องการสังหารพี่สะใภ้ใหญ่ สังหารเหมยเอ๋อร์ แม้แต่ท่านแม่กับน้องเล็กก็คงหนีไม่พ้นความตาย อาศัยอะไรพวกเราตระกูลลู่ถึงต้องตกตายมิเหลือสักคนถึงจะเรียกว่าภักดี บัดซบ!”
สีหน้าโกรธเกรี้ยวปรากฏบนใบหน้าลู่อวิ๋น เขาสะบัดมือตบลู่เฟิงลงไปกองกับพื้นแล้วชี้หน้าด่าว่า “หากเจ้าคิดเช่นนี้ เจ้าก็มิใช่ลูกหลานตระกูลลู่ของข้า คำสั่งสอนของบิดา เจ้าลืมสิ้นแล้วหรือ”
ลู่เฟิงถ่มเลือดออกจากปาก ตอบอย่างเศร้าสลด “ท่านพ่อมักบอกว่าลูกหลานตระกูลลู่ แม้นตายมิอาจทรยศความภักดี เพื่อแว่นแคว้นมิอาจหวงแหนชีวิต เพื่อประชาชนมิอาจหวงแหนเกียรติยศ แต่ข้าไม่ยอม ข้าไม่มีวันยอม”
ลู่อวิ๋นเอ่ยอย่างเย็นชา “ในเมื่อเจ้าจำได้ แล้วยังกล้ากล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร หากท่านพ่อตกลงจะก่อกบฏ ไฉนจะยอมถูกจับกุมไปเมืองหลวง แม้แต่ท่านพ่อยังทำเช่นนี้ แล้วข้าจะคิดก่อกบฏได้อย่างไร หากข้านำทหารบุกเจี้ยนเย่ น่ากลัวว่าคงจะกลายเป็นทัพหน้าให้กองทัพต้ายง ถึงยามนั้นเจ้าแผ่นดินโฉดเขลากับขุนนางชั่วพวกนั้นก็คงสังหารท่านพ่อได้อย่างถูกต้องชอบธรรม
เกิดเป็นบุตร จะทำให้บิดาต้องกลายเป็นคนมิภักดีได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นท่านพ่อมิก่อกบฏย่อมเป็นเพราะไม่ปรารถนาจะเห็นประชาชนเจียงหนานนับล้านตายท่ามกลางความโกลาหล ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ต่อให้พวกเราทั้งครอบครัวตายสิ้น แต่หากเลี่ยงหายนะของความวุ่นวายภายในได้ก็ถือว่าตายอย่างมีความหมายแล้ว”
ลู่เฟิงหลั่งน้ำตาเป็นโลหิต ตะเบ็งเสียงกล่าวว่า “หรือว่าพี่ใหญ่มิสนใจไยดีชีวิตของท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ เหมยเอ๋อร์กับน้องเล็กสักนิดเลยอย่างนั้นหรือ”
ดวงตาของลู่อวิ๋นฉายแววเจ็บปวดวูบหนึ่ง เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “น้องรอง ตอนนี้ท่านแม่กับน้องเล็กอยู่ในเจี้ยนเย่ หากข้ายกทัพก่อกบฏย่อมทำร้ายพวกเขาเป็นคนแรก อวี้จิ่นกับเหมยเอ๋อร์แม้ว่าจะหายตัวไป แต่สุดท้ายก็ยังไม่พบศพ ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีชีวิตรอด ท่านพ่อกับข้าได้ตายเพื่อแว่นแคว้น ทั้งมิเคืองแค้นและมิเสียใจ แต่เจ้าจะอยู่ที่นี่มิได้ ตอนนี้เจ้าต้องเปลี่ยนชื่อแซ่ หนีไปเสียให้ไกล สืบต่อสายเลือดตระกูลลู่ของพวกเรา นี่ก็คือหน้าที่ของเจ้า”
ลู่เฟิงได้ยินคำนี้ก็หลั่งน้ำตา “พี่ใหญ่ ไม่ ท่านหนีไปด้วยกันกับข้าเถิด แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาฆ่า มิสู้พวกเราจากไปด้วยกัน”
ลู่อวิ๋นหันหลังกลับไป เอ่ยราบเรียบ “ทั้งตระกูล นอกจากท่านพ่อก็มีเพียงข้าที่อยู่ในกองทัพ หากข้าหนีรอดไป เสนาบดีชั่วคนนั้นย่อมเพิ่มโทษใส่ร้ายท่านพ่อ ยิ่งไปกว่านั้นข้าอยู่ข้างนอกวันหนึ่ง เสนาบดีชั่วก็มิอาจวางใจได้วันหนึ่ง เขาย่อมไม่ปล่อยท่านแม่กับน้องเล็ก หากข้าถูกจับกุมตัว พวกเขาจึงจะลดละการตามจับอวี้จิ่น เจ้ากับเหมยเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง มิใช่ว่าท่านพ่อกับข้าจะไม่มีโอกาสรอด”
ลู่เฟิงร้องไห้เสียงดัง “ไม่ ข้าจะไปเจี้ยนเย่ด้วยกันกับพี่ใหญ่ หากจะตาย พวกเราก็ตายด้วยกัน”
ลู่อวิ๋นตวาด “เหลวไหล หากเจ้าตายไปด้วย อนาคตอวี้จิ่นกับเหมยเอ๋อร์ แล้วยังมีท่านแม่กับน้องเล็กจะพึ่งพาผู้ใดได้อีก” กล่าวคำนี้จบ สีหน้าเขาก็อ่อนโยนลงแล้วเอ่ยว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าต้องจำไว้ สมัยก่อนข้าเคยไปนครหลวงต้ายงเพื่อลอบสังหารอาจารย์ปู่ ผู้ใดจะคิดว่าแม้แต่โอกาสลงมือยังไม่มี ต้องขายหน้าหมดสิ้น แต่ข้ากลับได้ผูกมิตรกับสหายหลายคน ยามนี้พวกเขามากกว่าครึ่งล้วนเข้าสู่สนามรบแล้ว มิว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือเหตุผลส่วนตัว หากเจ้าพบพวกเขา พวกเขาย่อมปกป้องเจ้า
แต่ต่อให้อาจารย์ปู่เคยพูดว่าวันหน้าหากพบความยากลำบากให้พึ่งเขาได้ แต่พวกเราลูกหลานตระกูลลู่ จะหันไปเข้ากับแคว้นศัตรูได้อย่างไร ดังนั้นเจ้าต้องจำเอาไว้ แม้นจนตรอกชีวิตแขวนบนเส้นด้ายก็ห้ามหันไปเข้ากับต้ายงเด็ดขาด ยิ่งมิอาจเป็นศัตรูกับหนานฉู่”
ลู่เฟิงทราบว่าวาจาของพี่ใหญ่หนักแน่นดั่งขุนเขา อีกทั้งเขายังมีท่าทางละม้ายคล้ายบิดาจึงมิกล้าขัดอีก เพียงพยักหน้ารับเงียบๆ น้ำตาสีเลือดหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นบนฝุ่นดิน
ลู่อวิ๋นไม่หันกลับมา แต่น้ำเสียงก็มีความเศร้าสร้อยเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน บอกว่า “เจ้าไปเถิด หากมิใช่ว่ากองทัพไหวซียังมิเคลื่อนไหว ผู้แทนพระองค์จากราชสำนักก็คงมาถึงจงหลีแล้ว หากว่ายังมีโอกาสพบหน้าอวี้จิ่น ฝากบอกนางแทนข้า ขอให้นางอย่าถือโทษพ่อตา ความลำบากใจของท่านพ่อตา สุดท้ายนางย่อมเข้าใจ”
หัวใจของลู่เฟิงโศกเศร้าคับแค้น เขาคิดในใจว่าหากมิใช่เพราะสือกวนหันไปเข้ากับซั่งเหวยจวินรวดเร็วเช่นนี้ ครอบครัวของตนก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ขณะที่กำลังจะเปิดปากผรุสวาทก็ได้ยินเสียงน้ำหยดกระทบพื้น เขาเห็นหัวไหล่ของพี่ใหญ่สั่นเทา เขามิต้องการให้พี่ใหญ่เจ็บปวดใจอีกจึงร่ำไห้วิ่งออกไปด้านนอก
ผ่านไปเนิ่นนานลู่อวิ๋นก็หันกลับมา ประสานมือคำนับเหวยอิงที่ยืนเงียบงันอยู่ด้านข้าง “ท่านลุงเหวย ทำให้ท่านผิดหวังแล้ว ขอให้ท่านโปรดทุ่มเทกับคำฝากฝังของท่านพ่อ”
หัวใจของเหวยอิงเจ็บปวดสุดแสน ฝืนกลั้นความโศกสลดเอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพน้อยมิเสียทีเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลลู่ แม่ทัพใหญ่คงคาดไว้แล้วว่าต่อให้ผู้แซ่เหวยคิดฝืนความต้องการของเขาก็มิมีประโยชน์”
ลู่อวิ๋นตอบเสียงเบา “ลู่อวิ๋นทำให้ท่านลุงผิดหวัง แต่หากวันหน้าท่านลุงได้พบหน้าภรรยาของผู้น้อย ได้โปรดบอกนางว่าท่านพ่อตาเองก็ไร้ทางเลือก เขาทำเช่นนี้เพราะต้องการบีบภรรยาให้หนีไป ภรรยาของผู้น้อยนิสัยแข็งกร้าว หากท่านพ่อตามิทำเช่นนี้ นางคงไม่มีวันยอมหลบลี้หนีภัยไปจากไหวซีอย่างแน่นอน”
เหวยอิงถอนหายใจ “เหวยอิงไม่มีคำใดจะกล่าวได้อีกแล้ว ข้าจะเดินทางไปไหวตงพบแม่ทัพหยาง เพื่อทำตามคำบัญชาของแม่ทัพใหญ่ทันที” กล่าวจบก็หมุนตัวจากไปอย่างหม่นหมอง
เหวยอิงออกจากจงหลีก็ห้ออาชาตลอดทางรีบเร่งเดินทางไปก่วงหลิง ที่แห่งนั้นคือที่ตั้งค่ายใหญ่ของกองทัพไหวตง เพิ่งเข้าเขตไหวตง เหวยอิงก็ทราบข่าวเรื่องหนึ่ง จักรพรรดิต้ายงหลี่จื้อพิโรธเพราะศึกที่เซียงหยาง ฉีอ๋องหลี่เสี่ยน รัชทายาทหลี่จวิ้น แม่ทัพใหญ่เซียงหยางจ่างซุนจี้ล้วนถูกตำหนิ ส่วนเจียงเจ๋อผู้เป็นตัวก่อเรื่องยิ่งถูกลดบรรดาศักดิ์หักเบี้ยหวัด
เจียงเจ๋อผู้แต่เดิมได้ครองบรรดาศักดิ์กั๋วโหวจึงกลับมาเป็นเซียงโหวอีกหน ได้ยินว่าหากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อ เกรงว่าแม้แต่บรรดาศักดิ์โหวก็คงรักษาเอาไว้มิได้ ยิ่งไปกว่านั้นเพราะสงครามดำเนินไปมิราบรื่น หลี่จื้อจึงออกคำสั่งให้กองทัพต้ายงกระชับแนวป้องกัน แล้วยังให้ขุนนางคนสำคัญของต้ายงส่งหนังสือขอเจรจาหยุดรบอีก
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน นั่นย่อมเป็นข่าวดีอย่างแน่แท้ แต่ยามนี้ มันกลับเป็นเทียบเชิญจากพญายมที่ส่งมาปลิดชีวิตฉกชิงดวงวิญญาณ หลังจากเหวยอิงได้ข่าว ในที่สุดเขาก็กระอักเลือดรินรดพสุธา ห้วงเวลานี้เขาได้รู้ซึ้งถึงความอำมหิตและถี่ถ้วนในแผนการของเจียงเจ๋อซ้ำอีกครั้ง คนผู้นั้นมิมีทางหลงเหลือโอกาสไว้ให้ผู้อื่นแม้แต่เศษเสี้ยว