War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2399
ตอนที่ 2,399 : พบเจอกลุ่มเล็กๆ
กล่าวได้ว่า
หากเป็นเซียนอมตะเสเพล ที่ไม่ได้บ่มเพาะร่างวิญญาณควบแน่นล่ะก็ ด้วยพลังของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน บวกกับกระบี่เซียนอมตะที่เขาพึ่งได้มา ต่อให้เป็นเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์ ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะสู้ไม่ได้!
ทว่าหากเป็นเซียนอมตะเสเพลที่บ่มเพาะร่างวิญญาณควบแน่นล่ะก็ แม้จะเป็นเพียงเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์ แต่หากเขาลงมือฆ่ามันก่อนที่จะใช้ทักษะวิญญาณไม่ทัน ก็นับว่าเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวง!
ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็เคยถามเรื่องราวของเซียนอมตะเสเพลจากข้ารับใช้อย่างเฉินอี้หรูมาบ้างแล้ว…
ทว่าจากข้อมูลที่เฉินอี้หรูกล่าวบอกเขามา ตัวเขาก็ไม่เคยได้ยินว่าในภูมิภาคเบื้องบนจะมีเซียนอมตะเสเพลที่บ่มเพาะร่างวิญญาณควบแน่นมาก่อนเลย
ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันทีว่าเซียนอมตะเสเพลที่บ่มเพาะร่างวิญญาณควบแน่นนั้น หาได้ยากยิ่งนัก
แต่เป็นธรรมดาว่า หายากไม่ใช่ไม่มี!
เฉินอี้หรูไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีตัวตนดังกล่าวดำรงอยู่
‘จากที่พวกมันบอกมา เซียนอมตะเสเพลจากระนาบโลกียะของพวกมันอย่างน้อยๆก็เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์นี่นับร้อย…อีกทั้งไม่ว่าพวกมันคนใดก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าระนาบโลกียะของพวกมัน ไม่ใช่ระนาบโลกียะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด…กล่าวได้ว่าระนาบโลกียะอื่นๆอีก 2 ระนาบสมควรมีเซียนอมตะเสเพลมากกว่าของพวกมัน’
‘ในเมื่อมีเซียนอมตะเสเพลมากมายขนาดนี้ ต้องมีบางคนบ่มเพาะร่างควบแน่นวิญญาณแน่’
‘ดูเหมือนการเดินทางในแดนลับต่างสวรรค์ไม่อาจไม่ระวังแล้วจริงๆ…ไม่ใช่แค่เซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ขึ้นไปที่เป็นภัยกับข้า ยังมีพวกบ่มเพาะร่างควบแน่นวิญญาณอีก!’
นึกถึงเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหนักอึ้งไม่น้อย
ตอนแรกเขาก็หลงคิดว่าในนี้มีแค่เขากับเพื่อนที่เข้ามา
แต่ไม่คิดเลยว่านอกจากเขากับเพื่อนแล้ว ยังมีผู้คนจากระนาบโลกียะอื่นๆอีก 4 ระนาบ
ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาผู้คนจากระนาบอื่นๆ ก็ไม่ขาดยอดฝีมือระดับเฉินอี้หรูเลย!
‘ไม่รู้ว่าด้าน เทียนหวู่ เฉวี่ยไน่ กับซานเตาจะเป็นยังไงบ้าง…’
ตอนแรกที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างเข้าหลุมดำกลางหาวมา เขาก็มาปรากฏตัวในสถานที่แปลกตาไม่คล้ายจุดรวมตัว และแม้จะเฝ้ารออยู่นานก็ไม่เห็นมีใครปรากฏตัวขึ้นมา…
เขาจึงรู้ได้ทันที่ว่า ขณะเข้าสู่หลุมดำนั้นผู้คนจะถูกสุ่มไปที่ต่างๆ
หลังตระหนักได้เขาก็เริ่มออกเดินทางเพียงลำพัง
การเดินทางช่วงแรกๆเขาก็ไม่พบเจอผู้ใดเลย อีกทั้งไม่เจอสมบัติอะไรสักชิ้น
กล่าวได้ว่าตลอดระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมาเขาได้รับก็แค่ กระบี่เซียนอมตะ เล่มเดียว!
ทว่าเท่านี้เขาก็พึงพอใจมากแล้ว เพราะจะอย่างไรเสียเวลาก็พึ่งผ่านไปแค่ครึ่งปีเท่านั้น
เขายังเหลือเวลาอยู่ในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้อีกถึง 9 ปีครึ่ง นั่นมากพอจะให้เขาพบเจอของดีเพิ่มเติม…
‘หากผู้อาวุโสฟงชิงหยางได้รับโชควาสนาจากในนี้แล้วพลังฝีมือสามารถเพิ่มพูนขึ้นไปถึงขั้นเข่นฆ่าเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์กระทั่งทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ได้ทั้งๆที่เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะจริง…เช่นนั้นโชควาสนาที่อาวุโสได้รับมามันคืออะไรกันแน่ แล้วทำซ้ำได้หรือไม่…’
‘หากข้าพบพานวาสนาทั้งโอกาสเช่นนั้นบ้าง…ไม่ต้องกล่าวถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กระทั่งให้เป็นแดนเนรเทศของเผ่าปีศาจข้าก็สามารถบุกเข้าไปได้อย่างสบายใจไม่ต่างใดจากเดินชมสวนหลังบ้าน!’
คิดถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอแสงสว่างเจิดจ้า มองไปยังคล้ายดาราสุกสกาวกลางฟ้าในราตรีกาล
ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!
…
ทันใดนั้นเอง แว่วเสียงของสายลมหนึ่งพัดมาแต่ไกล ดึงความสนใจของต้วนหลิงเทียนทันที
พอหันกลับไปมอง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีร่าง 4ร่างกำลังเหินมุ่งหน้ามาทางเขาแต่ไกล
พอร่างทั้ง 4 เข้าใกล้ในระดับหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้คร่าวๆว่าในบรรดาผู้คนที่มาทั้ง 4 เป็นชาย 3 หญิง 1
จนเมื่อพวกมันเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนมากพอ เขาจึงเห็นรูปร่างหน้าตาทั้งหมดได้ชัด
สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มนั้น แม้รูปร่างหน้าตาจะนำไปเทียบกับภรรยาทั้ง 2 ของเขาและเฟิ่งเทียนหวู่ไม่ได้เลย แต่ใบหน้าแลดูเรียวเล็กเข้ารูป กอปรด้วยทรวดทรงองค์เอวอันอ้อนแอ้นอรชร แถมสีผิวยังขาวอมชมพูประหนึ่งผิวทารก เรียกว่าแลดูบอบบางราวกับทานรับไหวแค่สัมผัสอ่อนโยน…
จึงกล่าวบอกได้เลยว่า หากสตรีนางนี้ถูกจับไปอยู่ในโลกเก่าของเขาเมื่อชาติที่แล้วอย่างน้อยๆนางก็สามารถเป็นดาราหรือเน็ตไอดอลได้ไม่ยาก!
อีก 3 ร่างนั้น ก็ล้วนเป็นชายหนุ่มทั้งหมด
หนึ่งในนั้นแลดูสูงใหญ่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งยากตอแย ทว่าแววตากลับกระจ่างใสเผยปัญญาบอกให้รู้ว่ามันหาได้หยาบกระด้างอย่างที่เห็นเพียงผิวเผินไม่!
ถัดมานั้นรูปร่างปานกลางหน้าตาธรรมดา แววตาซึมเซาคล้ายเฉยเมยไม่คิดแยแสผู้ใดหรืออะไรก็ตามโดยรอบ
คนสุดท้ายรูปร่างสมส่วนใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลาไม่เบาแต่ยังนับว่าด้อยกว่าต้วนหลิงเทียนหลายส่วน
ไม่ว่าจะชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็ดี สตรีหนึ่งเดียวหรือชายหนุ่มหน้าตาเฉยเมยก็ดี นับว่าไม่ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกขัดตาแต่อย่างใด แลดูเฉยๆไม่มีอะไร
มีเพียงชายหนุ่มคนสุดท้ายที่หน้าตาดีรูปร่างสมส่วนผู้นั้นที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น!
‘เห็นหน้ามันก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ตัวดีอะไร…’
ตั้งแต่ต้นจนจบเรียกว่าต้วนหลิงเทียนไม่ประทับใจอะไรในตัวชายหนุ่มคนสุดท้ายผู้นี้เลย
เพราะยามชายหนุ่มผู้นี้มองไปยังสตรีหนึ่งเดียวในกลุ่ม แววตามันเผยความปรารถนาออกมาอย่างยากจะปกปิด ทำราวกับมันรอกดร่างสตรีนางนั้นลงไปแล้วกระทำชำเราไม่ไหวแล้วยังไงยังงั้น
นอกจากนี้เขายังเห็นชัด ว่าตอนที่ชายหนุ่มหน้าตาดีผู้นี้มองไปยังร่างชายหนุ่มสูงใหญ่กับชายหนุ่มที่แลดูเฉยเมยนั้น ในแววตาของมันเผยความดูแคลนหยันหยาม ทำราวกับไม่เห็นอีก 2 คนอยู่ในสายตา
“ตรงนั้นมีผู้คนด้วย! ดูเหมือนว่ากลุ่มเล็กๆของพวกเราในที่สุดก็จักได้รับสมาชิกใหม่อีกคนแล้ว…การเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นหากได้คนเพิ่มอีกคนย่อมปลอดภัยกว่า!”
ก่อนที่ทั้ง 4 จะเข้ามาใกล้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินวาจาของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ชัดถนัดหู
เป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่นหันไปกล่าวกับสหายด้วยความตื่นเต้นยินดี
“อื๊อ หากได้ชายคนนั้นมาร่วมกลุ่มด้วยเป็นคนที่ 5…ข้าว่าก็น่าจะพอแล้ว?”
สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มก็กำลังมองมาทางต้วนหลิงเทียนที่ดั่งจุดดำเล็กๆไม่วางตา แววตานางยังเผยประกายยินดีให้เห็น
“จางยี่ หรงปัว…พวกเจ้าคิดอย่างไร?”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หันไปมองชายหนุ่มที่หน้าตาเฉยเมยกับชายหนุ่มคนสุดท้ายพลางถาม
“ก็ดี”
ชายหนุ่มที่แลดูเฉยเมยเพียงพยักหน้าเบาๆกล่าวออกมาสั้นๆ ทำราวกับวาจามันมีค่าดั่งทอง
“ข้าก็ไม่ว่าอะไร…ขอแค่มันไม่เป็นตัวถ่วงก็พอ”
ชายหนุ่มคนสุดท้ายที่กำลังมองร่างสตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มด้วยสายตาไม่ซื่อ เพียงหันไปเหลือบมองต้วนหลิงเทียนวูบหนึ่งหลังได้ยินคำถาม ก่อนที่จะละสายตาแล้วกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนเลย หากเข้าไปในนั้นแล้วมันเป็นแค่ตัวถ่วงและเจอดีอะไรเข้าล่ะก็ ข้าจะไม่เสียเวลาช่วยมัน!”
“หรงปัว!”
ได้ยินคำของชายหนุ่มหน้าตาดี ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่พลันแย้งออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไหร่ “หากมันเข้าร่วมกลุ่มพวกเราแล้วก็เสมือนลงเรือลำเดียวกัน…เมื่อมันอยู่ในอันตรายพวกเราก็ต้องช่วยเหลือมันเป็นธรรมดา เจ้าพูดมาแบบนี้ไม่คิดว่ามันจะเกินไปหน่อยหรือ?”
“เกินไป?”
ชายหนุ่มนามหรงปัวพอได้ยินคำแย้งของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ มันยิ้มแสยะกล่าวว่า “อย่าว่าแต่มันเลย ไม่ว่าจะเป็นจางยี่หรือหวังฉีเจ้า…หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาข้าก็ไม่สนใจจะช่วยใครทั้งนั้น…”
“อย่างดีที่สุดข้าก็ช่วยแค่หลิ่วเสวียคนเดียวเท่านั้น”
กล่าวถึงท้ายประโยคชายหนุ่มหน้าตาดีก็ละสายตาจากหวังฉีแล้วหันไปมองสตรีข้างๆอย่างไร้ยางอาย
สตรีนามหลิ่วเสวียคล้ายไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย หากแต่นางเพียงขมวดคิ้วไปพักหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร ทว่าลึกลงไปในแววตากลับฉายชัดถึงความกังวล
ได้ยินคำพูดไร้ไมตรีของหรงปัว หวังฉีเองก็ย่นคิ้วด้วยความไม่พอใจ กระทั่งจางยี่ที่มักทำสีหน้าเฉยเมยราวกับเบื่อหน่ายไปทุกสิ่งยังชักสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ออกมา
ทว่าสุดท้ายทั้ง 2 ก็ไม่พูดอะไรออกมา และในแววตายังฉายความกังวลไม่ต่างหลิ่วเสวีย
“เอาล่ะๆ! ไปกันเถอะ!!”
หวังฉีสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่คำ ก็คร้านจะสนใจหรงปัวอีก เพียงกล่าวออกมาเสียงดัง ค่อยเร่งความเร็วมุ่งหน้าเข้าหาร่างม่วงที่ห่างออกไปไกลๆทันที
“ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว…หากไอ้หนุ่มหน้าขาวนี่มันมีพลังฝึกหรือไม่ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ข้าจะไม่ให้มันเข้าร่วมกลุ่ม!”
หรงปัวที่คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่างพลันกล่าวประกาศออกมาทันที ทำให้ร่างจางยี่ และหลิ่วเสวียที่กำลังเหินตามหวังฉีไปสะท้านขึ้นมาทันที
“ไม่ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน? ข้าเองก็ไม่ใช่เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนมิใช่หรือไร?”
หลิ่วเสวียย่นคิ้วเป็นปมกล่าวถาม
“เจ้าเป็นสตรี แต่มันไม่ใช่”
หรงปัวกล่าวพลางเหลือบไปมองร่างในชุดม่วงอีกครั้ง คราวนี้ลึกลงไปในแววตายังเผยประกายเยียบเย็นหนึ่ง
‘ไอ้คนที่ชื่อว่าหรงปัวนั่นมันเป็นอะไรของมัน…ข้ายังไม่ได้ไปทำอะไรให้มันเลยไม่ใช่รึไง?’
ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่ได้ยินวาจาของทั้ง 4ชัดเจน ยังมองเห็นสายตาทั้งท่าทีของทุกคนที่มีต่อเขาอีกด้วย
เรื่องนี้ย่อมทำให้เขางุนงงไม่น้อย
เขาถามตัวเองก็พบว่า เขาไม่เคยพบเคยเจอหรัวปงอะไรนี่มาก่อนด้วยซ้ำ ไฉนอีกฝ่ายถึงได้มองเขาในแง่ร้ายแบบนี้?
“สวัสดีสหาย ข้าเรียกว่าหลิ่วเสวีย”
ไม่นานร่างทั้ง 4 ก็เหินมาถึงจุดที่ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่ก่อนที่สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มจะก้าวออกมาทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม…
ด้วยต้วนหลิงเทียนนั้นรูปร่างสูงทั้งสมส่วน ที่สำคัญหน้าตายังหล่อเหลาเหนือกว่าชายทั้ง 3 ข้างกายของนาง ทำให้หลิ่วเสวียประทับใจต้นหลิงเทียนไม่น้อย
กล่าวได้ว่าความประทับใจของนางทั้งหมดเรียกว่าเกิดจากการที่ต้วนหลิงเทียนหน้าตาดีล้วนๆ!
‘อ้อ แบบนี้นี่เอง…’
พอต้วนหลิงเทียนเห็นว่าในขณะที่หลิ่วเสวียทักทายเขา ลึกลงไปในแววตาของหรงปัวยิ่งมาก็ยิ่งฉายแววเกลียดชังอย่างที่ผู้อื่นยากจะแลเห็น
ที่แท้หรงปัวมันหึงและไม่ชอบใจที่หลิ่วเสวียจะมายุ่งอะไรกับเขา…
“สวัสดีแม่นาง ข้าเรียกว่าต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องคิด ว่าทั้ง 4 ต้องมาจากระนาบโลกียะอื่นๆแน่นอน เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนแต่อย่างไร
กล่าวไปต่อให้ทั้ง 4 มาจากระนาบโลกียะเดียวกันกับเขาจริง เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดอะไรอยู่ดี
“ต้วนหลิงเทียน เมื่อไม่กี่วันก่อนข้ากับหวังฉีบังเอิญเจอสถานที่แห่งหนึ่ง และรู้สึกได้ว่าด้านในน่าจะมีของดีไม่น้อย…ทว่าด้วยพลังของพวกเรามีจำกัดจึงมิกล้าบุกฝ่าเข้าไปด้านใน พวกเราจึงคิดหาคนเพิ่มอีกสัก 2-3 คนเพื่อช่วยเหลือกัน”
“หลังจากตระเวนหาคนไปพักหนึ่งไม่นานพวกเราก็เจอจางยี่กับหรงปัว…และตอนนี้ในบรรดาพวกเรา หรงปัวมีพลังฝึกปรือสูงที่สุด เพราะบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว…”
ทันทีที่วาจาประโยคนี้ของหลิ่วเสวียดังขึ้น หรังปัวพลันเชิดหน้าวางท่าหยิ่งผยองทันที ยังเริ่มมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลน!
“ไอ้หนูหากพลังฝึกปรือเจ้ายังไม่ถึงเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนก็สำเหนียกตัวเองไว้เสียประเสริฐกว่า แล้วจะไปไหนก็ไปเถอะ!”