ตอนที่ 265-1 พี่น้องพานพบ
เขาดึงกระบี่โหราจารย์ออกมาได้ หัวขโมยน้อยคนนี้ดึงกระบี่โหราจารย์ออกมาแล้ว!
สวนดอกไม้น้อยเงียบกริบในฉับพลัน ทุกคนมองเขาอย่างเหลือเชื่อ มีพริบตาหนึ่งที่ทุกคนคิดว่าตนเองเห็นภาพหลอนไปเอง จวบจนดาบโค้งของประมุขตระกูลไซน่าฟันลงมาอีกหน เสียงคมดาบกับคมกระบี่กระทบกันจึงทำให้หัวใจของทุกคนกลับมาเต้นโครมคราม!
“หัวขโมยน้อย เจ้าก็มีความสามารถเหมือนกันนี่!” ประมุขตระกูลไซน่าเงื้อดาบโค้ง เปลี่ยนทางมาโจมตีท้องของเขา กระบวนท่านี้เขารับไม่ได้อย่างแน่นอน ทว่าทันใดนั้นเองมือเรียวยาวประหนึ่งหยกข้างหนึ่งก็เอื้อมจากด้านข้างมาคว้าข้อมือของประมุขตระกูลไซน่าเอาไว้
ประมุขตระกูลไซน่าหันไปมอง แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างคิดไม่ถึง “ท่านเขยน้อยหรือ”
หนนี้ผลัดถึงตาผู้อาวุโสกับผู้นำเผ่าทั้งหลายตกตะลึงบ้างแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ผู้อาวุโสใหญ่แนะนำฐานะของอีกฝ่าย ประมุขตระกูลไซน่าไม่ได้อยู่ด้วยเสียหน่อย เขาทราบได้อย่างไร หรือว่า…ตอนที่พวกเขาพักอยู่ในปราสาทไซน่าก็เปิดเผยตัวตนกับประมุขตระกูลไซน่าไปแล้ว
จีหมิงซิวไม่สนใจอาการตกตะลึงของทุกคน เขากดข้อมือของประมุขตระกูลไซน่าลงช้าๆ สีหน้าเรียบเฉยอย่างยิ่ง ทว่ารูปลักษณ์อันน่าเกรงขามที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั่นทำให้คนไม่อาจปฏิเสธ “ประมุขตระกูลไซน่า ยั้งมือด้วย”
ประมุขตระกูลไซน่ามองจีหมิงซิวด้วยแววตาฉงน แต่สุดท้ายก็ยินยอมเสียบดาบโค้งกลับไปเข้าไปในฝักดาบข้างเอว
ภาพนี้ช่าง…ทำให้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว นักรบผู้กล้าของเผ่ามากมายขนาดนี้ยังดึงกระบี่โหราจารย์ไม่ออก แต่หัวขโมยน้อยที่ถูกประมุขตระกูลไซน่าไล่ตามฆ่าคนหนึ่งกลับดึงออกมาได้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้ทำให้พวกเขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดีจริงๆ
สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือเหตุใดจีหมิงซิวจึงออกหน้าช่วยหัวขโมยน้อย ต้องรู้ก่อนว่าแม้แต่พวกเขายังตอบสนองต่อเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ทัน แต่จีหมิงซิวกลับลงมือรวดเร็วเช่นนี้ คล้ายกับว่าหัวขโมยน้อยผู้นี้เป็นญาติสนิทมิตรสหายอะไรสักอย่างกับเขา
เฉียวเวยมองใต้เท้าเจ้าสำนักที่ถือกระบี่อยู่อย่างประหลาดใจ จากนั้นก็หันไปมองสามีของตนเองด้วยสายตาประหลาดใจต่อ นางรู้สึกไปเองหรือ เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าแววตาที่หมิงซิวมองเจ้าคนชั่วดูแปลกพิกล
จีหมิงซิวเดินมาด้านนี้
ใต้เท้าเจ้าสำนักลุกขึ้นยืน แล้วชี้กระบี่ไปหาจีหมิงซิว “เจ้าจะทำอะไร อย่าเข้ามานะ มิเช่นนั้นข้าจะสังหารเจ้า!”
จีหมิงซิวเดินเข้าไปหาเขาทีละก้าวๆ “เจ้าคือท่านอาที่พาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาบนเกาะคนนั้นใช่หรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกำกระบี่ในมือแน่น “ใช่แล้วอย่างไร จะคิดบัญชีกับข้าหรือ”
จีหมิงซิวเดินมาชิดปลายกระบี่ของเขา ดวงตาจ้องเขาไม่กะพริบ ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกจ้องจนขนหัวลุก จึงเสือกกระบี่ไปจรดลำคอเขา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าอยากสังหารเจ้ามาตลอด เจ้าพาตัวเองมาถึงที่เองก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ”
เฉียวเวยลุกพรวดขึ้นมาทันที “เจ้าคนชั่วเจ้ากล้าหรือ!”
ผู้อาวุโสกับผู้นำเผ่าทั้งหลายมองหน้ากัน นี่มันเรื่องอะไรกัน
แววตาของจีหมิงซิวไม่มีความคิดจะถอยแม้สักนิด เขายกมือเอื้อมไปหาเขา ใต้เท้าเจ้าสำนักคว้ามือของจีหมิงซิวไว้ แต่จีหมิงซิวก็ยกมืออีกข้างขึ้นมาดึงหน้ากากของเขาออก
เฉียวเวยสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด
นางเคยจินตนาการมานับครั้งไม่ถ้วนว่าเจ้าคนผู้นี้อัปลักษณ์เพียงใดถึงสวมหน้ากากสองชั้นบนใบหน้า ทว่าวินาทีที่ได้เห็นจริงๆ นางจึงรู้ว่าตนเองคิดผิดแล้ว นี่เป็นใบหน้าที่งามเทียบเท่าจีหมิงซิว งามราวกับจะขโมยดวงวิญญาณผู้คน เพียงได้ยลก็รู้สึกว่าหัวใจกำลังจะถูกฉกฉวย
แต่สิ่งที่เฉียวเวยประหลาดใจที่สุดไม่ใช่การที่เขาหน้าตางดงามจนตกตะลึง แต่เป็นเพราะเขาเหมือนคนผู้หนึ่งยิ่งนัก…
จีซั่งชิง
คุณพระคุณเจ้า เจ้าคนชั่วคนนี้คงไม่ใช่เด็กที่พ่อสามีของนางมาไข่ทิ้งไว้ข้างนอกหรอกนะ พ่อสามีของนางเคยเดินทางมาเกาะนิรนามตั้งแต่เมื่อใด
ใต้เท้าเจ้าสำนักเสียหน้ากากไปก็ยกสองมือขึ้นปิดบังใบหน้าทันที คนที่เหลือล้วนไม่เคยพบหน้าจีซั่งชิงมาก่อนจึงไม่รู้สึกว่าใบหน้านี้มีอะไรน่าแปลกประหลาดใจ แต่เห็นอีกฝ่ายเหมือนจะลำบากใจ ทุกคนจึงไม่สะดวกจับจ้องเขาต่อ
จีหมิงซิวเอ่ยปากเรียกแผ่วเบา “หมิงเยี่ย?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสวนอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเรียกผู้ใด”
จีหมิงซิวขยับมือไปหาลำคอของเขา เขารีบปัดป้อง แต่เขามิใช่คู่ต่อสู้ของจีหมิงซิวแม้แต่น้อย “ทำไมชอบเอามือไม้มายุ่มย่ามกับข้านัก!”
จีหมิงซิวคว้าแผ่นหยกชิ้นหนึ่งจากบนลำคอของเขา จากนั้นก็หยิบหยกของตนเองออกมาวางซ้อนกันอย่างรวดเร็ว เขายกมันขึ้นส่องกับแสงตะวันจนเห็นว่าหยกชิ้นหนึ่งสลักคำว่าซิว อีกชิ้นหนึ่งสลักคำว่าเยี่ย
“เป็นเจ้าจริงๆ” จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นมา
“คืนมาให้ข้านะ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักแย่งหยกคืนไป
เฉียวเวยเดินเข้ามา ถามจีหมิงซิวเสียงเบา “เขาคือใครหรือ”
จีหมิงซิวตอบเสียงเบา “น้องชายของข้า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพองขน “ผู้ใดเป็นน้องชายของเจ้า เจ้าพูดมั่วซั่ว!”
จีหมิงซิวจ้องเขานิ่งๆ “เจ้ากับท่านพ่อหน้าเหมือนกันจริงๆ”
“คนที่หน้าเหมือนกันมีอยู่ถมไป!”
“เจ้ามีหยกของน้องชายข้า หยกชิ้นนี้ใต้หล้ามีเพียงชิ้นเดียว วันที่เจ้าถูกฝังลงสุสาน มันก็ถูกฝังลงในสุสานตระกูลจีพร้อมกับเจ้าด้วย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตวาดเบาๆ “ผู้ใดถูกฝังลงสุสานแล้วยังจะปีนกลับมาจากสุสานได้ เจ้าโง่หรือเปล่า นี่…หยกนี่เป็นของที่ข้าซื้อมาจากพ่อค้าเร่คนหนึ่ง! บางทีพ่อค้าเร่คนนั้นต่างหากที่เป็นน้องชายของเจ้า!”
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ “พูดเช่นนี้ เจ้ายอมรับว่าน้องชายของข้าปีนออกมาจากสุสานแล้วสินะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสะอึก
จีหมิงซิวไม่ให้โอกาสเขาปฏิเสธอีก เอ่ยต่อว่า “ที่ก้นของเจ้ามีปานอยู่สองดวง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบโดยไม่ทันคิด “ผู้ใดบอก มีดวงเดียวชัดๆ!”
พอเอ่ยจบก็เห็นจีหมิงซิวอมยิ้มมองเขาอยู่ หัวใจเขากระตุกวูบ สำนึกได้ว่าตนเองติดกับแล้ว
จริงดังคิด วินาทีต่อมาเขาก็ได้ยินจีหมิงซิวพูดอย่างไม่รีบร้อน “มีดวงเดียวจริงๆ อยู่ทางขวา รูปร่างเหมือนเปลวเพลิงสีเขียวดวงหนึ่ง”
“ไม่สนใจเจ้าแล้ว!” ใต้เท้าเจ้าสำนักผลักจีหมิงซิวออก แล้วเดินผละออกไปอย่างเย็นชา แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เลี้ยวกลับมาอีกหน แย่งหน้ากากในมือจีหมิงซิวกลับมาสวมบนใบหน้า!
ผู้อาวุโสใหญ่ส่งสายตาให้ผู้อาวุโสห้า ผู้อาวุโสห้ารีบร้อนไล่ตามไป “ท่านโหราจารย์! ท่านโหราจารย์!”
ผู้อาวุโสใหญ่เดินมาหาจีหมิงซิว ถามสีหน้าฉงนว่า “ท่านเขยน้อยเป็นพี่น้องกับคุณชายท่านนั้นหรือ”
“ข้ารู้จักเขา!” องครักษ์ตระกูลปี้หลัวคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา “ข้าเคยได้ยินเรื่องของเขาตอนติดตามท่านฮาจั่วมาที่นี่ เขาเป็นอันธพาลตามถนน! วันๆ ไม่ต่อยผู้อื่นก็ถูกผู้อื่นต่อย!”
ผู้อาวุโสใหญ่กระแอมหนหนึ่งด้วยท่าทางเคร่งขรึม
องครักษ์รีบก้มหน้าลง ลืมสนิทว่าอันธพาลน้อยคนนั้นเพิ่งดึงกระบี่โหราจารย์อออกมาได้ หลังจากนี้ไม่แน่ว่าเขาอาจะเป็นโหราจารย์ของพวกเขา เขาไม่อาจทำตัวไม่เคารพอันธพาลน้อยคนนั้นได้อีกแล้ว
ดวงตาของจีหมิงซิวฉายแววซับซ้อนวูบหนึ่ง “เขาเป็นน้องชายฝาแฝดของข้า เดิมทีคิดว่าเขาจากโลกไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมาอยู่ในเผ่าของพวกเจ้า”