ตอนที่ 2,401 : ระนาบเหยียนหวง!
ฟงชิงหยาง!!
ต้วนหลิงเทียนผงะไปทันทีที่ได้ยินคำของหวังฉี
เขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆ!
กระทั่งคนอย่างหวังฉีที่มาจากระนาบโลกียะอื่น ยังรู้จักอาวุโสฟงชิงหยางด้วย!
สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักได้ทันที ว่าน่ากลัวชื่อเสียงของอาวุโสฟงชิงหยางนั้น จะไม่ได้จำกัดอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเสียแล้ว ยังมีชื่อไม่น้อยในระนาบโลกียะอื่นๆ!
เพราะกระทั่งรุ่นเยาว์ในระนาบโลกียะอื่นๆ ยังรู้จักนามของอาวุโสฟงชิงหยางแบบนี้!
“กล่าวถึงฟงชิงหยาง…ว่ากันว่าครั้งสุดท้ายที่แดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้เปิดออก ได้ปรากฏมรดกสถานของ ‘ต้าหลัวจินเซียน’ ขึ้น และถูกฟงชิงหยางผู้นี้รับสืบทอดไป!”
(ต้าหลัวจินเซียน ประมาณเซียนอมตะทองผู้ยิ่งใหญ่/ จะทับศัพท์ตอนเรียกเต็มยศนะ)
หลิ่วเสวียกล่าว
“ใช่ นามผู้ได้รับสืบทอดมรดกไปเป็นนามนี้ไม่ผิดแน่…”
หวังฉีพยักหน้า พลางกล่าวออกมาด้วยสายตาอิจฉา “ข้ามิรู้ว่าแดนลับต่างสวรรค์ที่เปิดออกมารอบนี้ จักมีมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนปรากฏขึ้นมาอีกหรือไม่…จากข่าวลือที่ข้าได้ฟังมาเห็นว่าแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ ก็เป็นเหล่าต้าหลัวจินเซียนหลายคนที่ร่วมมือกันสร้างขึ้น…”
ผู้พูดไร้เจตนา หากว่าสะท้านใจผู้ฟังนัก!
‘ท่านผู้อาวุโสฟงชิงหยางถึงกับได้รับสืบทอดมรดกของตัวตนอย่าง ต้าหลัวจินเซียนเลยหรือ?’
‘ต้าหลัวจินเซียนนั่น…จากตำนานโบราณในโลกเก่าของข้า ดูเหมือนจะเป็นตำแหน่งผู้นำของเหล่าเซียนอมตะทั้งหลาย’
ได้ยินคำพูดของหลิ่วเสวียกับหวังฉี ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสะท้านอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตามเขาอดถามออกมาไม่ได้ “พี่หวังฉี แล้ว ต้าหลัวจินเซียน คืออะไรหรือ?”
“หา! น้องหลิงเทียน! นี่เจ้าเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์…แต่เจ้ามิรู้หรือว่าต้าหลัวจินเซียนคือตัวตนอันใด!?”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หวังฉีถึงกับอึ้งไปตาปริบๆ ก่อนที่จะเริ่มอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟัง “ต้าหลัวจินเซียนนั้น…หมายถึงตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเซียนอมตะทอง เรียกว่าแม้แต่ในระนาบเทวโลกเอง ตัวตนของต้าหลัวจินเซียนก็นับว่ามีชื่อเสียงไม่น้อย”
“และแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ บรรพชนได้กล่าวกันไว้ว่าสมควรเป็นระนาบที่ถูกต้าหลัวจินเซียนหลายท่านร่วมมือกันสร้างขึ้นมา…และสมบัติที่เลิศล้ำที่สุดในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ก็มิใช่ใดอื่น นอกจากมรดกสถานของเหล่าต้าหลัวจินเซียนทั้งหลาย”
“และครั้งสุดท้ายที่แดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้เปิดออกได้ปรากฏมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนท่านหนึ่ง และเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะนามฟงชิงหยาง สามารถฟันฝ่าอุปสรรคและบททดสอบทั้งมวลได้ก่อนผู้ใด จึงรับมรดกของต้าหลัวจินเซียนไปครอง”
ยิ่งกล่าวแววตาหวังฉียิ่งเผยความอิจฉามากขึ้น
‘ที่แท้ผู้อาวุโสฟงชิงหยาง…ได้รับสืบทอดมรดกของต้าหลัวจินเซียนนี่เอง’
แม้ต้วนหลิงเทียนจะประหลาดใจไม่น้อย แต่เขาก็สามารถยืนยันข้อสันนิษฐานก่อนหน้าได้แล้ว
เป็นผู้อาวุโสพบพานโชควาสนาครั้งใหญ่ในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้จริงๆ! ถึงได้มีพลังอำนาจทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ ทั้งๆที่มีพลังฝึกปรือเพียงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!
เพียงแค่ว่าก่อนหน้าเขาไม่รู้ว่าที่แท้ผู้อาวุโสฟงชิงหยางพบพานวาสนาอันใด…
มาตอนนี้พอได้ฟังคำของหวังฉี เขาจึงได้รู้ว่าที่แท้ผู้อาวุโสฟงชิงหยางกลับได้รับมรดกตกทอดของ ต้าหลัวจินเซียน!!
“เฮอะ! ตัวบ้านนอกหลังเขา!!”
เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนไม่รู้จักแม้แต่ ‘ต้าหลัวจินเซียน’ หรงปัวพลันสบถคำกล่าวเสียดสีออกมา ลึกลงไปในแววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยังเต็มไปด้วยความดูแคลนไม่ขาดรังเกียจเดียจฉันท์
ได้ยินวาจาค่อนแคะของหรงปัว สีหน้าต้วนหลิงเทียนพลันมืดลงทันใด
หรงปัวผู้นี้ มันคิดว่าเขาเป็นคนที่ใครจะมารังแกกันก็ได้ง่ายๆงั้นเหรอ?
“หรงปัว ระวังปากของเจ้า!”
ตอนนี้เองหลิ่วเสวียพลันมองหรงปัด้วยโทสะ “ข้าถามตัวเองดูก็พบว่าต้วนหลิงเทียนไปทำอันใดให้เจ้าหรือก็ไม่! แล้วไฉนเจ้าถึงได้คอยตั้งแง่กับต้วนหลิงเทียนนัก?”
“กลุ่มเล็กๆเช่นพวกเราสำคัญที่สุดย่อมคือความสามัคคี…หากเจ้ามิเต็มใจจะอยู่ร่วมและยอมรับเขานัก เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ พวกเราไม่ต้อนรับเจ้าแล้ว!!”
ยิ่งพูดเสียงของหลิ่วเสวียก็ยิ่งแข็งขึ้นเรื่อยๆ
ตลอดทางที่ผ่านมานางเอือมระอาทั้งรังเกียจสายตาแทะโลมอันหื่นกระหายของหรงปัวที่มองมาไม่เลิกแต่แรก ทว่าด้วยความที่หรงปัวจะอย่างไรก็เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ เกิดอีกฝ่ายคิดชั่วลงมือก่อการอะไรนางก็ไร้หนทางต่อต้าน จึงได้แต่ถ้อยทีถ้อยอาศัยไปอย่างระวัง…
มาตอนนี้พอในกลุ่มมีครึ่งก้าวเซียนอมตะอย่างต้วนหลิงเทียนเพิ่มมาอีกคน นางก็ไม่คิดทนอีกต่อไป ไม่กริ่งเกรงอะไรหรงปัวอีก!
ต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งบ่อเกิดความกล้าของนาง!
“อะไรเล่า…ข้าก็แค่หยอกๆเท่านั้น เจ้าต้องจริงจังขนาดนี้เลยหรือ?”
แม้ในแววตาของหรงปัวจะฉายชัดถึงโทสะหลังได้ยินคำของหลิ่วเสวีย หากแต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้ก่อการใด เพียงกล่าวออกมาเสียงอ่อน
ทว่ายามมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาเริ่มปรากฏเจตนาฆ่าฟันขึ้นมา ราวกับมันอยากจะฉีกร่างต้วนหลิงเทียนให้เป็นชิ้นๆนัก!
เห็นได้ชัดว่ามันเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่ต้วนหลิงเทียน…
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะปรากฏตัวขึ้นมา ในกลุ่มเล็กๆกลุ่มนี้มันประหนึ่งจุดศูนย์กลางของจักรวาล!
หลิ่วเสวีย หวังฉี จางยี่ ได้แต่ทำตามใจมันไม่กล้าแข็งข้อต่อต้าน มันจะเยอะยังไงทุกคนก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน!
ทว่าตอนนี้หลังต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นมา ตำแหน่งศูนย์กลางจักรวาลของมันก็ไม่มีอีกต่อไป! ทุกคนไม่ตามใจมันอีกแล้ว ถึงขั้นยังต่อต้านผลักไสมัน!!
ความแตกต่างขนาดนี้จะไม่ให้มันมีโมโหได้อย่างไรไหว!?
แล้วมันจะไม่เกลียดต้วนหลิงเทียนที่นำพาสิ่งนี้มาได้อย่างไร?
“น้องหลิงเทียนเจ้าก็อย่าได้ถือสาหรงปัวเลย นิสัยมันก็เป็นเช่นนี้ล่ะ…”
ตอนนี้เองกระทั่งหวังฉียังออกหน้ากล่าวขึ้น เพราะเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกมีโมโหอยู่บ้าง แต่เมื่อมีคนออกหน้ากล่าววขึ้น 2 คน เขาก็ได้แต่ยักไหล่ออกมาอย่างไร้แยแส
“ช่างเถอะ…สุนัขข้างถนนเห่าใส่จะให้ไปไล่เตะทุกตัวก็ใช่เรื่อง ข้าไหนเลยจะคิดมากได้?”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา หลิ่วเสวียกับจางยี่ถึงกับอึ้งไปหน้าเหวอ ด้านหวังฉียังอดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้งๆออกมา
“ไอ้หนูหน้าขาว! เจ้าว่าผู้ใดเป็นสุนัขกัน!?”
หรงปัวหันไปถลึงตามองต้วนหลิงเทียนด้วยโทสะ กล่าวถามออกมาอย่างเดือดดาล!
ทว่าต้วนหลิงเทียนกระทั่งชายตายังคร้านจะเหลือบแล ไหนเลยจะสนใจตอบมัน
“เอาล่ะๆ พอได้แล้ว อย่างไรก็กลุ่มเดียวกันจะกระด้างกระเดื่องกันทำอะไร…รีบไปกันต่อเถอะ หาไม่แล้วเกิดมีผู้อื่นพบเจอสถานที่แห่งนั้นก่อนขึ้นมา ทุกอย่างก็สายเกินไปพอดี…”
ตอนนี้เองหวังฉีพลันออกหน้ากล่าวอีกครั้ง เพื่อยุติเรื่องราว
จากนั้นตลอดการเดินทางเรื่องราวก็เงียบสงบดี…
ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนยังได้รับทราบจากหลิ่วเสวียอีกว่า
นางกับหวังฉีนั้นมาจากระนาบโลกียะเดียวกัน และระนาบโลกียะที่ทั้งคู่จากมาก็เรียกว่า ระนาบ ‘ฉีอวิ๋น’ ซึ่งเป็นระนาบโลกียะขนาดใหญ่ ในระนาบแห่งนั้นมีจักรวาลและดาวเคราะห์มากมาย เรียกว่าพื้นที่กว้างใหญไร้ขอบเขต
นอกจากนั้นหรงปัวเองก็มาจากระนาบโลกียะขนาดใหญ่เช่นกัน มีชื่อเรียกว่า ระนาบ ‘คงสิง’ และหรงปัวเองก็เป็นศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในขั่วอำนาจที่ทรงพลังของระนาบคงสิง จัดว่าเป็นคนที่มีอำนาจและอิทธิพลไม่น้อย
และแม้จะเป็นระนาบโลกียะขนาดใหญ่หรือมหาระนาบโลกียะทว่าตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มีอายุไม่ถึง 100 ปีก็นับเป็นชนชั้นสุดยอดอัจฉริยะท้าทายสวรรค์เช่นกัน
แน่นอนว่าความเป็นมาของหรงปัวไม่ใช่มันบอกต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเอง แต่เป็นหลิ่วเสวียกล่าวบอกให้เขารู้
“สำหรับจางยี่เองก็มาจากระนาบโลกียะขนาดใหญ่เช่นกัน…และระนาบโลกียะของจางยี่ก็เรียกว่าระนาบ เหยียนหวง”
หลิ่วเสวียกล่าว
“หืม? ระนาบเหยียนหวง?”
ทันทีที่หลิ่วเสวียกล่าวประโยคนี้จบ ลูกตาต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหดหยีลงทันที ยังหันไปมองจ้องจางยี่เขม็งเร่งกล่าวถามออกมาทันทีว่า
“จางยี่เจ้า…นี่เจ้ามาจากระนาบเหยียนหวงงั้นเหรอ!?”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเสียอาการออกมาให้เห็น
ไฉนที่เขาเสียอาการนั้น เป็นเพราะนามของระนาบโลกียะที่จางยี่จากมาคือ เหยียนหวง!
ต้องทราบด้วยว่าในชาติที่แล้วตอนที่อยู่ในโลกเก่านั้น ผู้คนในประเทศของเขาล้วนถูกเรียกขานว่า “ลูกหลานเหยียนหวง”
ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอก ตัวผู้เฒ่าหั่วเองก็มีต้นกำเนิดมาจากดาวเหยียนหวง!
ดังนั้นทันทีที่ได้รู้ว่าจางยี่มาจากระนาบเหยียนหวง สิ่งแรกที่เขาสงสัยก็คือ…จางยี่ใช่รู้จักดาวเหยียนหวงด้วยหรือไม่?
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าเรื่องราวมันบังเอิญเกินไป และระนาบเหยียนหวงอาจไม่เกี่ยวข้องกับดาวเหยียนหวง เพียงแค่ชื่อมันเหมือนกันเฉยๆเท่านั้น…
ทว่าพอได้ยินคำเหยียนหวง เขาก็ไม่อาจเฉยอยู่ได้ จำต้องกล่าวถามออกมาให้แน่ชัด
“ใช่”
จางยี่ที่เห็นต้วนหลิงเทียนคล้ายจะตื่นเต้นแปลกๆ แม้มันจะไม่รู้ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงเป็นแบบนี้ แต่มันก็ตระหนักได้รางๆ “ทำไมหรือต้วนหลิงเทียน หรือว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องระนาบเหยียนหวงของข้ามาก่อน?”
“จางยี่…แล้วเจ้ารู้จักดาวเหยียนหวงหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนไม่ตอบ เพียงยิงคำถามนี้ออกไปถามจางยี่ต่อทันที ท่าทางยังทำราวกับคิดรักษาม้าตายดุจม้าเป็น…
(รักษาม้าตายดุจม้าเป็น อุปมาว่า แม้จะรู้ดีว่าไร้หนทางแล้ว แต่ก็ทำได้แค่ดันทุรังไปต่อแม้ความหวังจะริบหรี่เต็มที)
กล่าวได้ว่าแม้ในใจเขายังคิดว่าคงยากที่จะมีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้ในโลก ทว่าก็อดถามออกไปไม่ได้
“ดาวเหยียนหวง!”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวถามคำนี้ออกมา จางยี่ก็ชักสีหน้าสงสัยออกมาทันที ยังอดถามออกไปด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “เจ้า…เจ้ามิใช่คนของระนาบเซียนหรือไร? แล้วไฉนเจ้าถึงได้รู้จักดาวเหยียนหวงของระนาบเหยียนหวงข้าได้เล่า?”
สำหรับจางยี่แล้วคำ 3 คำอย่าง ดาวเหยียนหวงนั้น…มันคุ้นเสียจนไม่รู้จะคุ้นไปกว่านี้ได้ยังไงแล้ว…!
เนื่องเพราะสำนักของมันนั้นมีพื้นเพและต้นกำเนิดมาจากดาวเหยียนหวง! ทว่าเพราะพลังวิญญาณฟ้าดินในดาวเหยียนหวงร่อยหรอ บรรพชนของนสำนักมันจึงเลือกที่จะอพยพไปอยู่ดาวอื่น!
“หมายความว่า ในระนาบเหยียนหวงของเจ้ามีดาวเหยียนหวงจริงๆ?”
ได้ยินคำถามของจางยี่ ร่างต้วนหลิงเทียนผงะไปทันที จากนั้นก็เร่งกล่าวถามออกมาอีกครั้ง “เจ้าพอจะบอกเรื่องราวคร่าวๆของดาวเหยียนหวงในระนาบเหยียนหววงของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือไม่!?”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนร้อนใจอยากยืนยันให้แน่ชัด ว่าดาวเหยียนหวงที่จางยี่กล่าวถึงใช่ ‘โลก’ ในชาติที่แล้วของเขาหรือไม่!
“ได้สิ”
แม้ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แต่พอได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถามถึงดาวเหยียนหวงด้วยทีท่าเร่งร้อน ทำให้จางยี่รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันจึงรีบกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ดาวเหยียนหวงนั้น กล่าวไปมันก็เป็นดาวเคราะห์ต้นกำเนิดด้วงหนึ่งในระนาบเหยียนหวงของพวกเรา…”
“ทว่าในระนาบเหยียนหวงของพวกเรา แม้จะมีดาวเคราะห์ต้นกำเนิดอยู่หลายดวง แต่กล่าวไปแล้วกว่าครึ่งของผู้ฝึกตนทั้งหมดในระนาบเหยียนหวง ล้วนมีรากเหง้าและสืบทอดมรดกมาจากดาวเหยียนหวงทั้งสิ้น!”
“ด้วยเหตุนี้ระนาบของพวกเราจึงได้มีนามว่าระนาบเหยียนหวง”
จางยี่มองกล่าวอธิบายออกมาให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างอดทน
“เช่นเดียวกับสำนักเทียนซือของข้า ก็มีต้นกำเนิดมาจากดาวเหยียนหวงเช่นกัน”
จางยี่กล่าวสืบต่อ
“สำนักเทียนซือ?”
ได้ยินคำพูดนี้ของจางยี่ สองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอประกายสว่างจ้าขึ้นมาทันที เพราะเขาได้พบเบาะแสสำคัญเข้าให้แล้ว! คำ ‘เทียนซือ’ นี้ มีปรากกฏอยู่ในบันทึกโบราณมากมาย!!
“สำนักเทียนซือของเจ้า…ข้าขอถามตามตรงผู้ก่อตั้งใช่เรียกว่า ‘จางเต้าหลิง’ หรือที่พวกเจ้ามักเรียกหากันว่าจางเทียนซือหรือไม่?”
(จางเทียนซือนั้น = เป็นฉายาแปลว่า ราชครูสวรรค์แซ่จาง)
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพอจะตระหนักได้อย่างคลุมเครือว่า…
ดาวเหยียนหวงที่จางยี่กล่าวถึง สมควรเป็น ‘โลก’ ที่เขาเคยอยู่ในชาติที่แล้ว!