บทที่ 1068 สหายเก่าพบกันอีกครั้ง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 1068 สหายเก่าพบกันอีกครั้ง

บทที่ 1068 สหายเก่าพบกันอีกครั้ง

“ถ้าเป็นแขกคนสำคัญมอบหมายให้ผู้อำนวยการเหลยรับรองก็ได้นะ แต่ถ้าเป็นแขกธรรมดาให้คนอื่นรับรองเถอะ!”

ฝ่ายเลขาดูขัดเขินเล็กน้อย “เจ้านายครับ ท่านนี้คือผู้อำนวยการหลี่ว์ สหายเก่าของคุณครับ ฝ่ายนั้นได้ยินว่าคุณอยู่ที่โรงงานเลยมาขอพบน่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนพอเดาได้ว่าคนนั้นคือหลี่ว์หรูหยา

“เดี๋ยวนี้เสี่ยวเถียนเป็นเจ้าคนนายคนแล้วหรือเนี่ย เก่งจริง ๆ เลย!” เสียงหัวเราะดังลั่นที่แท้ก็มาจากแขกคนนั้นนั่นเอง

เลขารีบมองไปทางเจ้านายทันที

แขกเข้ามาโดยพลการแบบนี้เธอจะไม่โกรธใช่ไหม?

ถ้าโกรธขึ้นมาเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?

เพราะไม่คิดว่าคนที่บริหารโรงงานขนาดใหญ่ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยจะเป็นคนธรรมดา

ช่วงหลังมานี้ซูเสี่ยวเถียนใช้เวลาอยู่ที่โรงงานมากขึ้น ทำให้ผู้คนทำความเข้าใจต่อเธอใหม่

สิ่งที่คิดไว้ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เด็กสาวพัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยพลังของเหล่าบรรพบุรุษ

แล้วก็รู้ด้วยว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของโรงงานเป็นผลพวงมาจากความพยายามของเธอ

พอเห็นโรงงานพัฒนามากขึ้น และได้การวางแผนจากเด็กสาว เหล่าพนักงานจึงรู้สึกเคารพต่อเธออยู่หลายส่วน

“คุณไปก่อนเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนยิ้ม จากนั้นถึงก้าวออกไปจับมือกับหลี่ว์หรูหยา

เลขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนผู้อำนวยการหลี่ว์เองก็สนิทกับเจ้านายพอสมควร

ความเคารพต่อซูเสี่ยวเถียนในใจของเลขาเพิ่มมากขึ้น

ผู้อำนวยการหลี่ว์เป็นรองผู้อำนวยการโรงงานขนาดใหญ่ของรัฐ เมื่อได้พบกับเจ้านายฝ่ายนั้นจึงเป็นกันเองมาก

เห็นได้เลยว่าเขามองซูเสี่ยวเถียนด้วยความเท่าเทียม

ทั้งสองไม่รู้ว่าเลขากำลังคิดอะไรอยู่

ซูเสี่ยวเถียนเชิญแขกเข้าไปในห้องทำงาน

หลี่ว์หรูหยามองไปรอบ ๆ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เสี่ยวเถียน เธอยังขยันขันแข็งเหมือนเดิมเลยนะ! แม้แต่ในสำนักงานก็ยังเต็มไปด้วยหนังสือ”

“ช่วยไม่ได้นี่คะ ฉันต้องเรียนหนังสือ ยังอายุน้อยอยู่เลย มีหลายอย่างที่ไม่เข้าใจเลยต้องหาอ่านเอาน่ะค่ะ”

เด็กสาวหยิบกระติกน้ำร้อนมาชงชาแล้วแย้มยิ้มบาง

แต่ทำไมหลี่ว์หรูหยารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังโอ้อวดอยู่ล่ะเนี่ย?

“เจ้าเด็กคนนี้ รู้จักพูดเชียวนะ จะบอกว่าตัวเองอายุน้อยแต่ความรู้กว้างขวางสินะ!”

หลี่ว์หรูหยาแกล้ง

ซูเสี่ยวเถียนถึงกับร้องลั่น “ดูที่คุณพูดสิคะ ฉันพูดความจริงต่างหาก แล้วมันกลายเป็นแบบนั้นได้ยังไงเนี่ย?”

หลี่ว์หรูหยาระเบิดหัวเราะ

สองปีมานี้ซูเสี่ยวเถียนรับงานแปลน้อยลง แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับโรงงานไฟฟ้าและโรงงานผ้าไหมก็ยังคงรักษาไว้เป็นอย่างดี

“เมื่อก่อนฉันเคยพูดนะ ว่าจะตั้งใจอ่านหนังสือ แต่อายุปูนนี้แล้วกลับเพ่งสมาธิอ่านไม่ได้เลย”

พอเห็นเด็กตัวน้อยเขาก็ได้แต่เสียใจ

เธอโตขึ้นมาก แต่เรายังคงติดอยู่กับที่ ไม่ได้พัฒนาไปตามยุคสมัย!

“สาวน้อยโตเป็นสาวแล้วนะ ทีแรกยังนึกว่าเป็นโรงงานเล็ก ๆ พอมาเห็นจริงกลับดีกว่าเราเสียอีก”

หลี่ว์หรูหยาหมายถึงว่าครั้งแรกที่พบกัน เจ้าตัวยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย

พริบตาเดียวเธอก็โตเสียแล้ว

แถมยังเก่งกาจสามารถ มีโรงงานที่เจริญรุ่งเรืองและกำลังมากขนาดนี้อีก

ก่อนหน้านี้เขาได้ยินคนงานบอกว่าจะได้รับสวัสดิการเป็นแพ็กเกจของขวัญหลู่เซียงเซียง และผลไม้ลังหนึ่งซึ่งผลิตโดยโรงงานด้วย

ถ้าบอกไม่ตกใจคงจะโกหก

ธุรกิจสองปีนี้ลำบากไม่น้อย ประสิทธิภาพของโรงงานจึงลดลงไปเยอะ

ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางคุณออกัส ป่านนี้โรงงานเราจบเห่แล้ว

ที่จริงไม่ใช่แค่เราหรอก แต่หลาย ๆ ที่ก็ประสบปัญหาเหมือนกันหากไม่ได้การสนับสนุนจากภาครัฐ

แต่โรงงานแปรรูปอาหารไม่เหมือนที่ไหน ๆ เลย

ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานมาหลายปี หลี่ว์หรูหยาบอกได้เลยว่าโรงงานนี้กำไรดีมาก

ซูเสี่ยวเถียนทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับหลี่ว์หรูหยา

“ล้อกันเล่นแล้วค่ะ ของเราไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอก จะเทียบกับโรงงานผ้าไหมได้ยังไงกันคะ!”

หากเอาไปเทียบจริง ๆ โรงงานเธอเล็กกว่ามาก

แต่โรงงานก็เหมือนกับผู้คนนั่นแหละ ต้องเติบโต ไม่มีใครเกิดมาแล้วเป็นผู้ใหญ่เลย

เธอเชื่อว่าวันหนึ่งโรงงานแปรรูปอาหารจะกลายเป็นโรงงานที่มีพนักงานนับพัน หรือนับหมื่น

หลังจากชมกันไปมา ซูเสี่ยวเถียนก็เพิ่งตระหนักได้ว่าหลี่ว์หรูหยาเดินทางมาเอาแพ็กเกจของขวัญให้คนที่โรงงาน

“เรื่องเล็กแค่นี้ต้องรบกวนคุณมาเลยหรือคะ ส่งคนมาไม่ดีกว่าหรือ?”

คำสั่งซื้อแพ็กเกจของขวัญหลายพันชิ้นไม่ถือว่าน้อยสำหรับเรา

แต่สำหรับโรงงานไหมมันก็แค่แพ็กเกจของขวัญไม่เท่าไรเอง ไม่เห็นต้องลงทุนมา

หลี่ว์หรูหยาตอบ “ฉันมาเพราะรู้ว่าเธอเป็นเจ้าของไม่ใช่หรือไง”

ตอนที่รู้ข่าวตนถึงกับเดินทางมาดูให้แน่ใจ ทว่าไม่ใช่แค่นั้นหรอก

เพราะว่าแพ็กเกจของขวัญได้รับความนิยมในเมืองหลวงมาก และชื่อเสียงของโรงงานแปรรูปอาหารหลู่เซียงก็ดูจะเป็นที่รู้จักของผู้คนในชั่วข้ามคืน

ทุกคนรู้ว่าที่นี่เป็นโรงงานเอกชนขนาดเล็ก แต่แซงหน้าโรงงานขนาดใหญ่ของรัฐหลายแห่งไปมากโข แม้แต่โรงงานเนื้อสัตว์ในเมืองยังโดนกดดัน

หลี่ว์หรูหยาเลยอยากมาดูด้วยตัวเองว่า ซูเสี่ยวเถียนพัฒนาให้ไวขนาดนี้ได้ยังไง

“สหายเราเดินทางมาด้วยตัวเอง ดังนั้นฉันจะแสดงความมีน้ำใจในฐานะเจ้าของเองค่ะ ผู้อำนวยการหลี่ว์ ฉันขอพาคุณชมโรงงานเล็ก ๆ ของเรา และช่วยให้คำแนะนำด้วยก็ดีนะคะ”

ซูเสี่ยวเถียนเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม

เธอหวังให้หลู่เซียงเซียงมีชื่อเสียงมากขึ้น หากมีคนมาเยี่ยมชมย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว

เพราะยังไงการพัฒนาของเราล้วนแต่ขึ้นอยู่กับสูตรอาหาร ต่อให้ยืนดูเฉย ๆ ก็ไม่มีทางเรียนรู้กรรมวิธีได้หรอก

แถมหลี่ว์หรูหยายังเป็นผู้อำนวยการโรงงานผ้าไหมไม่ใช่โรงงานเนื้อ ของพวกนั้นจึงไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับเขาสักนิด