เล่ม-1 ตอนที่ 268-1 ความพินาศของตำหนักธิดาเทพ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 268-1 ความพินาศของตำหนักธิดาเทพ

หน้ากากจอมปลอมของตำหนักธิดาเทพถูกฉีกแล้ว ผู้ที่เบิกบานใจที่สุดย่อมไม่พ้นเฉียวเวย ในฐานะเจ้าของที่ถูกลอกเลียน กล่าวได้ว่าเฉียวเวยชิงชังของปลอมรวมถึงพ่อค้าที่ทำของปลอมขึ้นมาสุดหัวใจ ยิ่งเมื่อคนกลุ่มนั้นไร้สิ้นซึ่งมโนธรรม ทำเรื่องชั่วช้ามานับไม่ถ้วน ยามนี้ถูกกรรมตามสนองย่อมทำให้คนสาแก่ใจยิ่งนักจริงๆ

การพิพากษาสิ้นสุด ชาวเผ่าที่มาชมดูก็แยกย้ายกันไปแล้ว เฉียวเวยอยู่ช่วยศาลคุณธรรมจัดการสิ่งที่ต้องทำ ตำหนักธิดาเทพมีคนจำนวนมาก ไม่ใช่แค่สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่มีความผิด ยังมีศิษย์อีกมากมายที่ต้องสอบสวนทีละคนๆ แน่นอนว่า ไม่จำเป็นต้องพิพากษาต่อหน้าคนทั้งเผ่าเช่นวันนี้อีกแล้ว ศิษย์ที่ไร้ความผิดจะไม่พบเรื่องร้ายประการใด แต่หากเป็นผู้ช่วยนางปีศาจเฒ่าฝูงนี้ก็ย่อมไม่มีเรื่องดีๆ อะไรให้พบเจอ

เฉียวเวยมอบเบาะแสให้อีกเล็กน้อย ยุ่งวุ่นวายเสร็จได้ออกมาจากลานประลองพระจันทร์ก็ลอยขึ้นมากลางฟ้าแล้ว นางก้าวออกจากบานประตูใหญ่ของลานประลองก็เห็นเงาคนดำทะมึนผืนหนึ่ง เท้าของนางหยุดชะงัก ท่ามกลางความมืด ดวงตาใสซื่อแฝงแวววิตกกังวลคู่แล้วคู่เล่ามองตรงมาที่นาง องครักษ์บางคนชักกระบี่ออกจากฝักทันที คนกลุ่มนั้นตกใจถอยไปข้างหลัง

เฉียวเวยเอ่ยกับองครักษ์ว่า “พวกเจ้าถอยไปก่อนเถิด”

“ขอรับ” องครักษ์ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอยออกไป แต่พวกเขาไม่ได้ขยับไปไกลนัก ยังคอยกุมกระบี่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเฉียวเวยตลอด

เฉียวเวยเดินมาข้างหน้า สายตามองไปยังชาวเผ่าทั้งหลาย “พวกเจ้าอยู่ตรงนี้กำลังรอข้าอยู่หรือ”

คนมากกว่าครึ่งนิ่งอึ้ง คนที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดใจกล้ากว่าอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ยังผลักกันไป ผลักกันมา ผู้ใดก็มิกล้ายอมเป็นทหารแนวหน้า

เฉียวเวยยิ้ม ถามขึ้นว่า “พวกเจ้าอยากรู้ว่าพิษของแมลงกู่แก้ได้หรือไม่สินะ”

ทุกคนพยักหน้า

เฉียวเวยจึงตอบว่า “ท่านโหราจารย์กำลังค้นหาวิธีรักษาอยู่ พวกเจ้าต้องเชื่อมั่นใจตัวเขา เขาจะต้องหาพบแน่”

มือขวาของทุกคนแยกขึ้นแตะหัวไหล่ซ้าย ก้มต่ำคำนับเฉียวเวยหนึ่งหน

เฉียวเวยผงกศีรษะเล็กน้อย “กลับไปเถิด ไม่จำเป็นต้องรอแล้ว หากพบวิธีรักษาข้าจะแจ้งพวกเจ้าเป็นอย่างแรก”

“ต้อง…ต้องใช้เงินเท่าใดเจ้าคะ” หญิงชราผู้สวมเสื้อผ้าที่มีรอยปะชุนคนหนึ่งถามขึ้นมา

เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ไม่ต้องจ่ายเงิน”

หญิงชรายิ้ม

เฉียวเวยคิดว่าตนไม่เคยมีสำนึกในการเป็นจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าแห่งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นชาวเผ่าเหล่านี้หลุดพ้นจากการหลอกลวงของตำหนักธิดาเทพในที่สุด หัวใจดวงนี้ของนางก็เบิกบานพอสมควร

หลังจากขึ้นไปนั่งบนรถม้า เฉียวเวยก็ฮัมเพลงกลับปราสาทเฮ่อหลัน

ระยะนี้เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนไม่ค่อยได้พบหน้าบิดามารดาจนคิดถึงจะแย่แล้ว พวกเขาขนม้านั่งตัวน้อยมานั่งที่ประตูทางเข้าปราสาทเฮ่อหลันเหมือนสมัยที่รอเฉียวเวยกลับบ้านตอนอยู่ในหมู่บ้าน ผู้อื่นเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

สายลมรัตติกาลหนาวเย็น เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนนั่งเท้าคางอยู่บนม้านั่ง มองรถม้าบนถนนตาปริบๆ รถม้าคันใดแล่นมาก็คิดว่าเป็นท่านพ่อกับท่านแม่ไปเสียหมด แต่ปรากฏว่าทุกคนล้วนเป็นองครักษ์ที่กลับมายังปราสาท

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนถอนหายใจดังเฮ้อ

ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็นั่งอยู่บนพื้นอย่างเรียบร้อย

วันนี้จูเอ๋อร์สวมผ้าคลุมผืนน้อยที่เหมือนกับเฮ่อหลันชิง นางกำนัลชิงเหยียนผู้อ่อนโยนและจิตใจดีงามเป็นคนทำให้ เพื่อที่จะแสดงความงดงามของผ้าคลุมให้ได้มากที่สุด จูเอ๋อร์จึงตั้งใจเลือกมุมที่รับลม เช่นนี้พอลมพัดผ่านมาจึงแลดูองอาจยิ่งนัก

ตอนที่เจ้าตัวน้อยทั้งห้าจ้องถนนจนแทบทะลุแล้วนั่นเอง รถม้าของเฉียวเวยก็มาถึงปราสาทเฮ่อหลันในที่สุด

สารถีเห็นเจ้าตัวน้อยทั้งห้านั่งอยู่ตรงช่องว่างของประตูเรียงจากตัวเล็กไปจนถึงตัวจ้อยก็ตกใจจนพูดไม่ออก

เฉียวเวยเลิกม่านขึ้น เจ้าตัวน้อยทั้งสามมองปราดเดียวก็เห็นนาง พวกมันพุ่งสุดตัวเหมือนวิ่งเข้าสิบเมตรสุดท้ายก่อนเส้นชัย!

พอเจ้าตัวน้อยทั้งสามขยับ เจ้าซาลาเปาทั้งสองคนก็ขยับด้วย!

จูเอ๋อร์สวมผ้าคลุมอันสง่างามองอาจอยู่ มันจึงมั่นใจในตัวเองเพิ่มทบทวี

สายลมเอ๋ย พัดมาเลย!

พัดผ้าคลุมน้อยสีดำแดงของมันให้ปลิวสะบัด

ถูกแล้ว อย่างนั้นแหละ!

มันต้องต้องหล่อเหลาเท่ระเบิดเป็นแน่!

จูเอ๋อร์พุ่งมาเป็นตัวแรกสุด คิดไม่ถึงว่าสายลมกลับพัดแรงเกินไป ผ้าคลุมยาวเกินไป มันไม่ทันระวังทีเดียวผ้าคลุมก็ถูกลมพัดไปอยู่ใต้เท้าของวั่งซู วั่งซูไม่ทันระวังเหยียบลงไป จูเอ๋อร์ล้มบนพื้นดัง แอ้ก! เสี่ยวไป๋กับต้าไป๋เหยียบข้ามร่างของมันไป มันรู้สึกว่าหัวของตัวเองถูกเหยียบจนเป็นหลุม! รอจนมันลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก เจ้าตัวน้อยทั้งสี่ก็วิ่งไปถึงรถม้าของเฉียวเวยหมดแล้ว!

“ท่านแม่!”

“ท่านแม่!”

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองโผเข้าไปในอ้อมแขนของมารดา

เฉียวเวยโอบลูกไว้คนละข้าง กอดพวกเขาแนบแน่น จมูกสูดกลิ่นนมจางๆ จากตัวทั้งสองคน ตื่นเต้นมาทั้งวัน พอทุกสิ่งผ่านพ้นไปแล้วความจริงก็เหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ความเหนื่อยมลายหายไปหมดแล้ว หัวใจรู้สึกอ่อนยวบ น้ำเสียงก็อ่อนโยน “เหตุใดไม่นั่งรอในห้อง มารอข้างนอกหนาวยิ่งนัก”

“คิดถึงท่านแม่! พักนี้ท่านแม่ไม่อยู่บ้านตลอด!” มืออวบอ้วนของวั่งซูกอดคอมารดา ใบหน้าน้อยสีชมพูระเรื่อซุกอยู่กับบ่าของมารดาแล้วออดอ้อน

หัวใจของเฉียวเวยถูกความน่ารักเล่นงาน นางหอมหน้าผากน้อยของอีกฝ่ายแล้วบอกว่า “พักนี้แม่ยุ่งอยู่บ้างก็จริง แต่อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว รอหลังจากทำงานเสร็จ แม่จะพาพวกเจ้าออกไปล่องทะเลจับปลา!”

“ดีเจ้าค่ะ!” วั่งซูตอบรับเสียงหวานจ๋อย

เฉียวเวยหันไปมองบุตรชาย เห็นศีรษะน้อยๆ ของลูกชายคอตก ท่าทางห่อเหี่ยวเหมือนจะไม่สนใจการออกทะเลไปจับปลามากนัก ลูกชายเคยประสบเรื่องเลวร้ายถูกคนโยนลงน้ำ บางทีอาจทิ้งปมที่มิอาจลบเลือนไว้ในใจ

ครุ่นคิดจบ เฉียวเวยก็บอกกับลูกชายว่า “หรือจะไปปีนเขา ไปเก็บเห็ดก็ได้ บนเกาะมีเห็ดมากมายนัก เยอะกว่าในหมู่บ้านเสียอีก”

จิ่งอวิ๋นยังคงทำหน้าไม่พอใจ

เฉียวเวยงุนงงแล้ว

จิ่งอวิ๋นหน้าแดงเล็กน้อย บอกเสียงเบาราวกับยุง “ท่าน…ท่านหอมแต่น้องสาว ไม่หอมข้า”

“ฮ่าๆ!” เฉียวเวยหัวเราะจนตัวโยน ที่แท้ก็หน้าบึ้งเพราะเรื่องนี้เอง คิดว่าตอนที่นางไม่อยู่ ผู้ใดรังแกลูกชายเสียอีก!

เฉียวเวยหอมแก้มจิ่งอวิ๋นเสียหลายที แม้ใบหน้าน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋นจะตีหน้าเคร่งขรึมอยู่ แต่ภายในใจแอบดีใจมากกว่าปกติ

เพื่อชดเชยสิ่งที่ติดค้างเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนในช่วงหลายวันนี้ เฉียวเวยจึงลงครัวทำอาหารมื้อดึกกลิ่นหอมฉุยด้วยตนเอง บะหมี่ทะเลหนึ่งชาม บะหมี่เนื้อรวมมิตรหนึ่งชาม แล้วยังมีนกพิราบทอดกรอบรสชาติโอชาอีกหลายตัว

แน่นอนว่านกพิราบลงไปอยู่ในท้องน้อยๆ ของวั่งซูจนเกือบหมด จิ่งอวิ๋นแย่งมาได้เพียงน่องเดียวเท่านั้น

หลังจากกินอิ่ม เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองก็เดินเล่นในสวนดอกไม้ อาหารย่อยได้พอประมาณแล้วจึงไปอาบน้ำที่น้ำพุร้อน

ในเวลาเดียวกันนี้ อาชาร่างกำยำที่แบกจีหมิงซิวกับใต้เท้าเจ้าสำนักอยู่บนหลังก็วิ่งกลับมาถึงปราสาทเฮ่อหลัน

ใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งรถม้าจนเคยชินแล้ว ความจริงเขาไม่ค่อยถนัดกับการขี่ม้านัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีหมิงซิวแอบวางแผนร้ายกาจ ควบอาชาเร็วราวกับบินเพื่อให้น้องชายกอดตนเอง ท้องไส้ของใต้เท้าเจ้าสำนักกระเทือนจนไส้จะขาดอยู่แล้ว

จีหมิงซิวพลิกกายลงจากม้า ใต้เท้าเจ้าสำนักแข้งขาอ่อนแรงจนลงจากม้าไม่ได้ จีหมิงซิวอมยิ้มมองเขาแล้วยื่นมือออกมา “ข้าอุ้มเจ้า”

“ข้าไม่มีวันให้เจ้าอุ้มหรอก! ข้า…ข้า…ลงเอง! ข้า…อ้ากกก”

ใต้เท้าเจ้าสำนักพลิกตัว ทว่าไม่ทันไรคนก็ร่วงตกจากหลังม้ามาทั้งตัว หล่นลงไปในอ้อมแขนของจีหมิงซิวอย่างตรงเผง

จีหมิงซิวเลิกคิ้วขยับยิ้ม

ใต้เท้าเจ้าสำนักพองขนในพริบตา “แม่…”

จีหมิงซิวเอ่ยเตือน ขัดคำพูดเขา “พ่อข้าก็พ่อเจ้า แม่ข้าก็แม่เจ้า ปู่ข้าก็เป็นปู่ของเจ้าเหมือนกัน”

บัดซบ!

เลือดในร่างใต้เท้าเจ้าสำนักไหลย้อนกลับ เขาโมโหฮึดฮัดถลึงตาใส่จีหมิงซิว หากสายตาสังหารคนได้ จีหมิงซิวคงตายอยู่ต่อหน้าเขาสักร้อยหนแล้ว!

องครักษ์ทุกคนที่ประตูตาก้มมองจมูก จมูกก้มหาหน้าอก ทำเหมือนมองไม่เห็นภาพนี้

ขาของใต้เท้าเจ้าสำนักเริ่มมีความรู้สึกฟื้นกลับมา เขากระโดดลงไปยืนบนพื้นแล้วเดินผละออกไปอย่างเย็นชา

จีหมิงซิวบอกว่า “เดินผิดทางแล้ว นั่นเป็นทางออก”

ใต้ท้าเจ้าสำนักเลี้ยวกลับมาพร้อมกับใบหน้าเรียบสนิท เขาเดินเข้าไปในปราสาทไม่มองจีหมิงซิวแม้แต่หนเดียว

จีหมิงซิวเดินตามไปด้านหลังเขา

ตุ้บ!

บางสิ่งร่วงออกมาจากแขนเสื้อกว้างของเขา

จีหมิงซิวจะก้มลงไปเก็บ แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักชิงคว้าหีบร้อยสมบัติมาไว้แนบอกก่อนเขา “ห้ามแตะของของข้า!”

จีหมิงซิวยิ้มอย่างเอ็นดู “ได้”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกอดหีบสมบัติไว้แน่น กลัวว่าจะถูกจีหมิงซิวแย่งไป หลังจากนั้นเขาก็เดินไปเรื่อยๆ แต่เดินจนขาหมดแรงแล้วก็ยังไม่เห็นจีหมิงซิวที่ตามอยู่ด้านหลังพูดอะไรสักที เขาจึงหยุดฝีเท้า หันขวับกลับไป “แล้วต้องเดินไปที่ใดกันแน่!”

จีหมิงซิวเลิกคิ้ว ตอบด้วยสีหน้าไร้ความผิด “อ้าว ข้าเห็นเจ้าเดินไวปานนี้ ก็คิดว่าเจ้ารู้จักทาง จึงเดินตามเจ้ามา”

ใต้เท้าเจ้าสำนักโกรธจนจมูกเบี้ยว

เจ้าหมอนี่ต้องจงใจแน่ๆ! น่าชังเหลือเกินจริงๆ จีหมิงซิวประสบความสำเร็จในการเบียดนางยักษ์คนนั้นตกอันดับแล้วเหยียบขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในรายชื่อคนน่าชังของเขาแล้ว!

จีหมิงซิวกดมุมปากที่ยกโค้งขึ้นมาลงไปแล้วพาใต้เท้าเจ้าสำนักไปยังห้องนอน

จีหมิงซิวถามว่า “ข้าจะไปจัดห้องให้เจ้า เจ้าจะรออยู่ที่นี่ให้ข้ามาเรียกหลังจัดเสร็จหรือเจ้าจะไปด้วยกัน”

ผู้ใดอยากไปกับเจ้า ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตา “ข้าจะชมจันทร์อยู่ที่นี่!”

กล่าวจบก็เงยหน้ามองโดมท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต ทว่ากลับเห็นว่าผืนนภายามราตรีมีแต่เมฆดำทะมึนปกคลุม แม้แต่ดวงดาวยังไม่มี

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “…”

จีหมิงซิวยิ้มเดินไปที่เรือนทิศใต้

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนอาบน้ำพุร้อนเสร็จ เฉียวเวยก็หยิบเสื้อผ้าเตรียมตัวจะไปอาบน้ำบ้าง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเจ้าคนชั่วผู้นั้นยืนอยู่ที่สวนดอกไม้กำลังเงยหน้ามองฟ้า ดวงตาของเฉียวเวยหรี่ลงทันที “เจ้าเองหรือ เจ้ามาทำอะไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเหยียดหลังตรง เชิดคางขึ้น เอ่ยอย่างโอหัง “เห็นท่านโหราจารย์คนนี้แล้วยังไม่รีบคุกเข่าคำนับอีกหรือ”

“คุกเข่าคำนับ?” เฉียวเวยหรี่ตาลง เจ้าคนชั่ววางท่าในลานประลองตอนบ่ายแล้วติดลมสินะ อยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนั้น นางไม่สะดวกทำอันใดเขา แต่ตอนนี้เขาบุกเข้ามาในถิ่นของนาง นางไม่ให้เขาได้รู้จักความร้ายกาจของนางบ้างก็คงผิดต่อเขาที่เดินทางมาเที่ยวนี้!

เฉียวเวยวางเสื้อผ้าไว้บนโต๊ะหินแล้วถลกแขนเสื้อ จากนั้นจับแขนของเขาดัดมาไว้ด้านหลัง กดเขาลงบนโต๊ะหิน “ตอนบ่ายไว้หน้าเจ้าสามส่วน เจ้าก็เหิมเกริมแล้วสินะ คุกเข่าคำนับอะไร ดูสิว่าข้าจะหักขาเจ้าหรือไม่!”

แขนของใต้เท้าเจ้าสำนักถูกดัดจนเจ็บ ยังไม่ทันได้ร้องขอชีวิต พอได้ยินคำพูดของนาง หว่างคิ้วก็ดีดขึ้นมาทันใด “เจ้ากล้าหรือ! ข้าคือโหราจารย์! เจ้าทำร้ายข้า เจ้าก็จะ…เจ้าก็จะ…”

“ก็จะเป็นอย่างไรเล่า” เฉียวเวยถามอย่างไม่สะทกสะท้าน

ดวงตาของใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกไปมา “ก็จะ…ก็จะโดนโทษประหาร!”

เฉียวเวยเอ่ยลอดไรฟัน “ขู่ข้าใช่หรือไม่”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตวาด “ผู้ใดขู่เจ้า ข้า…เมื่อวานข้าเจอศิษย์ของตำหนักธิดาเทพคนหนึ่ง! อาจารย์ของนางคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง! นางล่วงเกินข้า ตาเฒ่าคนนั้นจึงจับนางตบปากหนึ่งร้อยที แล้วยังโบยอีกห้าสิบไม้! หากเจ้าไม่เชื่อก็ส่งคนไปถาม! ล่วงเกินข้า เจ้าจะตายอนาถอย่างยิ่ง!”

“เช่นนั้นหรือ” เฉียวเวยถามด้วยท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ใต้เท้าเจ้าสำนักเบิกตาจนกลมกล่าวว่า “แน่นอนสิ! เจ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู!”

เฉียวเวยแววตาวาววับ คลี่ยิ้มบอกว่า “ข้าไม่ให้ผู้อื่นรู้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักสะอึก “เจ้า…เจ้า เจ้า เจ้าเหตุใดจึงไร้ยางอายเช่นนี้!”

เฉียวเวยหน้าบึ้ง “บอกว่าข้าไร้ยางอาย ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะไร้ยางอายให้เจ้าดู!”

หัวใจดวงน้อยของใต้เท้าเจ้าสำนักเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ “เจ้าคิดจะทำอะไร!”

เฉียวเวยพลิกร่างเขากลับมาแล้วใช้มือข้างหนึ่งยึดข้อมือเขาไว้เหนือศีรษะ เขาถูกตรึงไว้แน่น กระดิกไม่ได้แม้แต่น้อย เฉียวเวยยื่นมือออกมาคว้าคอเสื้อของเขาแล้วยิ้มชั่วร้าย

ดวงตาของใต้เท้าเจ้าสำนักเบิกโตทันที “นางยักษ์ เจ้าจะทำอะไร! ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าแตะข้าแม้แต่เส้นขน…ข้าจะ…”

ทันใดนั้นปลายหางตาของเฉียวเวยก็เหลือบเห็นเงาดำร่างหนึ่งตรงทางเดิน นางรีบดึงเขาลุกขึ้น จากนั้นทำท่าหยิบบางสิ่งบนหัวไหล่เขาแล้วโยนลงบนพื้น จากนั้นก็แย้มรอยยิ้ม เอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าอย่ากลัวไป ข้าเพียงจะหยิบใบไม้ออกให้เจ้าเท่านั้น เมื่อครู่มีใบไม้ใบหนึ่งร่วงมาติดบนตัวเจ้า”

ใต้เท้าเจ้าสำนักทำหน้ามึนงง

เฉียวเวยยิ้มแย้มบอกว่า “ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทเฮ่อหลันเจ้าถือสียว่าที่นี่คือบ้านของตัวเอง เจ้าต้องการสิ่งใด อยากกินสิ่งใดล้วนบอกข้าได้ ประเดี๋ยวข้าจะไปเลือกบ่าวรับใช้สองคนไว้ให้เจ้าเรียกใช้งาน”

ใต้เท้าเจ้าสำนักขนลุกซู่ในใจ นี่นางจะมาไม้ไหนอีก

จีหมิงซิวเดินเข้ามา เขามองใต้เท้าเจ้าสำนัก จากนั้นก็มองเฉียวเวย แล้วหัวเราะเสียงเบา “พบกันแล้วหรือ”

เฉียวเวยยิ้มละไมตอบว่า “ใช่แล้ว พบกันเมื่อครู่ ท่านนี่ก็จริงๆ เชียว จะพาน้องชายกลับมาบ้านก็ไม่บอกล่วงหน้าสักคำ ข้าจะได้เตรียมมื้อดึกอะไรไว้ให้ ให้คนจัดเก็บห้องหับล่วงหน้าสักหน่อย น้องสามีจะได้ไม่ต้องรออยู่ตรงนี้”

“เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เรื่องเหล่านี้ข้าจัดการเองก็พอ” จีหมิงซิวมองเสื้อผ้าบนโต๊ะ แล้วบอกว่า “เจ้าไปก่อนเถิด”

เฉียวเวยยิ้มอบอุ่นประหนึ่งสายลมวสันต์ “อืม ข้าไปล่ะ พวกท่านค่อยๆ คุยกัน”

เงาร่างอรชรของเฉียวเวยเดินจากไป…

ใช่แล้ว เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น เยื้องย่างอย่างนวยนาด

นางยักษ์ผู้นี้ยามอยู่ต่อหน้าจีหมิงซิวทำตัวอีกแบบอย่างสิ้นเชิง ตาเขาเกือบจะถลนออกจากเบ้าแล้วรู้หรือไม่!

จีหมิงซิวเอ่ยจากใจจริง “เจ้าไร้มารยาทกับข้าได้ แต่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า ต้องระวังสักหน่อย อย่ารังแกนาง”

ใต้เท้าเจ้าสำนักชี้ตัวเอง “ข้า…ข้ารังแกนางหรือ”

เจ้าตาบอดใช่หรือไม่

สตรีนางนั้นตบฝ่ามือเดียววัวก็ตายได้แล้ว!