เล่ม 1 ตอนที่ 267-3 คำพิพากษาของทั้งเผ่า พี่น้องหวนคืนบ้าน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 267-3 คำพิพากษาของทั้งเผ่า พี่น้องหวนคืนบ้าน

เฉียวเวยรู้สึกว่าระบบศาลของเผ่าถ่าน่าไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ความไม่สมบูรณ์แบบก็มีข้อดี เรื่องเช่นนี้หากเกิดขึ้นในจงหยวน ตอนนี้คงทำได้แต่เลิกศาล ใช้เวลาอีกหลายเดือนค้นหาหลักฐาน แต่ชนเผ่าถ่าน่าเชื่อว่าความรู้สึกส่วนลึกของตนเองเป็นการชี้นำขององค์เทพ

ความผิดประการที่สี่คือสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามกับศิษย์ของนางปลอมตัวเป็นทหารม้าเหล็กของเฮ่อหลันชิง

เรื่องนี้ก็มีพยานในเหตุการณ์เช่นกัน พวกเขาก็คืออี้เชียนอินกับเถ้าแก่โรงตีเหล็ก

อี้เชียนอินกลับมาอยู่ในรูปลักษณ์เดิมของตนแล้ว เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเข้าไปใกล้ชิดกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามมาจริงๆ เขายังแสดงวิชาฝ่ามือที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามถ่ายทอดให้เขาวิชานั้นให้ดูอีกด้วย

เถ้าแก่โรงตีเหล็กไม่ทราบเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน เขาเล่าเพียงว่ามีแม่นางหน้าตางดงามหลายคนเข้ามาในโรงตีเหล็กของเขา ถามว่ามีชุดเกราะสีดำหรือไม่ เขาตีเหล็กหาเลี้ยงชีพ ปกติเคยทำเครื่องมือมามากมาย แต่บางครั้งก็จะมีองครักษ์นำชุดเกราะที่เสียหายมาให้ร้านของเขาซ่อมแซมอยู่บ้าง พอซ่อมมากเข้า เขาก็ทำเป็น บางครั้งจึงแอบทำชุดเกราะสองสามชุดขายให้กับนักรบไร้สังกัดพวกนั้น แต่ไม่ได้ทำจำนวนมากนัก อย่างไรเสียการลักลอบทำชุดเกราะก็เป็นเรื่องผิดกฎ

“เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกนางเป็นคนของตำหนักธิดาเทพ” เฉียวเวยถาม

เถ้าแก่โรงตีเหล็กส่ายหน้า โชคดีที่ไม่รู้ หาไม่เขาก็คงตายไปแล้ว

คำให้การของเถ้าแก่โรงตีเหล็กบวกกับคำบอกเล่าของอี้เชียนอิน เพียงพอทำให้ความผิดประการที่สี่ได้รับการยืนยัน

ความผิดสี่ประการแรกถูกตัดสินว่ามีความผิด พอมาถึงความผิดเรื่องที่ธิดาเทพจงใจเหยียบแท่นประกอบพิธีให้ถล่ม แม้จะยังไม่ทันมีหลักฐานแน่ชัด แต่ผู้คนก็เชื่อตามความเคยชินเสียแล้ว

ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าตำหนักธิดาเทพอันศักดิ์สิทธิ์และมิอาจล่วงเกินจะกระทำเรื่องที่ผู้คนต้องประณามมากมายถึงเพียงนี้ จั๋วหม่าน้อยผู้น่าสงสารต้องแบกความผิดแทนพวกนางมากมายถึงเพียงนี้ พอคิดได้ว่าตนเองเคยก่นด่าสาปแช่งจั๋วหม่าน้อย ทุกคนก็ก้มหน้าลงอย่างละอายใจ

เรื่องแมลงกู่ขับขานราตรี ผู้อาวุโสใหญ่พิสูจน์มาด้วยตนเองแล้ว แต่เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายเชื่อ ผู้อาวุโสใหญ่จึงให้องครักษ์ที่ไปตรวจค้นในวันนี้นำของที่ค้นเจอมาแสดงรวมถึงให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างต่อหน้าผู้คน

หากกล่าวว่าความผิดหลายประการก่อนหน้าทำให้คนรู้สึกผิดหวังเพียงเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นข้อหาสุดท้ายที่ว่าอาศัยพิธีรับขวัญใส่แมลงกู่ในร่างทารกแรกเกิดก็ทำให้ผู้คนรับไม่ได้

พวกเขาเชื่อถือตำหนักธิดาเทพปานนั้น ถึงขั้นนำลูกน้อยที่เพิ่งเกิดมาหาพวกนาง ให้เขากลายเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ที่สุดของพวกนาง พวกเขายังเชื่อว่าต้องได้รับคำอวยพรของพวกนางเท่านั้น ลูกๆ ของพวกเขาจึงจะได้สืบต่อวงศ์ตระกูลบนแผ่นดินผืนนี้…

แต่ความจริงกลับเป็นการถูกใส่แมลงกู่ในร่าง

ทั่วทั้งลานประลองโกรธแค้น!

สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายถูกคนสรรเสริญจนเคยตัว ไฉนเลยจะเคยเห็นผู้คนทำหน้าเช่นนี้ใส่พวกนาง

มือของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งขยำแขนเสื้อจนเป็นรู

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับห้าหวาดผวาจนกอดกัน

สีหน้าเคร่งขรึมของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกเริ่มเกิดรอยร้าว

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามเงยหน้ามองชาวเผ่ามากมายที่เบียดเสียดเป็นเงาทะมึนบนชั้นสาม พวกเขากำลังโกรธเกรี้ยวจนยากจะห้ามปราม นางตะโกนอย่างเจ็บแค้น “พวกเจ้าอย่าไปฟังพวกเขาพูดจาเหลวไหล! พวกข้าไม่ได้ใส่แมลงกู่ในร่างพวกจ้า! พวกข้าคือตัวแทนขององค์เทพ! พวกข้าคือคนที่องค์เทพส่งมาปกปักษ์รักษาพวกเจ้า! พวกเขาจุดโทสะให้องค์เทพแล้ว พวกเขาไม่มีสิทธิออกคำสั่งพวกเจ้าอีกต่อไป! สำนักผู้อาวุโส ตระกูลเฮ่อหลัน รวมหัวสมคบกันทำชั่ว! พวกเขาทั้งหมด…”

ปั้ก!

พูดยังไม่ทันจบ พื้นรองเท้าชิ้นหนึ่งก็ฟาดมาเต็มๆ!

คนที่ขว้างมาคือมารดาผู้อุ้มทารกน้อยคนหนึ่ง ลูกของนางเพิ่งอายุครบเดือน เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเคยทำพิธีรับขวัญที่ตำหนักธิดาเทพ

ปั้ก!

รองเท้าอีกข้างหนึ่งถูกปาลงมา!

ครานี้เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง

ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยได้ออกจากเกาะ หลังจากนี้ก็คงจะไม่มีโอกาสอีก ต่อให้รักษาหาย เขาก็แก่ชราเกินไปแล้ว

รองเท้าถูกขว้างลงมามากขึ้นเรื่อยๆ

บางคนมีอาหารแห้งอยู่ในอกเสื้อก็ปาลงไป คนที่โกรธมากกว่านั้นฉวยถุงเงินปาใส่สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่น่าชังกลุ่มนั้น

เหรียญทองระยิบระยับร่วงกราวออกมา

ใต้เท้าเจ้าสำนักตาวาว ปาใส่ข้าสิ ปาใส่ข้าสิ…

การขว้างปาข้าวของเหมือนจะไม่พอระบายเพลิงโทสะของทุกคน ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเริ่ม แต่มีคนเริ่มถ่มน้ำลายใส่สตรีศักดิ์สิทธิ์กลุ่มนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งถูกถ่มน้ำลายใส่ เพลิงโทสะในใจก็ลุกโหมทันที นางใช้วิชาตัวเบาเหินขึ้นไปด้านบน เอื้อมมือออกมาเป็นกรงเล็บคว้าลำคอของสตรีที่ถ่มน้ำลายคนนั้น

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง!” ผู้อาวุโสใหญ่หน้าถอดสีทันที

องครักษ์ทั้งหลายพากันกระโจนออกมาขัดขวางนาง ทว่าผู้ใดจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้เล่า นางเพียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ องครักษ์ทั้งกลุ่มก็ถูกตบกระเด็น

นางบีบคอของคนผู้นั้น มืออีกข้างตั้งท่าจะเอื้อมมาหาเด็กน้อยในอ้อมแขนของนาง ตอนที่นางกำลังจะออกแรงนั่นเอง เงาสีดำร่างหนึ่งก็เหินเข้ามาปานสายฟ้าแลบ แล้วตวัดขาเตะกลางอากาศ ถีบเข้ากลางอกของนางจนนางกระอักเลือดออกมากลางอากาศ มือของนางคลายออก ร่างร่วงดิ่งตกลงไปเบื้องล่าง

เฮ่อหลันชิงรับตัวเด็กน้อยไว้ ปลายเท้าสกิดราวกั้นเพียงนิดเดียวก็หยิบยืมแรงกระโจนไปฝั่งตรงข้าม

เสียงอุทานตกตะลึงระคนยินดีดังกระหึ่มออกมาจากฝูงชน

หญิงสาววิ่งมาฝั่งตรงข้ามแล้วรับตัวเด็กน้อยจากมือของเฮ่อหลันชิง นางซาบซึ้งจนน้ำตาไหลนองหน้า “ขอบคุณจั๋วหม่า! ขอบคุณจั๋วหม่า!”

อั้ยย่ะ เพิ่งเคยถูกคนขอบคุณเป็นครั้งแรก

เฮ่อหลันชิงใช้วิชาตัวเบาเหินลงไปชั้นล่าง นางยืนอยู่เบื้องหน้าสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาพวกนางทีละก้าวๆ พวกนางมองอย่างหวาดกลัว “เจ้าจะทำอะไร”

นางเดินผ่านข้างสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งที่บาดเจ็บหนักจนกระอักเลือด โดยที่หนังตาไม่กระตุกสักนิด “ไม่เคยได้ยินหรือว่าก่อนจะจับงูพิษกลับไป ต้องถอนเขี้ยวพิษของมันก่อน”

ความหนาวยะเยือกแผ่ลามขึ้นมาตามสันหลังของพวกนาง

เฮ่อหลันชิงเอื้อมมือเรียวยาวประหนึ่งหยกออกมาจากใต้ผ้าคลุม เล็บสีแดงขับเน้นให้ผิวขาวของนางยิ่งผุดผ่อง ริมฝีปากสีแดงสดของนางยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มไม่ใส่ใจ ทว่ายิ่งยิ้มกลับยิ่งทำให้คนรู้สึกถึงอันตราย

ขณะที่อยู่ห่างจากพวกนางเพียงก้าวเดียว จู่ๆ นางก็ยกปลายนิ้วสกัดจุดบนร่างพวกนางเบาๆ พวกนางคิดไว้แล้วว่านางจะต้องทำบางอย่าง แม้อยากจะลงมือขัดขวาง แต่จนปัญญาที่เงาร่างของนางขยับรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทอดสายตามองเห็นแต่เงาเลือนรางสายหนึ่ง

เงาเลือนรางแวบผ่านหน้าของพวกนางไป หลังจากนั้นพวกนางต่างก็กรีดร้องลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น

กำลังภายในที่สั่งสมมาครึ่งชีวิตสลายไปหมดสิ้น!

เฮ่อหลันชิงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดมือเบาๆ แล้วโยนทิ้งไว้บนพื้น ก่อนจะหมุนตัวจากไป

เมื่อไม่มีวรยุทธ์แล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์กลุ่มนี้ย่อมถูกสำนักผู้อาวุโสลงโทษได้ตามใจ

สำนักผู้อาวุโสกับผู้นำทั้งหลายหารือกันพักหนึ่งก็เห็นพ้องต้องกันให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายรับโทษสูงสุด

ผู้อาวุโสใหญ่ตบไม้ปลุกสติดังปัง “ขังไว้ในคุกก่อน สามวันให้หลัง ทำการลงโทษ!”

นางปีศาจเฒ่าก็มีวันที่ต้องถูกลงโทษเหมือนกัน ช่างสาแก่ใจยิ่งนักจริงๆ!

นึกถึงตอนที่ตนเองถูกประกาศจับ ถูกทำลายรัง ต้องหลบซ่อนเหมือนหนูตามถนนจนมาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็ได้เห็นนางเฒ่าพวกนี้ถูกกรรมตามสนองแล้ว!

สามวันให้หลัง เขาต้องมาส่งนางปีศาจเฒ่าฝูงนี้ไปปรภพด้วยตนเอง!

ใต้เท้าเจ้าสำนักอารมณ์ดียิ่งนัก แม้แต่เงินบนพื้นก็ลืมเก็บ เดินเชิดผ่านไปพร้อมกับสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับไปยังเมืองน้อย เฟิงซื่อเหนียงยังต้องทำบันทึกคำให้การเล็กน้อยจึงไม่ได้กลับมากับเขาด้วย แต่เขามีกุญแจของร้านสุราน้อย

ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักเปิดประตูท่ามกลางความมมืด จากนั้นจึงไปที่ห้องครัวหาหมั่นโถวเย็นชืดสักก้อนมาเติมท้อง จากนั้นก็ขโมยดื่มสุราองุ่นภูเขาของเฟิงซื่อเหนียงอีกสองสามคำ ว่ากันว่าคนเรายามพบเจอเรื่องน่ายินดีจิตใจจะเบิกบาน คำพูดนี้ช่างกล่าวได้จริงยิ่งนัก

เพียงจินตนาการจุดจบของนางปีศาจเฒ่าพวกนั้น เขาก็หัวเราะออกมาได้แล้ว

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับไปที่ห้องใต้หลังคา

แกรก!

ประตูของร้านสุราถูกคนผลักเข้ามา

ใต้เท้าเจ้าสำนักลุกขึ้นนั่งอย่างระแวง “ผู้ใด”

“ข้าเอง” จีหมิงซิวก้าวขึ้นมาชั้นบน จากนั้นก้มหลังมุดเข้ามานั่งในห้องใต้หลังคาอันคับแคบ

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ามาทำอะไร”

จีหมิงซิวอยู่จัดการตำราที่ตำหนักโหราจารย์จึงไม่ได้เดินทางไปเมืองถ่าน่า แต่นั่นไม่ได้ขัดขวางเขาจากการทราบเรื่องที่ลานประลอง “ข้าได้ข่าวว่าตำหนักธิดาเทพถูกตัดสินโทษแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายถูกจับตัวไปเข้าคุก”

“แล้วอย่างไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงเหอะออกมาทางจมูก

จีหมิงซิวอมยิ้มมองเขา “ข้ามารับเจ้าไปปราสาทเฮ่อหลัน แม้สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะถูกรวบตัวหมดแล้ว แต่ก็ยังมีลูกศิษย์ของพวกนางเหลืออยู่ไม่น้อย รับประกันได้ยากว่าพวกนางจะไม่แก้แค้นกับเจ้า”

ใต้เท้าเจ้าสำนักย้อนถามเสียงเรียบ “เหตุใดต้องแก้แค้นข้า”

จีหมิงซิวไม่โกรธที่ถูกทำตัวเย็นชาใส่ ได้มองเขาใกล้ๆ เช่นนี้ ความจริงก็เป็นเรื่องน่าปลื้มใจใหญ่หลวงแล้ว จีหมิงซิวตอบแผ่วเบา “เจ้าคือโหราจารย์ นี่คือเหตุผลประการแรก เจ้าเป็นน้องชายสามีของจั๋วหม่าน้อย นี่คือเหตุผลประการที่สอง เจ้าเป็นผู้พิพากษาหลักที่ส่งพวกนางเข้าคุกในหนนี้ นี่คือเหตุผลประการที่สาม”

ใต้เท้าเจ้าสำนักนิ่งงัน สองตาเสมองฟ้า “เหตุใดไม่แก้แค้นพวกเจ้าเล่า”

จีหมิงซิวตอบว่า “พวกเราพักอยู่ในปราสาทเฮ่อหลัน ปราสาทเฮ่อหลันแข็งแกร่งดั่งปราการเหล็ก การคุ้มกันแน่นหนา พวกนางย่อมแก้แค้นไม่ได้”

ดวงตาของใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกไปมา “ต่อ…ต่อให้เจ้าพูดเรื่องจริง นั่นก็ไม่เห็นมีสิ่งใดต้องกลัว ลูกน้องของข้ากับอาต๋าเอ่อร์เก่งกาจยิ่งนัก ฝีมือไม่แพ้องครักษ์ของปราสาทเฮ่อหลัน แล้วต่อให้…สู้สตรีศักดิ์สิทธิ์หนังเหี่ยวพวกนั้นไม่ได้ สู้กับลูกศิษย์ของพวกนางสักสองสามคนก็ยังสู้ได้ไม่มีปัญหา”

“เจ้าแน่ใจหรือ” จีหมิงซิวถาม

ใต้เท้าเจ้าสำนักหันหน้าหนีอย่างดูแคลน “ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าไม่ใช่พี่ใหญ่ของข้า ดังนั้นข้าไม่มีวันไปกับเจ้าหรอก”

จีหมิงซิวมองเขา “หากเจ้าเปลี่ยนใจ มาหาข้าที่ปราสาทเฮ่อหลันได้ตลอดเวลา”

ใต้เท้าเจ้าสำนักหัวเราะ “ไม่มีวันนั้นหรอก เจ้าตัดใจเสียเถิด ต่อให้ข้าตาย ข้าก็ไม่มีวันวิ่งไปหาเจ้า!”

จีหมิงซิวจากไปพร้อมกับสีหน้าอับจนปัญญา

ใต้เท้าเจ้าสำนักนอนบนพื้นของห้องใต้หลังคา เขาล้วงทองคำชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ จับจ้องอย่างสนอกสนใจ ดูเสร็จก็หยิบหีบร้อยสมบัติออกมา เตรียมจะเก็บทองเข้าไป ไหนเลยจะรู้ว่าเขาเพิ่งล้วงกุญแจออกมา ชั้นล่างก็มีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้น

แววตาของเขาวูบไหว เขาอุ้มหีบขึ้นมาไว้ในอ้อมอก จากนั้นก้มตัวเดินออกมาจากห้องใต้หลังคา แต่สิ่งที่พุ่งเข้ามาตรงหน้ากลับเป็นคมวาววับของกระบี่ที่ฟันเข้าใส่ เขาตกใจจนหน้าซีดเผือด เบี่ยงกายหลบทันที คนชุดดำฟันพลาดไปถูกพื้นไม้ของห้องใต้หลังคา

เขาฉวยโอกาสวิ่งลงมาด้านล่าง คนชุดดำสวมชุดอำพรางตัวเจ็ดแปดคนคอยอยู่ที่ชั้นล่าง แต่ละคนถือกระบี่เล่มหนึ่งในมือ พอคนชุดดำเห็นเขา ทุกคนก็กำกระบี่พุ่งเข้ามา

เขาตะโกนลั่น “เด็กๆ! ใครก็ได้มานี่ที! อาต๋าเอ่อร์!”

ไม่มีใครขานรับ

หรือว่าพวกลูกน้องถูกคนกลุ่มนี้จัดการไปแล้ว

พวกเขาพุ่งเข้ามาสังหาร เขารีบคลำหาขลุ่ย แต่ขลุ่ยดันเก็บอยู่ในหีบร้อยสมบัติ ตอนนี้เขามีเวลาเปิดเสียที่ไหนเล่า

คนชุดดำคนหนึ่งเหวี่ยงกระบี่ฟันเข้าใส่ศีรษะของเขา

เขาหลับตาปี๋ “อาต๋าเอ่อร์”

เคร้ง!

ดาบโค้งของอาต๋าเอ่อร์ขวางกระบี่ยาวของอีกฝ่ายไว้ ทั้งสองคนประมือกันภายในร้านสุรา

คนชุดดำกลุ่มนั้นกลุ้มรุมอาต๋าเอ่อร์

อาต๋าเอ่อร์ไม่เสียทีเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ ไม่นานเขาก็จัดการลูกกระจ๊อกกลุ่มนี้สำเร็จ แต่คนเป็นหัวหน้าคนนั้นกลับไม่ง่ายปานนั้น

ทั้งสองคนประมือกันในร้านสุราสิบกว่ากระบวนท่า ใต้เท้าเจ้าสำนักนักอยากจะฉวยโอกาสเผ่นหนีออกไปข้างนอก แต่ทุกครั้งที่ใกล้จะแอบหนีออกไปสำเร็จก็ถูกหัวหน้าคนชุดดำผู้นั้นขวางทางไว้

อาต๋าเอ่อร์เริ่มจะต้านไม่ไหวแล้ว คนชุดดำคว้าหัวไหล่ของอาต๋าเอ่อร์จากนั้นเสือกกระบี่ยาวเข้าไปที่หน้าท้องของเขา ครั้งหนึ่งแล้วก็อีกครั้งหนึ่ง ร่างของอาต๋าเอ่อร์ถูกแทงสิบกว่าหนจนเลือดเนื้อปนกันเละเทะ เขาล้มลงจมกองเลือด เอื้อมมือมาหาใต้เท้าเจ้าสำนัก “รีบ…หนีเร็ว”

ใต้เท้าเจ้าสำนักพุ่งออกมาจากร้านสุราราวกับบิน เขาตะเบ็งเสียงตะโกนลั่นไปทางทิศที่จีหมิงซิวจากไป “รอเดี๋ยว! รอเดี๋ยว!”

จีหมิงซิวกระตุกสายบังเหียนหยุดม้า

ใต้เท้าเจ้าสำนักวิ่งรี่มาถึงตรงหน้าเขา จากนั้นเหยียบโกลนม้าเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนอานม้า “รีบไปเร็ว! หากไม่ไปอีกจะถูกไล่ตามมาแล้ว!”

จีหมิงซิวไม่ถามมาก เพียงบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเกาะให้แน่น”

ใต้เท้าเจ้าสำนักทำหน้ารังเกียจ “ข้าไม่กอดเจ้าหรอก!”

จีหมิงซิวหวดแส้ อาชาร่างกำยำเจ็บตัวก็วิ่งทะยานปานสายฟ้า

ใต้เท้าเจ้าสำนักเกือบจะถูกสะบัดตก เขารีบกอดเอวจีหมิงซิวไว้อย่างรวดเร็ว กอดแน่นมากๆ

มุมปากของจีหมิงซิวยกโค้งขึ้นนิดๆ

ใต้เท้าเจ้าสำนักโมโหฮึดฮัด “เจ้าจงใจ!”

“อืม” จีหมิงซิวยอมรับอย่างตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

“เจ้า…เจ้ามันไร้ยางอาย! เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้า…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักอ้าปากพูดพลางคลายมือออก ทว่าเพิ่งคลายมือได้ไม่ทันไร จีหมิงซิวก็เร่งให้ม้าวิ่งเร็วกว่าเดิม ใต้เท้าเจ้าสำนักกอดพี่ชายของตัวเองอย่างหวาดผวาอีกรอบ

พี่ชายอะไรกันเล่า ไม่เห็นน่ารักเลยสักนิด!

….

ภายในร้านสุรา คนชุดดำวางกระบี่แล้วลงไปนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นเอ่ยว่า “คนไปแล้ว พอแล้วๆ ลุกขึ้นมาเถอะ”

คนชุดดำที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นลุกขึ้นมาอย่างว่องไว อาต๋าเอ่อร์ก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเช่นกัน

คนชุดดำปลดผ้าปิดหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยดวงนั้น ไม่ใช่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแล้วจะเป็นผู้ใด

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดึงห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะแล้วแจกจ่ายทองคำให้คนละถุง พอแจกมาถึงอาต๋าเอ่อร์ นอกจากมีทองคำหนึ่งถุงแล้วก็ยังมีผลสองภพเพิ่มให้อีกหนึ่งผลด้วย เรียกได้ว่าใจกว้างยิ่งนัก!