บทที่ 1077 ฟาร์มเพาะพันธุ์ใช้ได้เลยนะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 1077 ฟาร์มเพาะพันธุ์ใช้ได้เลยนะ

บทที่ 1077 ฟาร์มเพาะพันธุ์ใช้ได้เลยนะ

เห็นสองหนุ่มสาวอิงแอบแนบชิดทำซูเสี่ยวเถียนทนมองไม่ไหวจริง ๆ

โดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีคนวางแผนร้ายอยู่

บรรยากาศคึกคักดำเนินต่อไปจนถึงช่วงบ่าย

ใกล้ปีใหม่แล้วบ้านไหน ๆ ก็ยุ่งกันทั้งนั้น จึงไม่สามารถร่วมงานได้ตลอด

ลูกสาวคนโตของตระกูลฉางหรือปัจจุบันชื่อฉางซิ่วหลานพาซูเสี่ยวเถียนไปยังฟาร์มเพาะพันธุ์

ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับฟาร์มในเมืองหลวง

แต่เธอรู้ว่าการจะก่อสร้างขึ้นมาขนาดนี้ได้ไม่ใช่ง่าย ๆ

ด้วยความดูแลจากฉางซิ่วหลานทำให้หมูร้อยกว่าตัวกับไก่อีกสองพันโตเอา ๆ

“เหลือเวลาอีกหลายเดือนก่อนพร้อมสำหรับเชือดน่ะ เราตั้งใจว่าหลังปีใหม่จะซื้อหมูมาเพิ่มอีก”

“หนูได้ยินมาว่าเบื้องบนเขาให้เงินทุนมาแค่ห้าหมื่นหยวนนี่นา ถ้าเอาไปสร้างโรงงานอีกจะเหลือมาดูแลฟาร์มไม่พอนะ!”

ฉางซิ่วหลานยิ้มซื่อ “ก็ไม่ได้อย่างที่บอกนั่นแหละ แต่ว่าเรามีทั้งเงินของเบื้องบน และเงินสนับสนุนอีกนิดหน่อย ลูกหมูพวกนี้เป็นเงินของผู้อำนวยการ ไก่เป็นของเบื้องบน พวกเราจึงไม่ต้องใช้เงินเลย ทางอำเภอเองก็ยังประสานกับโรงงานผลิตอาหารสัตว์ว่าจะจ่ายค่าอาหารให้ส่วนหนึ่งด้วยนะ ไม่งั้นเราคงไม่สามารถเป็นอย่างทุกวันนี้ได้หรอก”

ซูเสี่ยวเถียนเข้าใจแล้วว่าฟาร์มแห่งนี้เป็นลูกหนี้เขานี่เอง

ลำบากจริง ๆ นั่นละ

“ลำบากพวกพี่แล้วนะคะ”

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เพราะเรายังมีความหวังนี่นา!” ฉางซิ่วหลานมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ก่อนปีใหม่พวกไก่จะออกไข่กันแล้ว ถึงจะไม่ได้เยอะ แต่ทำให้เราได้เห็นความหวังแน่นอน”

ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้า “ถ้าขายไข่ก่อน พอโรงงานแปรรูปอาหารเริ่มทำการผลิต อาจจะไม่พอเอานะ”

ฉางซิ่วหลานกล่าวต่อ “ผู้ใหญ่บ้านก็พูดอยู่เหมือนกัน ช่วงนี้เลยไม่กล้าใช้เงินที่ขายไข่ไก่ได้เลย กะว่ารออีกสักพักค่อยซื้อลูกไก่มาเพิ่มดีกว่า”

เด็กสาวได้ฟังก็ยกยิ้ม

คนในหมู่บ้านจะเลือกตำแหน่งรองผู้อำนวยการกันเอง ซึ่งฉางซิ่วหลานคนนี้ก็เป็นคนรอบคอบมาก

เมื่อก่อนตระกูลฉางเป็นบ้านที่รักลูกชายชังลูกสาวน่ะ ไม่ยอมให้ลูกสาวคนนี้เรียนหนังสือ ไม่อย่างนั้นคงเก่งกว่านี้อีก

“ลำบากพี่ซิ่วหลานแล้วค่ะ ขอแค่อดทนผ่านช่วงนี้ไปให้ได้เดี๋ยวฟาร์มก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่เอง ไม่ต้องรีบร้อนนะ”

เด็กสาวพึงพอใจกับระดับของมันในตอนนี้มาก

“แล้ววันนี้ผู้อำนวยการไม่อยู่หรือคะ?”

ฉางซิ่วหลานยิ้มเขิน “ที่จริงตำแหน่งผู้อำนวยการที่ทางอำเภอมอบหมายเป็นแค่ในนามน่ะ เขาจะมาเดือนละครั้งสองครั้ง แล้วก็สอนเราเรื่องการผสมพันธุ์ทางวิทยาศาสตร์จ้ะ”

เป็นในนามสินะ

ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าซูฉางจิ่วเข้าอำเภอไปขอผู้เชี่ยวชาญมารับตำแหน่งนี้โดยเฉพาะเพื่อรักษาสมดุลปัญหาในหมู่บ้านน่ะ

เพราะเดิมทีกิจการของหมู่บ้านและชุมชนที่ดำเนินการแต่แรกก็ไม่ตรงตามข้อกำหนดของทางอำเภอ แล้วใครใช้ให้พวกเบื้องบนมาสนใจกัน?

“พี่ซิ่วหลานสู้ ๆ นะคะ!” เด็กสาวยิ้มยกน่ารัก

ฉางซิ่วหลาน “พี่มีเรื่องไม่เข้าใจเยอะเลยจ้ะ เพราะไม่เคยเรียนหนังสือมา ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร!”

“เรียนตอนนี้ยังทันนะคะ เรื่องเรียนหนังสือไม่สายเกินแก่หรอกค่ะ!”

ฉางซิ่วหลานพยักหน้ารับ “ช่วงนี้พี่ให้พ่อเจี้ยนกั๋วเขาคอยสอนอยู่น่ะ ได้รู้ตัวอักษรหลายตัวเลย”

สามีของเธอมาจากตระกูลซู ไม่ได้เรียนสูงจบแค่มัธยมต้นเท่านั้น

แต่ก็มากพอที่จะสอนให้ภรรยารู้จักคำศัพท์แล้วละ

“ให้พี่ต้าเฉียงเรียนอีกเยอะ ๆ เลยนะคะ มันจะเป็นประโยชน์ในอนาคตด้วยค่ะ เรียนเยอะรู้เยอะ ไม่ลำบากด้วย!”

คนในยุคนี้หลายคนต้องทนทุกข์ทรมานจากการไม่มีความรู้ ถ้าได้เรียนมาแต่แรก ในอนาคตย่อมไม่ลำบาก

“พ่อเจี้ยนกั๋วเขาพูดเสมอเลยว่าถ้าตั้งใจเรียนเหมือนพวกเธอเมื่อก่อนตอนนี้ก็คงไม่ต้องทำไร่ทำนาหรอก!” หญิงสาวเอ่ยอย่างจริงจัง “โชคดีที่ทางโรงงานแปรรูปอาหารรับสมัครคนงาน เขาเรียนจบมัธยมต้นด้วยก็เลยได้ทำที่นั่นน่ะ”

“เห็นเลยว่าชีวิตครอบครัวพี่กำลังจะดีขึ้นนะคะ”

ทำงานเป็นคนงานในกิจการของหมู่บ้านและชุมชนไม่มั่นคงเท่ากับคนงานในเมืองน่ะ แต่ถ้าครอบครัวมีที่ดิน แล้วทำงานโรงงานไปด้วย ถ้าขยัน ๆ หน่อยอนาคตดีทั้งนั้น

ถึงพวกเขาจะไม่ได้เรียนมาสูงแต่ยังเป็นคนตั้งใจทำงาน และเด็กสาวเชื่อว่าพวกเขาทำได้แน่นอน

ซูฉางจิ่วเลียนแบบฟาร์มเพาะพันธุ์และโรงงานแปรรูปอาหารมาจากซูเสี่ยวเถียน

ตัวโรงงานอยู่ไม่ไกลจากฟาร์มนัก มองไกล ๆ ถือว่าขอบเขตใช้ได้

แต่รอบ ๆ ฟาร์มยังรกอยู่

ฟาร์มอยู่ระหว่างดำเนินการ ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่จึงจะเปิดทำการ

ตอนนี้เริ่มก่อสร้างแล้ว กำลังซื้ออุปกรณ์น่ะ

สองปีนี้มีเครื่องจักรที่คล้ายกันจำหน่ายในประเทศเราด้วยนะ

ซึ่งที่ซูฉางจิ่วฝากให้เฉินจื่ออันช่วยหามาราคาจะถูกกว่าของที่นำเข้าจากต่างประเทศ

เมื่อจับจองเสร็จเรียบร้อย ทางนั้นจะส่งเครื่องมาให้ภายในเดือนหนึ่ง

และการผลิตจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อถึงเดือน 4 ตามปฏิทินสุริยคติ

เมื่อวานซูฉางจิ่วติดต่อกับซูเสี่ยวเถียนแล้ว และขอให้เธอช่วยหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วยสอนอยู่ช่วงหนึ่ง เด็กสาวตอบตกลงเรียบร้อย

พอกลับถึงบ้าน ตอนนั้นเองที่เหลือบเห็นเถียนเสี่ยวเหอทำท่าทำทางลับ ๆ ล่อ ๆ

นึกสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่?

แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะอีกฝ่ายถือว่ามีความฉลาดอยู่คงจะมีแผนการเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นละ

ความสามารถแค่นั้นจะไปทำอะไรได้

เหมือนที่อยากจะได้ครอบครองตำแหน่งรองผู้อำนวยการฟาร์มเพาะพันธุ์ไง ก็ล้มเหลวไม่ใช่หรือ?

ลุงฉางจิ่วไม่ใช่พวกเลือกที่รักมักที่ชัง เขาจึงเป็นที่นับถือไม่น้อย

ทางฝ่ายเถียนเสี่ยวเหอก็ตรงไปบ้านจางไฉ่อวิ๋น

พี่สะใภ้ใหญ่เพิ่งกลับมาจากช่วยงานพ่อแม่สามี และกำลังเตรียมตัวจะทำอะไรบางอย่าง

แม่สามีให้หม้อเนื้อกลับมาด้วย หญิงสาวจึงจะใส่ผักลงไปต้ม หุงข้าวเพื่อได้กินกันทั้งครอบครัว และในตอนเทข้าวใส่ลงไปก็มีคนมาหาที่บ้าน

พอเห็นว่าใครสีหน้าเธอพลันเหยเกทันที

“เธอมาทำไม? ไม่ใช่เวลากินข้าวสักหน่อย”

“พี่สะใภ้ ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าแม่สามีขี้งกน่ะ? งานรื่นเริงแบบนี้ทำไมไม่ให้เราอยู่กินข้าวด้วย?” เถียนเสี่ยวเหอไม่พอใจมาก

“เขากินกันทั้งครอบครัวนะ มันทำง่าย ๆ ที่ไหนล่ะ? ถ้ามีคนไปแจมอีกจะไปกินพอได้ยังไง?” จางไฉ่อวิ๋นร้องเหอะ

น้องสะใภ้คนนี้งานการไม่รู้จักทำ คิดแต่จะให้คนอื่นคอยรับใช้ เพราะแบบนี้ไงแม่สามีถึงไม่เรียกไปกินข้าวด้วย

ตัวเองก็รู้ดีไม่ใช่หรือไง?

เถียนเสี่ยวเหอรู้ แต่ไม่อยากทำงานนี่ มันเสียเปรียบ

หลังจากหัวเราะแห้ง ๆ สาวเจ้าก็ทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงเตา ไม่ยินดีไปไหน

“แล้ววันนี้เธอมาทำไม?”

เห็นท่าทางก็พอเดาได้ น้องสะใภ้เป็นพวกไม่มีธุระไม่มาอุโบสถหรอก*[2] ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ

[1] ไม่มีธุระไม่มาอุโบสถหรอก ใช้เปรียบเทียบว่า ถ้าไม่มีเรื่องคงไม่มาหา