เล่ม 1 ตอนที่ 268-2 ความพินาศของตำหนักธิดาเทพ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 268-2 ความพินาศของตำหนักธิดาเทพ

เรือนหลังน้อยยังเหลือห้องสุดท้ายอีกหนึ่งห้อง นั่นก็คือเรือนทิศใต้ เรือนทิศใต้แต่เดิมเป็นที่พักของธิดาเทพ แต่ตอนนี้ธิดาเทพเกิดเรื่องแล้ว อยากจะมีพื้นที่ในปราสาทเฮ่อหลันอีกย่อมเป็นไปไม่ได้ ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงถูกจัดให้มาอยู่ที่เรือนทิศใต้

ข้าวของเหล่านั้นของธิดาเทพ เฉียวเวยสั่งให้นางกำนัลชิงเหยียนส่งไปที่ตำหนักธิดาเทพ

ช่วงนี้ธิดาเทพบาดเจ็บหนักนอนอยู่บนเตียงตลอด แม้ก่อนเฉียวเวยก่อเรื่องที่ตำหนักธิดาเทพ นางจะกินโอสถกับผลสองภพไปไม่น้อยแล้ว แต่นางเติบโตมากับการกินผลสองภพ ผลไม้ชนิดนี้จึงไม่มีฤทธิ์กับนางเท่าไรนักแล้ว โอสถอาจมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่น่าเสียดายอาการบาดเจ็บที่เกิดจากฝีมือเฮ่อหลันชิง ใช่ว่าจะหายดีได้ง่ายๆ

เพราะนางบาดเจ็บจนลุกจากเตียงไม่ได้จึงหลบพ้นความทรมานที่ต้องถูกพิพากษาต่อหน้าคนทั้งเผ่า

นางนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ รู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย จึงเอ่ยเสียงแหบแห้ง “ใครเข้ามาซิ…”

ภายในห้องว่างเปล่า เสียงของนางออกจากปากก็ราวกับถูกสายลมพัดสลายไป

“หลิงจือ…หลิงจือ…หลิงจือ!”

หลิงจือวิ่งโซเซเข้ามาแล้วถลามาข้างเตียง ขอบตาแดงก่ำ ทั้งร่างสั่นเทิ้ม “ธิดาเทพ…ธิดาเทพ!”

ธิดาเทพถามเสียงเข้ม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกนางไปที่ใด”

หลิงจือบอกอย่างหวาดกลัว “เกิด…เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…พวกนางถูกจับตัวไปหมดแล้ว…”

ธิดาเทพยันตัวลุกขึ้นมานั่ง หัวคิ้วขมวดมุ่น “ทุกคนถูกจับไปหมดแล้วหรือ”

หลิงจือสะอื้นพลางพยักหน้า

ธิดาเทพถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดคนของตำหนักธิดาเทพถูกจับตัวไป สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งรู้เรื่องหรือไม่”

หลิงจือร่ำไห้ “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง…ก็ถูกจับไปแล้ว…วันนี้ผู้อาวุโสใหญ่กับจั๋วหม่าน้อยมาเยือน…แล้วค้นเจอแมลงกู่ขับขานราตรี…หลังจากนั้นก็พาตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไป…พาไปที่ใดข้าก็สุดจะรู้…ตอนมื้อเย็น…องครักษ์กลุ่มใหญ่ก็มาจับตัวศิษย์กับหญิงรับใช้ทั้งหมดในตำหนักไป…”

สีหน้าของธิดาเทพเคร่งขรึม “พวกเจ้าก็รออยู่เฉยๆ ให้คนจับไปหรือ”

“พวกเราสู้ไม่ได้…”

หากมีเพียงองครักษ์ในเผ่าก็แล้วไปเถิด แต่ทหารม้าเหล็กของเฮ่อหลันชิงน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ ไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็อยู่ในมืออีกฝ่าย พวกนางเป็นฝูงมังกรไร้หัว เป็นดั่งเม็ดทรายทรายที่พังทลาย ไหนเลยจะกล้าต่อต้าน

ธิดาเทพเลิกผ้าห่มออก

หลิงจือห้ามนางไว้ “ธิดาเทพท่านจะทำอะไร”

ธิดาเทพเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าจะไปพบเหอจั๋ว!”

หลิงจือรีบบอกว่า “ท่านไปพบไม่ได้ ระยะนี้เหอจั๋วรักษาอาการป่วยอยู่ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นจั๋วหม่ากับจั๋วหม่าน้อยที่ออกหน้าจัดการ!”

ธิดาเทพผลักนางออก “เหอจั๋วยังไม่รู้เรื่อง หากรู้เรื่องคงไม่นิ่งดูดาย”

หลิงจือกอดแขนของนางไว้ พร่ำบอกว่า “ธิดาเทพ อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี ท่านอย่าทรมานตัวเองเลย! ท่านสงบใจรักษาอาการบาดเจ็บเถิด! รอหายดีแล้ว ค่อยคิดหาวิธีออกไปจากที่นี่แล้วไม่ต้องหวนกลับมาอีก!”

ธิดาเทพบอกสีหน้าเรียบเฉย “ปล่อย ข้าจะไปพบเหอจั๋ว!”

“ธิดาเทพ”

“ข้าบอกให้เจ้าปล่อยมือ ฟังได้ยินหรือไม่!”

“นางกำนัลชิงเหยียนมาถึงแล้ว”

ระหว่างที่นายบ่าวโต้เถียงกันอยู่ เสียงแจ้งของบ่าวรับใช้ก็ดังมาจากด้านนอก ทั้งสองหยุดยื้อยุด หลิงจือรีบหาอาภรณ์ชั้นนอกตัวหนึ่งมาคลุมร่างของธิดาเทพไว้อย่างรวดเร็ว นางยังอยากจะหวีผมให้ธิดาเทพอีกสักหน่อย แต่ธิดาเทพโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว เรียกนางเข้ามา”

หลิงจือรีรออยู่ครู่หนึ่งก็เดินออกไปนอกตำหนักเชิญนางกำนัลชิงเหยียนเข้ามา

นางกำนัลชิงเหยียนไม่ได้มาตัวคนเดียว ด้านหลังนางยังมีองครักษ์ท่าทางพละกำลังมากตามมาอีกหลายคน ในมือพวกเขาขนหีบใบใหญ่หลายใบมาด้วย นางกำนัลชิงเหยียนชี้ส่งๆ บนพื้นแล้วสั่งว่า “วางไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้าไปเฝ้าอยู่ด้านนอก”

“ขอรับ!” องครักษ์วางหีบลงแล้วออกไปยืนอยู่นอกประตู

นางกำนัลชิงเหยียนเห็นธิดาเทพหน้าตาซีดเซียวสภาพกระเซอะกระเซิง ดวงตาก็วูบไหวเล็กน้อย นางเห็นคนผู้นี้เปล่งประกายหมื่นจั้งมาจนคุ้นชิน จู่ๆ พอมาเห็นนางในสภาพตอนนี้ หัวใจก็เกิดความรู้สึกทนรับไม่ได้เล็กน้อย แต่สิ่งที่ทนรับไม่ได้ยิ่งกว่าก็คือคนที่นางเคยเชื่อถือที่สุดทำเรื่องพรรค์นั้นลงไป

แววตาของธิดาเทพจับจ้องบนหีบเหล่านั้น

นางกำนัลชิงเหยียนบอกว่า “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของธิดาเทพ ธิดาเทพโปรดตรวจนับ ดูว่ามีสิ่งใดขาดไปหรือไม่”

ดวงตาของธิดาเทพฉายแววฉงนจางๆ นางก้าวไปข้างหน้าแล้วเปิดหีบใบหนึ่งในนั้น ข้าวของด้านในเป็นสิ่งที่นางคุ้นเคยดี ทั้งหมดล้วนเป็นเสื้อผ้าของนางที่เก็บไว้ในเรือนทิศใต้ หีบที่เหลือคงไม่จำเป็นต้องดูแล้ว พวกมันก็น่าจะเป็นข้าวของที่เรือนทิศใต้เช่นกัน

“นี่หมายความว่าอย่างไร” นางถามเสียงแผ่ว

นางกำนัลชิงเหยียนสีหน้าจริงจัง “ข้าวของของเจ้าคืนให้เจ้าครบถ้วนแล้ว หลังจากนี้เจ้าอย่าได้ไปเยือนปราสาทเฮ่อหลันอีก แล้วก็ความผิดของเจ้า สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายยอมรับแทนเจ้าทั้งหมดแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องคำสาบานเลือด ส่วนเรื่องที่แท่นประกอบพิธี พวกนางเป็นคนบังคับเจ้าให้เหยียบจนถล่ม เรื่องที่ใส่แมลงกู่ระหว่างพิธีรับขวัญก็ไม่ใช่ฝีมือเจ้า แต่พวกนางเป็นคนทำ แม้เจ้าจะมีความผิดโทษฐานรู้เห็นแต่มิแจ้งและช่วยเหลือผู้กระทำผิด แต่เห็นแก่ที่เจ้าถูกบีบบังคับ เผ่าจึงตัดสินไม่ลงโทษเจ้าขั้นสูงสุด หลังจากนี้เจ้าจะถูกจองจำอยู่ที่นี่ เจ้าจงใช้ครึ่งชีวิตที่เหลือสำนึกบาปที่พวกเจ้าเคยกระทำไว้เถิด”

ธิดาเทพลุกขึ้นมองโถงตำหนักอันว่างเปล่า เมื่อวานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ศิษย์หลายร้อยคนคุยกันเจื้อยแจ้ว วิ่งไล่กันไปมา นางมักจะรังเกียจว่าพวกนางส่งเสียงหนวกหูอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เมื่อไม่มีเสียงผู้คนเอะอะอีกต่อไปแล้ว นางถึงเพิ่งรู้ว่าสิ่งใดยากทานทนที่สุด

ความโศกเศร้าที่สุดของชีวิตมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าสิ่งของยังคงเดิมแต่คนไม่อยู่แล้ว

นางกำนัลชิงเหยียนกล่าวขึ้นว่า “สิ่งที่สมควรพูด ข้าพูดไปหมดแล้ว สาวใช้คนนี้ ข้าจะพาตัวไปด้วย นางจะมีโทษอะไรบ้าง ศาลคุณธรรมจะสอบสวนเอง”

หลิงจืออ้อนวอน “นางกำนัลชิงเหยียน ท่านให้ข้าอยู่ที่นี่เถิด! ธิดาเทพอยู่คนเดียว…น่าสงสารเกินไปแล้ว!”

นางกำนัลชิงเหยียนแววตาเย็นยะเยือกทันควัน “นางน่าสงสารหรือ แล้วคนเหล่านั้นที่ถูกนางทำร้ายไม่น่าสงสารหรืออย่างไร เหอจั๋วปฏิบัติต่อนางประหนึ่งบุตรแท้ๆ แต่นางกลับหักหลังได้แม้แต่เหอจั๋ว! มโนธรรมของนางถูกสุนัขกินไปหมดแล้ว!”

“นางไม่รู้เรื่อง…”

“นั่นเป็นคำพูดของสตรีศักดิ์สิทธิ์! ข้าไม่เชื่อ!” นางกำนัลชิงเหยียนจงรักภักดีต่อเหอจั๋วมาทั้งชีวิต ชีวิตของเหอจั๋วก็คือชีวิตของนาง ผู้ใดทำร้ายเหอจั๋ว ผู้นั้นต้องแลกชีวิตกับนาง

ธิดาเทพลูบหีบอันเย็นเฉียบ “ของเหล่านี้…เหอจั๋วเป็นผู้ให้เจ้านำมาให้ หรือว่าจั๋วหม่าน้อยเป็นผู้ให้เจ้านำมาส่ง”

นางกำนัลชิงเหยียนสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “เหอจั๋ว”

“เจ้าหลอกข้า” ธิดาเทพเถียง

นางกำนัลชิงเหยียนมองนางด้วยแววตาเฉยชา “เจ้าคิดว่าจั๋วหม่าน้อยจะใช้งานข้าได้หรือ”

ธิดาเทพสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ความจริงแล้วนางกำนัลชิงเหยียนกับธิดาเทพได้มาอยู่ข้างกายเหอจั๋วในเวลาใกล้ๆ กัน สิ่งที่แตกต่างกันก็คือธิดาเทพมีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียว อายุยังน้อยๆ ก็ถูกเลือกเป็นธิดาเทพ ส่วนนางเป็นเพียงบุตรของบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ความใส่ใจที่นางได้รับจากเหอจั๋วน้อยกว่าธิดาเทพมากเหลือเกิน นางเคยอิจฉา แต่นางไม่มีวันทำความผิดที่มิอาจให้อภัยเพราะความอิจฉาเพียงเท่านี้

สรรพชีวิตในใต้หล้าล้วนมิเกี่ยวข้องกับนาง นางไม่คิดหยุมหยิมเรื่องที่ธิดาเทพทำกับผู้คนบนเกาะ แต่นางมิอาจยอมรับเรื่องที่ธิดาเทพทรยศเหอจั๋วผู้รักธิดาเทพถึงเพียงนั้น “เหอจั๋วทราบความผิดทั้งหมดของเจ้าแล้ว ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นคำสั่งของเขา เจ้าไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์อีกแล้ว เจ้าตัดใจเสียเถิด”

สายตาคมกริบของธิดาเทพจับจ้องบนใบหน้าของนาง “เหอจั๋วให้เจ้าพูดเช่นนี้จริงหรือ”

“ใช่”

“เจ้ามองตาของข้า” ธิดาเทพออกคำสั่ง

ชิงเหยียนมองดวงตาของนางอย่างไม่หลีกหลบ แววตาไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย “เหอจั๋วเป็นคนส่งข้ามา เจ้ายอมรับเสียเถิด”

นิ้วมือใต้แขนเสื้อกว้างของธิดาเทพกำแน่น

นางกำนัลชิงเหยียนหมุนตัวเดินออกมาจากด้านในตำหนัก องครักษ์เข้าไปจับตัวหลิงจือด้านใน หลิงจือร่ำไห้ร้องเรียกธิดาเทพ แต่ธิดาเทพกลับเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น นางออกเดินไปในตำหนักธิดาเทพอันเงียบสงัดดุจบึงน้ำนิ่งเพียงลำพัง เตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมาย นางเดินผ่านห้องของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง เดินผ่านห้องของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสอง แล้วก็เดินผ่านห้องของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับห้าและสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหก…

ลานฝึกยุทธ์ ตำหนักโองการเมฆา สวนบุปผา สวนผลไม้ เรือนนอนของลูกศิษย์ เรือนข้างของหญิงรับใช้ ห้องครัว ห้องเก็บฟืน…

ทุกแห่งหนที่เคยมีผู้คนเบียดเสียดกลับกลายเป็นว่างเปล่า

บนราวตากผ้ายังมีเสื้อผ้าของพวกนางตากแดดอยู่ แถวนอกคืออาภรณ์ชั้นนอก แถวในคืออาภรณ์ตัวใน

อาหารในห้องครัวเพิ่งทำเสร็จไปครึ่งหนึ่ง บนเขียงยังมีหัวไชเท้าที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ วางอยู่ มีดวางทับอยู่บนหัวไชเท้าอีกครึ่งหัวที่ยังไม่ได้หั่น น้ำในหม้อเดือดจนแห้งแล้ว อาหารก็ไหม้จนดำ

ธิดาเทพหยิบตะเกียบขึ้นมาคู่หนึ่ง นั่งลงกินอาหารไหม้ที่เย็นชืดกับข้าวสวยที่สุกเพียงครึ่งเดียวหนึ่งถ้วย

หลังจากนั้นนางก็กลับไปที่ห้อง ดึงลิ้นชักหยิบโอสถขวดหนึ่งออกมา นางดึงจุกขวดออกแล้วกระดกพรวดเดียวเข้าไปในปาก

นางนั่งอยู่หน้ากระจก มองใบหน้าในกระจกสัมฤทธิ์ แววตาทอประกายเหี้ยม ก่อนจะโคจรกำลังภายใน…

ภายในคุกอันมืดสนิท ศิษย์ของตำหนักธิดาเทพถูกขังไว้จนเต็มแน่น คนส่วนหนึ่งถูกตัดสินโทษแล้ว อีกส่วนหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างการไต่สวน คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวและไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการกระทำความผิดใดๆ แม้แต่น้อย ตัวอย่างเช่นหญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่ปัดกวาดและแม่ครัวเหล่านั้นล้วนถูกปล่อยตัวไปแล้ว พวกที่เหลืออยู่เหล่านี้ จะมากจะน้อยก็ล้วนเคยทำ “เรื่องสกปรก” มาอยู่บ้าง

พวกนางวรยุทธ์สูงส่ง เพื่อป้องกันไม่ให้พวกนางหนีออกไป แต่ละคนจึงถูกบังคับให้กินผงสลายกำลัง ยามนี้ยาออกฤทธิ์ พวกนางจึงหลับลึกกันหมด

สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายถูกเฮ่อหลันชิงทำลายวรยุทธ์จนกลายเป็นคนไร้วรยุทธ์ไปแล้ว จึงประหยัดผงสลายกำลังได้สักหน่อย เวลานี้พวกนางกำลังนั่งพิงผนังอยู่บนกองฟางรก ไม่มีความง่วงงุนแม้แต่น้อย

พอนึกทบทวนสิ่งที่ประสบในช่วงหลายวันนี้แล้วก็ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ แต่เดิมพวกนางเป็นหญิงรับใช้ขององค์เทพผู้มีฐานะสูงส่ง ได้รับความเคารพนับถือจากคนนับหมื่น วันนี้เหตุไฉนจึงตกต่ำมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ ความผิดพลาดมันเริ่มมาตั้งแต่ที่ใดกัน

ไม่ควรล่วงเกินเฮ่อหลันชิง หรือว่าไม่ควรล่วงเกินจั๋วหม่าน้อย

“นางกำนัลชิงเหยียน!” หน้าประตูคุก องครักษ์สองคนประสานมือคำนับสตรีที่อยู่ในเงามืด

นางกำนัลชิงเหยียนพยักหน้าน้อยๆ แล้วหยิบป้ายคำสั่งออกมา “ข้าได้รับคำสั่งจากเหอจั๋ว ให้เดินทางมาเยี่ยมสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย”

องครักษ์รีบหลีกทางให้ พวกเขาเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน “เชิญด้านใน”

นางกำนัลชิงเหยียนเดินเข้ามาในคุก ศิษย์ทั้งหลายที่นอนระเกะระกะอยู่ภายในห้องขังทำให้สีหน้าของนางย่ำแย่อย่างยิ่ง แต่ละก้าวที่นางย่างเท้า กำปั้นก็กำแน่นขึ้นอีกหนึ่งส่วน ในที่สุดนางก็มาถึงห้องขังที่อยู่ด้านในสุด

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งลืมตาขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าของนางกำนัลชิงเหยียน หนังตาก็ไม่กระตุกแม้แต่น้อย หันหน้าหนีอย่างเย็นชา

จู่ๆ นางกำนัลชิงเหยียนก็เอ่ยปากว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง ข้าเอง”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหันขวับกลับมาแล้วล้มลุกคลุกคลานมาถึงริมลูกกรง นางเอื้อมมือผ่านซี่ลูกกรงไม้ออกมาคว้าตัวอีกฝ่าย “ธิดาเทพหรือ”

ธิดาเทพเบาเสียงลง “ข้าเอง ตอนนี้ข้าใช้วิชาแปลงโฉมเปลี่ยนรูปโฉมเป็นชิงเหยียน อาการบาดเจ็บภายในของข้ายังไม่หายดี คงทนได้อีกไม่นานเท่าใดนัก พวกท่านรีบตามข้าออกไป”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งว่าอย่างขัดใจ “เจ้าเด็กโง่ เจ้าแปลงโฉมเป็นนางได้ทำไมไม่หนีไปเสีย เจ้ารีบไปเร็วเข้า! ไม่ต้องสนใจพวกข้า!”

ธิดาเทพเอ่ยเสียงเบา “พวกเราหนีไปด้วยกัน!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งขมวดคิ้ว “ธิดาเทพ!”

“พวกท่านไม่ไป ข้าก็ไม่ไป” ธิดาเทพตอบอย่างแน่วแน่

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งดื้อสู้นางไม่ได้จึงคลานกลับไปปลุกพี่น้องทั้งหลายบนพื้น พอทุกคนทราบว่าธิดาเทพมาช่วยเหลือ พวกนางก็ทั้งโมโหทั้งยินดี โมโหที่พวกนางอุตส่าห์เอาความผิดมาแบกไว้กับตัวเอง กว่าจะเหลือทางรอดให้นางได้ แต่นางกลับไม่ถนอมให้ดี หากเรื่องนี้หลุดรอดออกไป เกรงว่านางคงไม่มีทางมีจุดจบที่ดีอีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็ดีใจที่พวกนางไม่ได้รักนางเสียเปล่า นางถึงกับเสี่ยงตายเดินทางมาช่วยเหลือพวกนาง

ธิดาเทพเรียกองครักษ์มาแล้วบอกพวกเขาว่า “เหอจั๋วมีคำสั่งให้คุมตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไปสอบสวนที่ปราสาทเฮ่อหลัน ให้พวกเจ้าอารักขาไป”

“ดึกป่านนี้แล้ว…” องครักษ์ร่างสูงคนหนึ่งเอ่ยอย่างอย่างลำบากใจ

ธิดาเทพสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ก็เพราะดึกเช่นนี้แล้วถึงสะดวกคุมตัวไป มิเช่นนั้นกลางวันแสกๆ คุมตัวนักโทษไปยังปราสาทเฮ่อหลัน คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเห็นเข้าพาลจะสงสัยว่าเหอจั๋วกับตำหนักธิดาเทพสมคบอะไรกันอีก วันนี้เหอจั๋วไม่ได้ไปเข้าร่วมการพิพากษา แม้ภายหลังจะทราบข่าวแล้ว แต่ก็ยังมีข้อสงสัยในรายละเอียดบางอย่างอยู่ ดังนั้นจึงต้องรบกวนพวกเจ้าช่วยข้าคุมตัวพวกนางไปที่ปราสาทเฮ่อหลัน”

แม้องครักษ์ทั้งหลายจะรู้สึกว่าตรรกะของเรื่องนี้ฟังดูแปลกพิกล แต่ถึงอย่างไรนางกำนัลชิงเหยียนก็เป็นคนสนิทของเหอจั๋ว หากไม่ใช่คำสั่งของเหอจั๋ว นางย่อมไม่ทำเช่นนี้

ทั้งสองคนปล่อยสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายออกมาแล้วใช้เชือกมัดมือไว้จากนั้นจูงไปขึ้นรถนักโทษ

ธิดาเทพบอกเสียงเย็นชา “ใช้รถนักโทษหรือ พวกเจ้าอยากให้ทั้งใต้หล้ารู้ว่าเหอจั๋วเรียกตัวนักโทษประหารมาพบตอนค่ำมืดหรือไร”

ทั้งสองคนเปลี่ยนมาเป็นรถม้าสองคน บังคับรถกันคนละคัน

องครักษ์ร่างสูงเอ่ยขึ้นว่า “นางกำนัลชิงเหยียนโปรดรอสักครู่ พวกเราจะไปเรียกองครักษ์กองหนึ่งให้ติดตามไปด้วย”

ธิดาเทพแย้งว่า “พวกนางล้วนเป็นคนไร้วรยุทธ์แล้ว ยังต้องใช้องครักษ์อะไรอีก พรรคพวกที่เหลือของตำหนักธิดาเทพก็ถูกจับตัวมาจนหมดแล้ว พวกเจ้ากลัวว่าตัวเองจะเฝ้าคนไร้วรยุทธ์สองสามคนไว้ไม่ได้ หรือเกรงว่าจะมีพรรคพวกของคนร้ายมาปล้นรถม้าจากข้างนอกเล่า”

ทั้งสองคนยิ้มกระอักกระอ่วน คนหนึ่งในนั้นตอบว่า “นางกำนัลชิงเหยียนกล่าวถูกต้องที่สุด”

ทั้งสองคนต่างขึ้นไปบังคับรถม้า ธิดาเทพขึ้นมานั่งบนรถม้าคันหนึ่งในนั้น ขบวนคนควบอาชาเดินทางไปยังทิศทางที่ตั้งปราสาทเฮ่อหลัน เดินทางไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ธิดาเทพก็ซัดเข็มเงินสองเล่มออกจากมือ พวกองครักษ์ส่งเสียงร้องแล้วร่วงลงบนพื้น

ธิดาเทพคว้าสายบังเหียน ส่วนรถม้าอีกคันหนึ่ง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกุมสายบังเหียนอยู่

ธิดาเทพกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งรีบเร่งบังคับรถม้าวิ่งมาถึงชายฝั่ง ตรงนั้นมีเรือน้อยลำหนึ่งจอดอยู่ ที่ตรงนี้คือจุดที่ตำหนักธิดาเทพซื้อมาไว้สำหรับเดินทางออกจากเกาะ มีคนรู้ไม่มาก ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่มีผู้ใดมาค้น

สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายขึ้นเรือ

ธิดาเทพปลดเชือกผูกเรือแล้วส่งไม้พายให้พวกนาง ส่วนตนเองผลักเรือลงทะเล

เรือเริ่มลอยน้ำ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งรีบยื่นมือออกมา “ขึ้นมาเร็ว!”

ธิดาเทพกลับไม่คว้ามือของนางไว้ นางมองอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ พลางบอกว่า “ข้าจะไม่ขึ้นไป พวกท่านไปกันก่อน”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหน้าถอดสี “เหตุใดเจ้าไม่ขึ้นมา เจ้าจะทำสิ่งใด”

ดวงตาของธิดาเทพทอประกายเย็นยะเยือก “กล้าทำลายตำหนักธิดาเทพของข้า ข้าจะล้างแค้น!”