ตอนที่ 2,418 : จางยี่ลงมือ
หลังกลุ่มต้วนหลิงเทียนจากไปพร้อมกระดิ่งที่เป็นยอดสมบัติสวรรค์ เหล่าผู้คนที่มารวมตัวกันก็ไม่ได้เร่งรีบจากไปไหน ต่างสนทนาถกกันเรื่องพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนที่เทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์กันอย่างแตกตื่น
เพราะสุดท้ายแล้วครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ร้ายกาจราวสัตว์ประหลาดแบบนี้ แทบจะสาบสูญไปจากระนาบโลกียะทั้งมวลแล้ว…
แต่วันนี้พวกมันกลับได้พบพานโดยบังเอิญ!
เรียกว่าวินาทีนี้ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนยกใหญ่
อย่างไรก็ตามในบรรดาผู้คนที่มารวมตัวกัน หลังจากที่คนของระนาบฉีอวิ๋นและโหมหลัวออกตัวบอกมาว่าไม่เคยพบเคยเจอหรือเคยได้ยินชื่อต้วนหลิงเทียนมาก่อนเลย ผู้คนจึงหันไปมองถามคนจากระนาบคงสิงและระนาบเหยียนหวงกันใหญ่
อย่างไรก็ตามคนที่มาจากระนาบทั้ง 2 ก็ได้แต่บอกว่าไม่เคยได้ยินข่าวใดๆเรื่องต้วนหลิงเทียนมาก่อนเลยเช่นกัน
“ข้าเองก็มาจากขุมพลังระดับกลางๆของระนาบเหยียนหวง…แต่ข้าไม่เคยได้ยินมากก่อนเลยว่าในระนาบเหยียนหวงของข้ามีตัวตนเช่นมันดำรงอยู่! แน่นอนว่าถ้าถามว่าระนาบเหยียนหวงของข้ามีครึ่งก้าวเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์ไหมข้าบอกได้แค่ว่าอาจจะมี…แต่นั่นเป็นคนของฮัวกั่วซาน และเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันแน่ชัด”
คนจากระนาบเหยีนหวงพอกล่าวถึงคำ ฮัวกั่วซาน ก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปทันที
“ระนาบเหยียนหวงเจ้าช่างร้ายกาจนัก แม้ข้าจะไม่ใช่คนของระนาบเหยียนหวง แต่นาม ‘ฮัวกั่วซาน’ ของระนาบเจ้าก็โด่งดังสะท้านมาถึงระนาบของข้า กล่าวได้ว่าขุมพลังนี้ไม่เป็นสองรองผู้ใดจริงๆ…”
ในบรรดาผู้ชม คนของระนาบคงสิงคนหนึ่งกล่าวออกมาเสียงขรึม ก่อนที่จะถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “สหายท่านนี้…จากที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ หมายความว่าอาจมีรุ่นเยาว์อัจฉริยะในฮัวกั่วซานที่บรรลุครึ่งก้าวเซียนอมตะแต่มีพลังเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์หรือ?”
“สหาย…แล้วชายหนุ่มชุดม่วงเมื่อครู่ ใช่มาจาก ฮัวกั่วซาน ของระนาบเหยียนหวงท่านหรือไม่?”
ทันทีที่ชายจากระนาบคงสิงกล่าวถามประโยคนี้ออกมา ทุกสายตาก็หันไปมองจ้องคนระนาบเหยียนหวงคนนั้นทันที
“ไม่ใช่แน่นอน”
ได้ยินคำถามของคนระนาบคงสิง รวมถึงเห็นสายตาที่มองมาจากทุกคน ผู้ที่มาจากระนาบเหยียนหวงคนนั้นได้แต่ส่ายหัวไปมา พลางกล่าวตอบคำอย่างมั่นใจ
“เพราะเท่าที่ข้ารู้มา ครึ่งก้าวเซียนอมตะของฮัวกั่วซานที่อาจมีพลังทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์คนนั้น มิใช่ผู้ฝึกกระบี่!”
“ดังนั้นต่อให้ตัวข้าเองจะไม่เคยเจออัจฉริยะของฮัวกั่วซานผู้นั้นก็ตามที แต่ข้ามั่นใจได้เรื่องหนึ่งว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้น ไม่ใช่อัจฉริยะจากฮัวกั่วซานที่ข้าเอ่ยถึงแน่นอน…”
คำกล่าวของคนจากระนาบเหยียนหวงนับว่ามีน้ำหนักไม่น้อย ทุกคนจึงเชื่อ
ครู่ต่อมา มันก็เริ่มกวาดตามองถามไปรอบๆ “แล้วระนาบของสหายทั้งหลายเล่า มีอัจฉริยะครึ่งก้าวเซียนอมตะที่น่าจะมีพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์บ้างหรือไม่?”
“ข้าบอกได้ว่าอาจจะมีเหมือนกัน”
ตอนนี้เองคนของระนาบฉีอวิ๋นพลันกล่าวตอบออกมา ก่อนที่จะเริ่มส่ายหัวเบาๆ “แต่ข้าก็เหมือนเจ้า ที่ถึงแม้ไม่เคยเจออัจฉริยะที่ว่า แต่ข้ามั่นใจว่าอัจฉริยะของระนาบฉีอวิ๋นของข้ามิใช่ชายหนุ่มชุดม่วงแน่นอน…”
“ส่วนในระนาบโหมหลัวของข้า ไม่เคยได้ยินว่ามีอัจฉริยะครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มีพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์มาก่อนเลย…”
คนจากระนาบโหมหลัวกล่าวตอบ
“ส่วนของระนาบคงสิงข้า กล่าวไปก็มีอัจฉริยะที่มีโอกาสเทียบชั้นเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์ได้คนหนึ่งเหมือนกัน แต่ทว่าอัจฉริยะผู้นั้นเดินในมรรคาดาบมิใช่กระบี่ เช่นนั้นจึงมิน่าจะเป็นชายหนุ่มชุดม่วงคนนั้นไปได้”
คนของระนาบคงสิงก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาเช่นกัน
“เช่นนั้นเห็นทีจะหลงเหลือความเป็นไปได้อยู่ 2 ประการเท่านั้น…”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกล่าววาจาประโยคนี้ออกมา แต่นับว่าหลังกล่าวจบคำมันก็ดึงความสนใจจากผู้คนทั้งหมดไปทันที
“ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้น อาจเป็นคนจาก 1 ใน 4 มหาระนาบโลกียะของพวกเรา เพียงแต่มันซุ่มเก็บตัวและไม่เคยเปิดตัวสู่สาธารณะจึงไม่มีผู้ใดในพวกเราล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของมัน”
“ส่วนอีกประการหนึ่ง…ข้าสงสัยว่าชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ อาจจะมาจากระนาบเซียน ที่เป็นระนาบขนาดย่อม!”
ขณะกล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของมันก็เคร่งขรึมนัก
“อย่างแรกนั้นแน่นอนว่ามีความเป็นไปได้มากกว่า…”
คนของระนาบคงสิงกล่าวถึงตรงนี้ก็เงียบไปพักหนึ่ง ค่อยเอ่ยต่อด้วยสีหน้าปั้นยากว่า “เพราะมันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่ระนาบโลกียะขนาดย่อมอย่างระนาบเซียน จะอุบัติตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มีพลังทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์เช่นนี้ขึ้นมาได้!”
ระนาบเซียนนั้นเป็นระนาบโลกียะขนาดย่อม
หากไม่ใช่เพราะล่วงรู้วว่ากุญแจเปิดแดนลับต่างสวรรค์ดอกหนึ่งอยู่ในระนาบเซียน เกรงว่าพวกมันคงไม่เคยได้ยินเรื่องระนาบเซียนมาก่อนแน่…
ในฐานะที่เป็นคนของมหาระนาบโลกียะ ย่อมมีความดูแคลนระนาบโลกียะขนาดย่อมเป็นทุน และคิดว่าเป็นเพียงระนาบไร้อารยะเท่านั้น…
“ข้าก็คิดว่าเรื่องนี้มิน่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน…ครึ่งก้าวเซียนอมตะของระนาบขนาดย่อม ต่อให้จะมียอดสมบัติสวรรค์ในมือแต่อย่างดีก็คงเทียบได้แค่เซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์ และต่อให้โชควาสนามันจะท้าทายสวรรค์เพียงใด ก็มิน่าจะมีพลังฝีมือเหนือกว่าเซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์ไปได้”
คนของระนาบโหมหลัวเอ่ยเสริม
“นั่นสิ”
คนของระนาบฉีอวิ๋นพยักหน้าเห็นด้วย
“เฮ่ๆ…นี่พวกเจ้าลืมกันไปแล้วรึไร ว่าครั้งสุดท้ายที่แดนลับต่างสวรรค์เปิดออก เป็นผู้ใดได้มรดกของต้าหลัวจินเซียนไปครอง?”
ตอนนี้เองคนของระนาบเหยียนหวงผู้หนึ่งพลันเอ่ยขึ้นมา และวาจาของมันก็ดั่งน้ำเย็นที่ราดรดลงบนหัวผู้คนที่กำลังพูดกันปรามาสระนาบเซียนกันทันที ทำให้สติของพวกมันเสมือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลับมาแจ่มใสอีกครั้ง
“จริงสิ ครั้งสุดท้ายที่แดนลับต่างสวรรค์เปิดออก…ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่นาม ฟงชิงหยาง ของระนาบเซียนที่ได้สืบทอดมรดกของต้าหลัวจินเซียน!”
ไม่นานในบรรดาเหล่าคนที่ดึงสติกลับมาได้ ก็มีคนผู้หนึ่งที่อดตบหน้าขาตัวเองดังฉาดไม่ได้ “ไฉนข้าถึงลืมมันไปได้!!”
วาจาของมัน ไม่ต่างหนึ่งหินหล่นสระก่อเกิดพันระลอกคลื่น
“ใช่ ข้าเองก็ลืมนึกถึงมันไปเลย!”
“ครั้งสุดท้ายที่แดนลับต่างสวรรค์เปิดออก ผู้ที่ได้รับมรดกของต้าหลัวจินเซียนไปครองเหมือนจะเป็นผู้ฝึกกระบี่จากระนาบเซียนจริงๆ…แถมพลังฝีมือของเจ้านั่นก็เห็นว่าร้ายกาจนัก กระทั่งตอนที่ยังไม่ได้รับมรดกของต้าหลัวจินเซียนพลังฝีมือก็ทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 5 ทัณฑ์เข้าไปแล้ว!”
“ยามนั้นเห็นว่าในบรรดาครึ่งก้าวเซียนอมตะที่เข้าไปช่วงชิงในมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน ก็มีครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มีพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์ด้วยคนหนึ่ง…แต่สุดท้ายคนผู้นั้นก็สู้มันไม่ได้!’
“มีข่าวลือกันว่าเป็นฟงชิงหยางผู้นั้นได้รับยอดสมบัติสวรรค์ประเภทกระบี่มาครองระหว่างเดินทางตามรอยเบาะแส จนทำให้ความแข็งแกร่งยกระดับขึ้นไปอีกขั้น สุดท้ายก็แข็งแกร่งมากพอจะยืนหยัดเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย จึงได้รับมรดกต้าหลัวจินเซียนไปครอง!”
“นอกจากนั้นยังมีข่าวลือกันหนาหูอีกอย่างว่า…ที่ไฉนมันได้รับมรดกของต้าหลัวจินเซียนไปครองในปีนั้น เพราะต้าหลัวจินเซียนที่ทิ้มรดกไว้ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่เช่นกัน!”
…
เหล่าผู้คนจากมหาระนาบโลกียะทั้ง 4 เริ่มจ้อกันอย่างออกรส และหัวข้อสนทนาของพวกมันก็วนเวียนอยู่แต่ฟงชิงหยางของระนาบเซียน!
ในตอนนี้หลายคนไม่กล้าดูหมิ่นเหยียดหามระนาบโลกียะขนาดย่อมอีกต่อไป และไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ระนาบเซียนจะมีครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มีพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์ออก!
เพราะในอดีต ก็มีตัวตนอย่างฟงชิงหยางปรากฏให้เห็นเป็นตัวอยย่าง!
“ข้ายังจำได้ว่า…ครึ่งก้าวเซียนอมตะของระนาบเซียนที่เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์ปีนั้น ดูเหมือนจะมีแค่ฟงชิงหยางแค่คนเดียวเท่านั้น!”
“อืม เรื่องนี้สมควรเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะในบันทึกของนิกายข้าที่สืบทอดต่อกันมาแต่โบราณ ก็มีท่านบรรพชนที่ลงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้…ว่าในบรรดาผู้ที่เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์จากระนาบเซียน มีเพียงฟงชิงหยางคนเดียวเท่านั้นที่เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะและอายุไม่ถึงร้อยปี…’
“ใช่แล้ว ท่านบรรชนของข้าก็บันทึกเรื่องนี้ไว้เช่นกัน เห็นว่าคนของระนาบเซียนแทบทั้งหมดล้วนเป็นเซียนอมตะเสเพล มีเพียงฟงชิงหยางคนเดียวที่ผ่าเหล่าเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ! และท่านบรรพชนยังได้รู้จากเซียนอมตะเสเพลของระนาบเซียนอีกว่า…ในระนาบเซียนสมัยนั้น ทั้งแดนดินมีเพียงฟงชิงหยางคนเดียวเท่านั้นที่ทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะโดยที่อายุยังไม่ถึงร้อยปี!”
“หึ! ทั้งระนาบเซียนกลับมีครึ่งก้าวเซียนอมตะที่อายุไม่ถึงร้อยปีแค่คนเดียวรึ? ช่างน่าสังเวชนัก! นี่บอกให้รู้ว่ามรดกและทรัพยากรของพวกมันอ่อนด้อยกว่าพวกเรามาก! เพราะในมหาระนาบโลกียะของพวกเรา แม้ครึ่งก้าวเซียนอมตะอายุไม่ถึงร้อยปีจะมีไม่เยอะ แต่ในปีนั้นก็มีนับสิบ!”
…
กล่าวกันไปกล่าวกันมาสักพัก ไม่วายผู้คนก็วกกลับไปเรื่องที่ระนาบเซียนนั้นด้อยทรัพยากรและล้าหลังอีกครั้ง ถึงได้มีแค่ครึ่งก้าวเซียนอมตะอายุน้อยกว่าร้อยปีแค่คนเดียว
“เหอะ!”
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ที่มองขาดเอ่ยกับผู้คนออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ “มีครึ่งก้าวเซียนอมตะที่อายุน้อยกว่าร้อยปีแค่คนเดียวแล้วจะอย่างไร? อย่าได้ลืมเลือนไปว่าพลังของมันถึงขั้นเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์!”
ทันใดนั้นเหล่าผู้ที่ดูแคลนระนาบเซียนก็เงียบปากกลงทันที
แน่นอนว่ายังคงมีคนที่อคติฝังหัวดูแคลนไม่เลิก “เจ้านั่นมันก็แค่มีโชคเท่านั้นล่ะ!”
“แล้วนี่…พวกเจ้าปักใจเชื่อกันไปแล้วจริงๆรึไง ว่าเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นจะมาจากระนาบเซียนแน่นอนแล้ว?”
พอวาจาถามเสียดสีนี้ของมันดังขึ้น ก็คล้ายจะดึงสติทุกคนให้กลับมากระจ่างอีกครั้ง
“เจ้าหนุ่มชุดม่วงคนนั้นน่ะ…ข้าเชื่อว่า 9 ใน 10 สมควรมาจาก 1 ใน 4 ระนาบของพวกเราแน่นอน! เพียงแค่มันไม่เคยปรากฏตัวออกมาเท่านั้น พวกเราจึงไม่มีใครรู้จักมันและล่วงรู้ว่ามันมีตัวตนอยู่!”
พอกล่าวประโยคนี้จบ หลายคนก็เริ่มคล้อยตาม และคิดว่าสมควรเป็นแบบนี้จริงๆ!
ชายหนุ่มชุดม่วงที่ปรากฏตัวชิงยอดสมบัติสวรรค์ไป โดยที่ในมือก็ถือครองยอดสมบัติสวรรค์ประเภทกระบี่อยู่ก่อนแล้ว แถมพลังความแข็งแกร่งก็เทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์ผู้นั้น สมควรมาจาก 1 ใน 4 ระนาบของพวกมันที่เป็นมหาระนาบโลกียะ…ไม่มีทางมาจากระนาบเซียนที่เป็นแค่ระนาบโลกียะขนาดย่อมแน่นอน!!
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
และตอนนี้ด้านต้วนหลิงเทียนกับพวกทั้ง 4 ก็ได้มาถึงปลายทางของเบาะแสชิ้นที่ 2 แล้ว
สมบัติสถานแห่งนี้ หากไม่มีมรดกของต้าหลัวจินเซียน ก็สมควรมีเบาะแสนำไปสู่มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนซ่อนอยู่!
ฮูววว! ฮูวววว!!
…
สายลมแรงพัดกรรโชกมาไม่หยุด ฝุ่นทรายปลิดปลิวคละคลุ้งไปทั่ว
ในปัจจุบันกลุ่มต้วนหลิงเทียนกำลังลอยร่างอยู่เหนือทะเลทรายแห่งหนึ่ง
มองไปสุดลูกหูลูกตาเห็นแต่ทิวทัศน์ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ไม่อาจแลเห็นแม้จุดสิ้นสุดว่าทะเลทรายแห่งนี้มีขอบเขตกว้างใหญ่เพียงใด….
ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ
ตอนนี้ไม่มีผู้ใดสามารถแผ่สำนึกเทวะชำแรกผ่านผืนทรายลงไปสำรวจใต้ดินได้เลย เพราะมีพลังไร้สภาพขุมหนึ่งคอยผลักไสปิดกั้นสำนึกเทวะเอาไว้!
กล่าวให้ชัดคือปิดกั้นวิญญาณ!
“กระบี่มา!”
ทันใดนั้นจางยี่พลันยกมือขึ้น ก่อนที่พลังเซียนต้นกำเนิดจะหลั่งไหลไปควบรวมผนึกสร้าง กระบี่ขึ้นมาเล่มหนึ่ง!
และรอบๆตัวกระบี่ที่มันควบรวมพลังสร้างขึ้น ก็ปรากฏเส้นสายอัสนีสีม่วงแล่นาบแปลบปลาบอยู่รอบๆ!
มองไปแล้วประหนึ่งใบกระบี่ของมันมีอสรพิษสีม่วงนับไม่ถ้วนกำลังเลื้อยละเล่นไปทั่วใบกระบี่!