ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 109 น้ำตาหลั่งรินเป็นสายเลือด (4)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ข้าตอบอย่างเยือกเย็น “ก่อนนี้หนานฉู่มีลู่ช่านค้ำจุนสถานการณ์อยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้นการมีอยู่ของสำนักเฟิงอี้ย่อมเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดของกองทัพเรา แต่วันนี้ลู่ช่านจากไปแล้ว ซั่งเหวยจวินกุมอำนาจมากมายไว้ในมือ หากสำนักเฟิงอี้ช่วยเหลือ เขาย่อมครอบงำเหล่าแม่ทัพ กำจัดผู้ที่เห็นต่างจากตนได้ แม้ลู่ช่านจะตายแล้ว แต่บารมีของเขายังคงหลงเหลือ แม่ทัพทั้งหลายนับถือความภักดีของเขาย่อมมิกล้าต่อต้าน ซั่งเหวยจวินจะกุมอำนาจได้อย่างราบรื่น

แต่หากสำนักเฟิงอี้ล่มสลาย กำลังของซั่งเหวยจวินก็จะลดทอนลงมาก เขาจะมิอาจคุกคามความปลอดภัยของแม่ทัพทั้งหลายแห่งหนานฉู่ได้อีก ลูกน้องเก่าของลู่ช่านรวมถึงแม่ทัพคนอื่นจะเก็บขุมกำลังไว้เพื่อปกป้องตนเอง เช่นนี้กองทัพใหญ่ของพวกเราก็จะกรีธาทัพกำราบเจียงหนานได้ ด้วยเหตุนี้สำนักเฟิงอี้จึงมิสมควรอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป

ส่งคำสั่งไปให้เฉินเจิ่น ให้เขาหาวิธีทำให้การเข่นฆ่ากันในยุทธภพของเจียงหนานรุนแรงขึ้นอีก หลังจากนี้ร่วมมือกับกองการข่าวสังหารพวกเขาให้สิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักเฟิงอี้จะปล่อยไปมิได้ แต่กลุ่มอำนาจในยุทธภพที่มีความจงรักภักดีเหล่านั้นมิสู้เหลือทางรอดให้พวกเขาสักทาง มิให้ยุทธภพเจียงหนานต้องล้มจนมิอาจพลิกฟื้น หากเป็นเช่นนั้นจะขัดต่อความตั้งใจของข้าที่ต้องการจะรักษารากฐานของเจียงหนานไว้ อย่างไรเสียในชนบทห่างไกลก็มีคนเก่งซ่อนอยู่อีกมากมาย

จริงสิ กรมวินิจการณ์ยื่นมือเข้าไปในเจียงหนานแล้วมิใช่หรือ แม้การเคลื่อนไหวในแคว้นศัตรูจะเป็นขอบเขตอำนาจของกองการข่าว แต่ก็อย่าปล่อยให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงฉกฉวยประโยชน์ ลากเขาลงน้ำมาด้วย กล้าเป็นแกนนำร้องเรียนข้าก็อย่าคิดจะนั่งดูอยู่ด้านข้างเฉยๆ”

ฮั่วฉงรับคำอย่างนอบน้อมแล้วถามขึ้นว่า “หัวหน้าต่งส่งข่าวด่วนมาขอคำชี้แนะของท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องที่ไหวซี แล้วก็ถามว่าจะพาคนตระกูลลู่กลับไปอาศัยในต้ายงหรือไม่”

ข้าครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ไหวซียังนับว่าปลอดภัย สืออวี้จิ่นใกล้คลอดแล้ว ให้นางรอคลอดที่ไหวซีก็แล้วกัน อย่าเพิ่งบอกเรื่องราวข้างนอกกับนาง ให้ต่งเชวียดูแลนางกับลู่เหมยให้ดี รอกองทัพเราบุกถึงไหวซีแล้วค่อยให้จิงฉือรับพวกนางมาหาข้า

เรื่องตระกูลลู่ให้ดูความต้องการของพวกเขา หากลู่ฮูหยินยืนกรานจะทำตามราชโองการเดินทางไปทางใต้ก็ให้ตระกูลเย่ว์ช่วยพวกเขาลงหลักปักฐาน หากไม่ใช่เช่นนั้นก็ส่งพวกเขามาต้ายง แล้วก็ลู่เฟิง ตอนนี้ยังไม่พบร่องรอย เขาน่าจะถูกเหวยอิงคุ้มครองอยู่ เรื่องนี้จะปล่อยปละไม่ได้ ต้องตามหาเขาให้พบ ข้าทำให้ลู่ช่านตาย ย่อมมิอาจปล่อยให้คนในครอบครัวของเขาพลาดพลั้งเป็นอันใดไปอีก”

ฮั่วฉงใจสะท้าน นี่เป็นหนแรกที่ท่านอาจารย์บอกกล่าวความรู้สึกของตนเองออกมานับตั้งแต่ได้ฟังข่าวการตายของลู่ช่าน ฮั่วฉงเหลือบมอง สีหน้าของเจียงเจ๋อยังคงราบเรียบเฉยเมยเช่นเดิม คล้ายกับว่าเขามิใช่คนเอ่ยคำพูดนี้ เห็นเขาเอ่ยถ้อยคำมิติดขัด ความคิดกระจ่างชัด แผนการยังคงเหี้ยมอำหิตเฉกเช่นก่อนหน้า ฮั่วฉงควรวางใจถึงจะถูก ทว่าในหัวใจเขากลับมีความวิตกอย่างรุนแรงผุดพรายขึ้นมา

หลังจากนั้น เสียงหนักแน่นของเจียงเจ๋อก็ลอยมาเข้าหู “ได้ยินว่าหยางซิ่วมิหวั่นกลัวคำตำหนิของราชสำนักหนานฉู่ จัดพิธีไว้อาลัยลู่ช่านที่ก่วงหลิง เรื่องนี้จริงหรือไม่”

ฮั่วฉงตกใจ กำลังอยากจะบอกว่าไม่จริง ก็สัมผัสได้ถึงแววตาหนาวยะเยือกเสียดแทงกระดูกของเจียงเจ๋อ ฮั่วฉงเหลือบมองเสี่ยวซุ่นจื่อผู้มีสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง ในที่สุดก็ตอบอย่างจนปัญญา “เรื่องนี้ ได้ยินว่าจริงขอรับ กองการข่าวรายงานว่ากองทัพที่ปาจวิ้น เจียงเซี่ย จิ่วเจียง โซ่วชุน ก่วงหลิง อวี๋หังต่างจัดพิธีไว้อาลัย แม้แต่ราชสำนักหนานฉู่ก็มิกล้าออกคำสั่งห้ามปรามอย่างโจ่งแจ้ง กองทัพไหวตงทำยิ่งกว่า พวกเขาสวมอาภรณ์สีขาวทั้งกองทัพ แต่ละวันเสียงร่ำไห้ดังก้องนภา”

ข้าฟังจบก็เอ่ยอย่างเบาใจ “นี่สิจึงจะถูก หากแม้แต่พิธีไว้อาลัยคนเหล่านี้ยังไม่กล้าจัด ความภักดีกับความเพียรพยายามของลู่ช่านก็เสียเปล่าแล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อ วันพรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปเซ่นไหว้ช่านเอ๋อร์ที่ก่วงหลิง เจ้าคิดว่าอย่างไร”

ฮั่วฉงตกตะลึงยิ่งนัก เขารีบหันไปมองเสี่ยวซุ่นจื่อ หวังว่าอีกฝ่ายจะห้ามปรามการกระทำอันไม่สมควรของท่านอาจารย์เหมือนทุกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อกลับฉายแววลังเล ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ขอรับ ข้าจะคุ้มกันคุณชายไปก่วงหลิง จะมิให้ผู้ใดขัดขวางการเดินทางหนนี้ของท่านได้เป็นอันขาด”

ได้ยินเสี่ยวซุ่นจื่อตอบตกลง ข้าก็ยิ้มอย่างเบาใจ เอ่ยขึ้นว่า “ใช่หรือไม่เล่า ข้าจะไม่ไปเซ่นไหว้ช่านเอ๋อร์ได้อย่างไร น่าเสียดายที่ศพของเขาอยู่ที่เจี้ยนเย่ หากได้พบหน้าเขาจะดีเพียงใด”

เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด “คุณชายโปรดวางใจ เมื่อบุกยึดหนานฉู่ได้แล้ว ข้าจะเดินทางไปเจี้ยนเย่เป็นเพื่อนคุณชาย สร้างสุสานให้แม่ทัพใหญ่ใหม่ ถึงยามนั้นคุณชายก็เซ่นไหว้โลงศพของแม่ทัพใหญ่ได้แล้ว”

ข้าอมยิ้มพยักหน้า เอ่ยขึ้นว่า “เอาละ เจ้าไปจัดการเถิด ฮูเหยียนโซ่วต้องตามไปด้วยแน่ คนอื่นไม่ตามไปได้ก็อย่าตามไปเลย แล้วก็ข้าชอบตู้หลิงเฟิงที่อยู่ข้างกายเผยอวิ๋นคนนั้นยิ่งนัก หากเขาสนใจก็ให้เขาไปด้วยกันเถิด”

เสี่ยวซุ่นจื่อขานรับ “ขอรับ ข้าจะไปจัดการให้เรียบร้อย คุณชายมิสู้พักผ่อนให้ดีๆ สักหน่อย วันพรุ่งยังต้องรีบเร่งเดินทาง คุณชายจะเหน็ดเหนื่อยมิได้นะขอรับ”

ข้าฟังจบก็พยักหน้าบอกว่า “ก็ดี ข้าจะไปเอนหลังสักหน่อย”

เสี่ยวซุ่นจื่อประคองข้าเดินมาที่เตียงอย่างระมัดระวัง ข้าอดหัวเราะไม่ได้ที่เขาจู้จี้ถึงเพียงนี้ ทำเสียเหมือนกับว่าข้าเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่จะแตกง่ายๆ ข้าเอนกายลงบนเตียงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะในทันที ในความฝันเหมือนจะเห็นใบหน้าและได้ยินเสียงของลู่ช่านที่จากกันมานาน

เฮ้อ เจ้าเด็กคนนี้รีบร้อนอะไรเล่า อีกไม่นานข้าก็กำลังจะไปเซ่นไหว้เจ้าอยู่แล้วมิใช่หรือ ไม่ต้องรีบมาเข้าฝันข้าเร็วถึงเพียงนี้หรอก วางใจเถิด ครอบครัวของเจ้า ข้าจะดูแลอย่างดี

ข้าไม่รู้สักนิดว่า หลังเดินออกมาจากห้อง ฮั่วฉงก็หน้าเขียวคว้าเสี่ยวซุ่นจื่อไว้ “ท่านอาจารย์ผิดไปจากปกติ ท่านอาซุ่น จะไปก่วงหลิงมิได้นะ แผนการยุแยงตะแคงรั่วของท่านอาจารย์คงปิดบังคนหนานฉู่ไว้ได้มินานนัก น่ากลัวว่าหยางซิ่วจะจับท่านอาจารย์มาสังเวยหน้าดวงวิญญาณของแม่ทัพลู่”

ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อเผยแววตาหวาดหวั่นและเจ็บปวดอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายต้องไป ผู้ใดก็มิอาจขวาง ไป ไปพบรัชทายาทกับแม่ทัพเผยด้วยกันกับข้า ระหว่างที่คุณชายเดินทางไปก่วงหลิง ต้องให้กองทัพของแม่ทัพเผยตั้งทัพรอที่แม่น้ำไหวสุ่ย หากคุณชายเกิดเป็นอันใดขึ้นมาก็ให้แม่ทัพเผยข้ามไหวสุ่ยล้างบางกองทัพไหวตง ชำระแค้นให้คุณชายก็เท่านั้น

แต่ต่อให้คุณชายต้องตายที่ก่วงหลิง หนนี้ก็ขวางเขามิได้ ผู้ใดก็ทำมิได้ทั้งนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าจงจำเอาไว้ หากเจ้ากล้าหักหลังคุณชาย ข้าจะสับศพเจ้าเป็นหมื่นชิ้น ให้เจ้าตายไร้ที่ฝังร่าง” กล่าวจบ เสี่ยวซุ่นจื่อก็เผยสีหน้าเย็นชาโหดเหี้ยม สะบัดฮั่วฉงออกแล้วเดินตรงดิ่งจากไป

ฮั่วฉงรู้สึกว่าความหนาวเหน็บผุดพรายออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เขาพลันเข้าใจทุกสิ่ง เข้าใจว่าเหตุใดเสี่ยวซุ่นจื่อจึงมิสนใจความปลอดภัยของท่านอาจารย์ ยอมปล่อยให้เขาไปยังที่อันตราย แต่หลังจากเข้าใจแล้ว ความหนักอึ้งที่กดทับในหัวใจก็แทบจะทำให้เขาหายใจไม่ออก มิอาจขบคิดสิ่งใด คำขู่ของเสี่ยวซุ่นจื่อทำให้เขากระจ่างแจ้ง มิว่าอย่างไรท่านอาจารย์ย่อมไม่ทำร้ายตนเองอย่างไร้สาเหตุ นั่นเป็นเพราะสำหรับท่านอาจารย์แล้ว หากทำร้ายลูกศิษย์ที่ตนเองรัก เขาย่อมเจ็บปวดเสมือนหนึ่งทำร้ายตัวเขาเอง

ฮั่วฉงหักห้ามใจมิได้ น้ำตาไหลพราก ยกเท้าก้าวเดินอย่างยากลำบาก เขาเดินไปถึงหน้าห้องนอนของเจียงเจ๋อแล้วคุกเข่าลงกับพื้น เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเจียงเจ๋อดังมาจากภายในห้อง เห็นชัดว่าเขาหลับสนิทยิ่งนัก แต่ฮั่วฉงกลับยิ่งรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาก็หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน

วันนี้บนชายฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำไหวสุ่ยเต็มไปด้วยชุดไว้อาลัยสีขาวเรียงรายเป็นผืน หลังจากทราบข่าวการตายของลู่ช่าน แม้หยางซิ่วจะทำตามคำสั่งเสียของลู่ช่าน ทว่าก็มิอาจหักห้ามความเจ็บปวดทุกข์ระทมในหัวใจ อีกทั้งทั่วทั้งกองทัพยังเต็มไปด้วยเสียงแห่งความโศกเศร้า เขาจึงมิสนใจความระแวงของซั่งเหวยจวิน ตั้งพิธีไว้อาลัยที่ก่วงหลิง

ซั่งเหวยจวินเห็นว่าตนมิอาจเอากฎหมายปราบคนหมู่มากจึงไม่ใช้เหตุผลนี้สร้างความลำบากให้กองทัพไหวตง แม่ทัพและทหารทั้งหลายในกองทัพล้วนสวมอาภรณ์สีขาว ผูกผ้าสีดำที่แขนเพื่อไว้ทุกข์ แต่ละคนโศกเศร้าคับแค้นแทบวางวาย

ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีทหารสอดแนมกลับมารายงานว่า กองทัพต้ายงรวมพลกันที่ชายฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำไหวสุ่ย หน้าเมืองซื่อโจว เสียงลับคมดาบดังกังวาน คล้ายตั้งใจจะฉวยโอกาสบุกโจมตี หยางซิ่วโกรธจัด ฉวยโอกาสยามผู้อื่นไว้อาลัยให้คนตายบุกโจมตี นับแต่โบราณมาถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้คุณธรรม แม่ทัพและพลทหารทั้งหลายต่างโมโหโกรธาจนยากจะระงับ พากันชูแขนร้องตะโกน หมายจะทำศึกนองเลือดกับกองทัพต้ายง

คิดมิถึงว่ากองทัพต้ายงกลับให้ผู้ส่งสารข้ามน้ำมาแจ้งว่าฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อแห่งต้ายงปรารถนาจะมาร่วมไว้อาลัยที่ก่วงหลิง แม่ทัพทั้งหลายมองหน้ากัน แม้แม่ทัพทั้งหลายใช่ว่าจะมองแผนยุแยงตะแคงรั่วของต้ายงออก แต่ความผิดที่ทำให้ลู่ช่านได้รับพระราชทานโทษตายก็คือสมคบกับต้ายงหมายตั้งตนเป็นใหญ่ เจียงเจ๋อผู้นี้เป็นตัวการร้ายที่ทำให้แม่ทัพใหญ่ถึงแก่ความตาย ทุกคนตกอยู่ในห้วงโทสะทันที พวกเขาล้วนตะโกนว่าจะเอาเจียงเจ๋อมาสังหารหน้าโถงพิธี เซ่นไหว้ดวงวิญญาณวีรบุรุษของลู่ช่าน