ตอนที่ 2,421 : ช่องว่างระหว่างมหาระนาบโลกียะกับระนาบโลกียะขนาดย่อม
ตัวตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ สำหรับระนาบเซียนของต้วนหลิงเทียนนั้น เป็นดั่งตัวตนในตำนานที่พบพานได้ยากยิ่ง กระทั่งผ่านไปหลายชั่วอายุคนก็ใช่ว่าจะมีเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ปรากฏขึ้นให้เห็นสักคน
เพราะเป็นเรื่องที่ยากเย็นถึงที่สุดที่จะบรรลุถึงเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์!
มีเพียงเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ที่รอดพ้นจากหายนะทัณฑ์เซียนอมตะเสเพลรอบที่ 9 เท่านั้น จึงจะบรรลุถึงเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ได้
ด้วยเหตุนี้จิตใต้สำนึกของต้วนหลิงเทียนจึงเชื่อไปว่า…
ไม่ว่าจะเป็นระนาบโลกียะขนาดย่อมที่เขาอยู่หรือในมหาระนาบโลกียะทั้งหลาย ก็ยากนักที่จะบรรลุถึงเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์!
ทว่าตอนนี้คำของจางยี่ทำให้เขาตกใจแล้วจริงๆ
ในระนาบเหยียนหวงมีตัวตนอย่างเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ดำรงอยู่จริง!
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจเป็นที่สุดและถึงกับพูดไม่ออกอยู่นาน ก็คือวาจาถัดมาของจางยี่
“ในระนาบเหยียนหวงของข้า เซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ยังไม่ได้มีแค่คนสองคน…”
แม้จางยี่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้เรื่องราว แต่สิ่งนี้ยามดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนมันสนั่นปานฟ้าร้อง
ในระนาบเหยียนหวงไม่ได้มีเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์แค่คนสองคน?
“พี่จาง…ที่ท่านพูด เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?”
มองจางยี่อีกครั้งในแววตาต้วนหลิงเทียนเผยให้เห็นถึงประกายแหลมคม เขายังไม่ปักใจเชื่อจึงจี้ถาม เพราะเรื่องนี้สำหรับเขาแล้วมันเหมือนนิทาน
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง”
จางยี่กล่าวออกมาด้ววยความมั่นใจ “ไม่ต้องกล่าถึงเรื่องอื่นใด เอาแค่ในสำนักเทียนซือของข้า ตอนนี้ท่านเจ้าสำนักของข้าเองก็เป็นเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ แถมอีกไม่กี่สิบปีหลังจากนี้ ท่านเจ้าสำนักของข้าก็จะเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์เซียนอมตะเสเพลรอบที่ 10 แล้ว ท่านจึงปิดด่านบ่มเพาะอย่างสันโดษ”
“กระทั่งการเปิดออกของแดนลับต่างสวรรค์รอบนี้ ยังไม่มีผู้ใดกล้าไปรายงาน ด้วยกลัวว่าจะเป็นการรบกวนท่านเจ้าสำนักและกริ่งเกรงว่าเรื่องนี้อาจจะส่งผลอะไรต่อการเผชิญหน้ากับหายนะในอีกไม่กี่สิบปีหลังจากนี้…ท่านเจ้าสำนักของข้าจึงมิได้เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์รอบนี้ด้วย…”
จางยี่กล่าว
“หายนะทัณฑ์เซียนอมตะเสเพลรอบที่ 10…”
ใจต้วนหลิงเทียนกระตุกไปเบาๆ
เขารู้ดีว่าหายนะทัณฑ์เซียนอมตะเสเพลรอบที่ 10 เป็นหายนะทัณฑ์ที่รุนแรงที่สุดในระนาบโลกียะนอกเหนือจาก อัสนีทัณฑ์เก้าเก้าแห่งคำสาบาน!
เป็นหายนะทัณฑ์สวรรค์ ที่เซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ทุกคนต้องเผชิญหน้าอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง!
หากท่านไม่สามารถเอาชนะและข้ามผ่านมันไปได้ ท่านจะสาบสูญไปจากสวรรค์และโลก…
หากท่านสามารถข้ามผ่านมันไปได้อย่างราบรื่น ท่านก็จะได้รับโอกาสที่สองในการเยื้องย่างขึ้นสู่ระนาบเทวโลก!
“สำนักเทียนซือของเจ้ามีเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์…แล้วหมู่บ้านเกาเหล่ากับฮัวกั่วซานเล่ามีด้วยหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“ในฮัวกั่วซานที่รู้ๆมีอยู่แน่ๆหนึ่งคน…สำหรับหมู่บ้านเก่าเหล่าดูเหมือนจะไม่มี แต่เป็นธรรมดาว่าถึงหมู่บ้านเกาเหล่าจะไม่มีเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถานะของพวกมันในระนาบเหยียนหวง เนื่องเพราะหมู่บ้านเกาเหล่ามีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับฮัวกั่วซานนัก ใครตั้งตัวเป็นศัตรูกับหมู่บ้านเกาเหล่า ก็ไม่ต่างตั้งตัวเป็นศัตรูกับฮัวกั่วซาน!”
“เรื่องนี้น้องหลิงเทียนเจ้าคงรู้อยู่แล้ว…เพราะบรรพชนผู้ก่อตั้งฮัวกั่วซานกับหมู่บ้านเกาเหล่าเป็นดั่งพี่น้องกัน!”
จางยี่กล่าวออกมารวดเดียวจบ
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ หากแต่ความครั่นคร้ามในใบหน้ายังไม่จางหายไป
เขามองจางยี่พร้อมถามสืบต่อ “เท่าที่ข้ารู้มาคิดบรรลุถึงเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ก็ยากเย็นหนักหนาแล้ว…ในระนาบเซียนของข้ากระทั่งในรอบหมื่นปียังไม่แน่ว่าจะปรากฏเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ แต่ดูเหมือนในระนาบเหยียนหวงของพี่จางเรื่องราวจะต่างจากระนาบเซียนของข้าลิบลับ”
“แล้วทำไม…ระนาบเหยียนหวงของพี่จางถึงอุบัตตัวตนเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ได้ง่ายดายนักเล่า?”
ขณะถามออกมาสองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายด้วยความอยากรู้
“อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องปกตินะ”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน จางยี่กล่าวตอบออกมาว่า “ระนาบเซียนที่เจ้าอยู่จะอย่างไรก็เป็นแค่ระนาบโลกียะขนาดย่อม ไม่เพียงแต่พื้นที่จะเล็กจ้อย กระทั่งอาจไม่มีมรดกจากเซียนอมตะด้วยซ้ำ…แต่ในระนาบเหยียนหวงของข้านั้น ด้วยความที่มันเป็นมหาระนาบโลกียะ…จึงไม่เพียงแต่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ขุมพลังทั้งหลายยังมีรากฐานมาจากมรดกของเหล่าเซียนอมตะมากมาย…”
“ด้วยมีมรดกจากเหล่าบรรพชนที่เป็นเซียนอมตะในระนาบเทวโลก ทั้งไม่ขาดยอดสมบัติสวรรค์กับเวทย์พลังจากระนาบเทวโลก เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องยากหรือไม่เล่า…หากเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ คิดเอาชนะหายนะรอบที่ 9 แล้วบรรลุเป็นเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์?”
“อันที่จริงในระนาบเหยียนหวงของข้าก็มิได้มีแค่เซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์เท่านั้น ยังมีเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์อีกมากมายหลายคนที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์เซียนอมตะเสเพลรอบที่ 10 ได้สำเร็จและได้ขึ้นสู่แดนสววรค์ไปแล้ว!”
กล่าวถึงจุดนี้ จางยี่หยุดเล็กน้อยค่อยกล่าวสืบต่อ
“นอกจากนั้นเหล่าเซียนอมตะเสเพลในระนาบเหยียนหวงของข้า ยังมีมากมายนักที่จงใจเลือกเส้นทางเซียนอมตะเสเพลด้วยตัวเอง…และตัวตนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีเวทย์พลังจากระนาบเทวโลกรวมถึงยอดสมบัติสวรรค์ในครอบครองทั้งสิ้น กระทั่งบางขุมพลังยังร้องขอยอดสมบัติสวรรค์จากเหล่าเซียนอมตะที่ขึ้นสู่ระนาบเทวโลกไปแล้วได้ด้วยซ้ำ…”
“กล่าวได้ว่าคิดจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์เซียนอมตะรอบที่ 9 หรือรอบที่ 10 ล้วนมิใช่ปัญหายากเย็นอะไรเลย…และที่ไฉนถึงมีคนจงใจเข้าสู่เส้นทางเซียนอมตะเสเพลด้วยตัวเองนั้นก็มิใช่ใดอื่น ทั้งหมดล้วนทำเพื่อปกป้องขุมพลังของตัวเอง ให้สามารถดำรงต่อไปได้นับพันนับหมื่นปี…”
จางยี่กล่าวถึงตรงนี้สองตาก็เผยประกายเทิดทูนเคารพออกมา ค่อยพูดต่อว่า “ท่านเจ้าสำนักเทียนซือของข้าก็เป็นผู้ที่จงใจเดินบนเส้นทางของเซียนอมตะเสเพลด้วยตัวเองเช่นกัน…เพราะหากไร้ข้อผิดพลาดใดๆ ท่านก็มีความมั่นใจกว่า 9 ส่วนว่าสามารถข้ามผ่านหายนะทัณฑ์เซียนอมตะเสเพลรอบที่ 10 และกลายเป็นเซียนอมตะได้อย่างราบรื่น!”
กล่าวจบไม่ว่าจะสีหน้าท่าทีของจางยี่ก็มากล้นไปด้วยความเคารพนับถือจากใจ
“มรดกของเหล่าเซียนอมตะ?”
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินจุดนี้ ก็อดมองถามจางีย่ด้วยความสงสัยไม่ได้ “แล้วมรดกของเซียนอมตะเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน? หรือเป็นเซียนอมตะที่ย้อนกลับลงมายังระนาบโลกียะของเจ้าหลังได้ขึ้นสู่ระนาบเทวโลกไปแล้ว”
“ไม่ผิด เพียงแค่เรื่องนี้กล่าวไปก็ยากลำบากอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าคิดจะกลับมามอบสมบัติให้ก็ทำได้ง่ายๆแต่อย่างใด”
จางยี่พยักกหน้า ค่อยกล่าวเสริมว่า “เพราะหากใครสักคนคิดกลับลงมายังระนาบโลกียะหลังขึ้นสู่ระนาบเทวโลกไปแล้ว ก็ต้องผ่านเงื่อนไขที่ยากลำบากอยู่บ้าง…ก่อนอื่นเลยก็ต้องเป็นตัวตนที่อยู่เหนือต้าหลัวจินเซียน และต้องมี ‘กระสวยเดินทาง’ ที่สามารถทานทนความผันผวนของห้วงมิติระหว่างระนาบเทวโลกกับระนาบโลกียะให้ได้เสียก่อน…หาไม่แล้วก็ลืมเรื่องการเดินทางลงมาได้เลย”
“อย่างที่สองก็คือ…ถึงแม้จะเป็นตัวตนที่อยู่เหนือต้าหลัวจินเซียนไปแล้ว แต่เมื่อย้อนกลับมายังระนาบโลกียะก็จะถูก ‘กรรม’ ในระนาบโลกียะแผ้วพาน หากติดบ่วงกรรมอันใดมา คิดยกระดับพลังฝึกปรือในภายหลังก็ยากเย็นนัก เผลอๆอาจจะไร้ซึ่งความก้าวหน้าอีกต่อไป…”
“ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ในบรรดาต้าหลัวจินเซียนทั้งหลาย จึงมีน้อยคนนักที่อยากจะกลับมายังระนาบโลกียะเบื้องล่าง เพราะกลัวว่าจะติดกรรมอันใดจนส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้า หากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น เผลอๆระดับพลังอาจชะงักและมิอาจบังเกิดความก้าวหน้าได้อีกเลย”
จางยี่กล่าว
“แน่นอนว่ายังมีต้าหลัวจินเซียนอีกไม่น้อย ที่ตั้งความหวังไว้กับชนรุ่นหลังในระนาบโลกียะของตัว…จึงไม่ลังเลที่จะย้อนกลับมายังระนาบโลกียะเพื่อมอบยอดสมบัติสวรรค์ ทรัพยากรรวมถึงเวทย์พลังจากระนาบเทวโลกไว้บางส่วน…”
“แต่ตัวตนที่ข้าว่ามานี้หาได้ยากยิ่งนัก…เพราะมิใช่ทุกคนจักเห็นแก่ชนรุ่นหลังเสมอไป ยังมีคนที่เห็นแก่ตัวเองเป็นหลัก และไม่คิดเสียสละอันใดเพื่อชนรุ่นหลังและทายาท หลังจากที่บรรลุถึงระดับที่เหนือกว่าต้าหลัวจินเซียนไปแล้ว”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม…ในระนาบเหยียนหวงของข้า ไม่ใช่ว่าทุกขุมพลังจะมีมรดกของเซียนอมตะ บ้างก็ไม่มีแม้แต่ยอดสมบัติสวรรค์สักชิ้น เวทย์พลังจากระนาบเทวโลกสักบทก็ไม่มี…”
จางยี่กล่าวออกมารวดเดียวจบ
“เข้าใจแล้ว”
ได้ฟังเรื่องราวจากจางยี่ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ตัวตนจากระนาบโลกียะที่สามารถขึ้นสู่ระนาบเทวโลกและบรรลุถึงระดับพลังที่เหนือกว่าต้าหลัวจินเซียนได้แล้วเท่านั้น สามารถหวนกลับมายังระนาบโลกียะได้
อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับมายังระนาบโลกียะอีกครั้ง ก็จะถูกกรรมในระนาบโลกียะแผ้วพาน ซึ่งจะส่งผลต่อความก้าวหน้าในภายหลัง ถึงขั้นเผลอๆระดับพลังอาจหยุดไว้เพียงเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่ตัวตนที่เหนือกว่าต้าหลัวจินเซียนทุกคนที่จะเต็มใจย้อนกลับมายังระนาบโลกียะ เพื่อให้การช่วยเหลือและดูแลชนรุ่นหลัง
‘ด้วยความที่ระนาบเซียนมันเป็นแค่ระนาบโลกียะขนาดย่อม ตัวตนที่สามารถขึ้นสู่แดนสวรรค์ได้ก็เรียกว่ามีน้อยคนอยู่แล้ว ยังน้อยนิดจนไม่นับเป็นอะไรหากเทียบกับมหาระนาบโลกียะ…เช่นนั้นก็ไม่แปลกอะไรที่ในระนาบเซียนจะไม่มีมรดกหรือยอดสมบัติสวรรค์อยู่เลย’
‘หากไร้ยอดสมบัติสวรรค์กับเวทย์พลังจากระนาบเทวโลก…อาศัยแค่ทรัพยากรในระนาบโลกียะ เหล่าเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ทั้งหลายก็ยากนักที่จะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์เซียนอมตะเสเพลรอบที่ 9 และบรรลุถึงเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ได้สำเร็จ…’
พอลองนึกดูต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจความเป็นมาและสาเหตุได้ไม่ยาก
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนนยังตระหนักได้ถึงช่องว่างระหว่างมหาระนาบโลกียะกับระนาบโลกียะขนาดย่อม…มันช่างแตกต่างกันดั่งฟ้าดิน!
“เพราะเหตุนี้…”
ตอนนี้เองสองตาจางยี่พลันทอประกายสว่างจ้า กล่าวต่อออกมาว่า “แดนลับต่างสวรรค์จึงกลายเป็นหนทางหนึ่ง ที่เหล่าขุมพลังทั้งหลายจะได้รับยอดสมบัติสวรรค์และเวทย์พลังจากระนาบเทวโลก! กระทั่งได้สืบทอดมรดกของต้าหลัวจินเซียน!”
“ทำให้ยามที่แดนลับต่างสวรรค์เปิดออก เหล่าขุมพลังทั้งขั้วอำนาจทั้งหลายแหล่ ต่างพากันส่งมือดีเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์เพื่อช่วงชิงมากมาย…กระทั่งยังทำทุกวิถีทางเพื่อแก่งแย่ง! เพราะหากขุมพลังใดได้รับยอดสมบัติสวรรค์กระทั่งเวทย์พลังจากระนาบเทวโลกกลับไปครอบครองล่ะก็ พวกมันอาจจะทะยานสู่ฟ้าได้ในคราเดียว!”
จางงยี่กล่าวสืบต่อ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้า เขาเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี
สำหรับขุมพลังทั้งหลายที่ไร้มรดกจากเซียนอมตะ มีเพียงได้รับยอดสมบัติสวรรค์และเวทย์พลังของระนาบเทวโลกจากแดนลับต่างสวรรค์เท่านั้น พวกมันถึงจะพอยกระดับพลังโดยรวมของขุมพลังตนเองได้
เพราะสำหรับพวกมันแล้ว คงเหลือเพียงแดนลับต่างสวรรค์แห่งเดียว ที่เปิดโอกาสให้พวกมันได้ครอบครองสิ่งดีๆเหล่านั้น
สำหรับเรื่องที่ฮัวกั่วซานและขั้วอำนาจระดับแนวหน้าของระนาบเหยียนหวง ที่มีสมบัติและมรดกตกทอดจากเซียนอมตะอยู่แล้วไฉนยังเข้ามาอีก เขาก็เข้าใจได้ไม่ยากก
เพราะสุดท้ายแล้วของดีมีเพิ่มย่อมเป็นเรื่องประเสริฐ! ยอดสมบัติเอยเวทย์พลังเอย เท่าเดิมมิสู้มีเพิ่ม!
“สมบัติสถานระดับสวรรค์…ในเมื่อมันไม่ใช่มรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน เช่นนั้นปกติแล้วมันจะมีอะไรดีๆบ้าง?”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันเปลี่ยนเรื่อง และถามเรื่องที่อยากรู้ในปัจจุบันกับจางยี่ออกมา
“ในสมบัติสถานระดับสวรรค์นั้น ปกติแล้วมักมียอดสมบัติสวรรค์มากกว่า 1 ชิ้น กระทั่งอาจมีเวทย์พลังจากระนาบเทวโลก…เช่นเดียวกับสมบัติสถานระดับสวรรค์ที่ท่านเซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋ทิ้งไว้ตรงหน้าของพวกเรา สมควรมียอดสมบัติสวรรค์ที่ท่านไม่ใช้แล้วอยู่แน่ กระทั่งอาจมีเวทย์พลังของระนาบเทวโลกอยู่มากกว่าหนึ่ง!”
จางยี่กล่าวตอบด้วยประกายตาลุกวาว
“ยอดสมบัติสวรรค์ทั้งเวทย์พลังจากระนาบเทวโลก…อาจจะมีมากกว่าหนึ่ง?!”
สองตาต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะลุกวาวส่องแสงจ้าออกมาหลังได้ยินเรื่องนี้
ยอดสมบัติสวรรค์นั้นไม่นับเป็นอะไร เพราะเขามีไว้ครอบครองแล้วหนึ่งชิ้น
แต่กับเวทย์พลังจากระนาบเทวโลกที่ว่า…ตราบใดที่ไม่ใช่เวทย์พลังสนับสนุน เขากำลังต้องการมันอย่างเร่งด่วน!!