แม้ท่านกงสิ้นแล้ว แต่บารมียังเหลือ ด้วยเคยมีบุญคุณต่อประชาชน
ครานั้นท่านกงหวนลงใต้จากเซียงหยาง ขบวนประชาชนที่อพยพตามท่านกงมายาวไม่ขาดสายเสมือนแม่น้ำ ระหว่างทางท่านกงกราบทูลขอให้พวกเขาลงหลักปักฐานบนที่ดินว่างในฉางซาแต่มิเป็นผลสำเร็จ หลังจากท่านกงตายในคุกเพราะข้อหาก่อกบฏ อัครมหาเสนาบดีซั่งก็ส่งพวกเขาไปอยู่ในแดนรกร้างที่อันลู่กับอวิ๋นเมิ่ง เขาระแวงว่าในหมู่ประชาชนจะมีสายลับจึงควบคุมอย่างเข้มงวด ชาวบ้านต่างทุกข์ยาก ร่ำไห้บอกกันว่า ‘มิสู้ถูกกฎกองทัพประหารเสียยังดีกว่า’
อัครมหาเสนาบดีซั่งได้ข่าวก็โกรธเกรี้ยว ลอบส่งคนสนิทไปฆ่าล้างบางชาวประชา ผู้ใต้เก่าของท่านกงลอบบอกกับผู้คนว่า ‘แม่ทัพใหญ่ช่วยชีวิตทุกคนมา แต่วันนี้อัครมหาเสนาบดีซั่งกลับต้องการสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ ข้ามิอาจยอมทน ตามข้ามาเถิด’
ประชาชนทั้งหลายต่างร่ำไห้ มิรู้จะทำประการใดดี คนผู้นั้นจึงใช้จดหมายกับป้ายคำสั่งของท่านกงเกลี้ยกล่อมพวกเขา ทุกคนจึงออกเดินทางกลับเซียงหยางในยามค่ำคืน
ทหารที่รับคำสั่งทราบเรื่องพลันตามล่าไม่ลดละ บรรดาแม่ทัพที่คุมเมืองในเส้นทางล้วนเป็นผู้ใต้บัญชาเก่าของท่านกง เมื่อเห็นป้ายคำสั่งจึงปล่อยพวกเขาผ่านไป ชาวบ้านหวนคืนเซียงหยางได้แปดเก้าส่วนในสิบส่วน เมื่อถึงเซียงหยาง ชาวบ้านทั้งหลายต่างร่ำไห้อยู่หน้ากำแพงเมือง ตะโกนว่ายินดีรับโทษตามกฎกองทัพ
แม่ทัพต้ายงจ่างซุนจี้ทำใจเหี้ยมมิลง ลังเลตัดสินใจมิได้ ชาวบ้านจึงส่งจดหมายของท่านกงให้ จ่างซุนจี้อ่านจดหมายจบก็ถอนหายใจ ขอพระราชทานราชโองการให้ละเว้นโทษแก่พวกเขา จวบจนวันนี้ประชาชนของเซียงหยางล้วนตั้งป้ายบูชาวิญญาณของท่านกง
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน ประวัติจงอู่กง
“วารีราดรดบนผืนดิน ยังไหลรินออกตกเหนือใต้ ดังชีวิตคนต่างมีชะตา ไฉนมานั่งถอนใจกลัดกลุ้ม ร่ำสุราปลุกปลอบตนเอง ชูจอกขับเพลง ‘หนทางลำบาก’ แต่ดวงใจใช่ท่อนไม้ไร้อารมณ์ อ้ำอึ้งยึกยักมิกล้าเอ่ย[1]”
เส้นทางบนภูเขาขรุขระและคดเคี้ยวเดินยากยิ่งนัก หญิงวัยกลางคนรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเดินนำมือกระบี่หญิงสองนางขึ้นไปบนภูเขา เมื่อได้ยินเสียงบทเพลงเศร้าสร้อยลอยมา หญิงวัยกลางคนรูปงามผู้นี้ก็เผยสีหน้าเย้ยหยันแวบหนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็กลับกลายเป็นเศร้าสร้อย นางได้ยินเสียงสายน้ำไหลรินจึงยิ่งเร่งฝีเท้า พออ้อมผ่านหน้าผาแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าก็พลันสว่างไสวและเปิดโล่ง
ตรงไหล่เขามีที่ราบอยู่ราวครึ่งหมู่ ฝั่งขวามีหน้าผาตัดชันตั้งตระหง่าน ตัดตรงแน่วราวกับด้ามพู่กัน ฝั่งซ้ายระหว่างหน้าผาชันสองแห่งมีน้ำตกสายหนึ่งกระโจนลงมาเป็นห้วงๆ เสมือนหนึ่งธารหยก จุดที่ธารน้ำตกร่วงลงมากระทบหมู่โขดหินมีบึงลึกอยู่แห่งหนึ่ง ยามน้ำตกร่วงกระทบศิลาขาวนวลคล้ายหยกใจกลางบึงสีคราม หยาดน้ำกระเซ็นต้องแสงตะวันแลดูคล้ายเม็ดไข่มุก
บุรุษอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหินเขียวริมบึง เขาถอดรองเท้ากับถุงเท้า แช่เท้าสองข้างอยู่ในบึง คล้ายมิรู้สึกถึงความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกของน้ำในบึงอันเกิดจากหิมะเหมันต์ละลายไหลมารวมกันแม้แต่น้อย
หญิงงามวัยกลางคนมองกระบี่คู่กายที่ยังอยู่ในฝักของเขาแล้วยิ้มหยัน “เหวยอิง เจ้าเสียใจหรือไม่ที่วันนั้นตัดสินใจหันไปเข้ากับลู่ช่าน เป็นอริกับพวกเรา”
เหวยอิงมิหันหลังกลับมา เขาเอ่ยอย่างเฉยชา “บนโลกนี้มีเรื่องให้นึกเสียใจอยู่มากเหลือเกิน หากข้าต้องเสียใจกับเรื่องนี้ มิสู้เสียใจกับเหตุการณ์ที่พระราชวังเลี่ยกงดีกว่า หลายวันมานี้พวกเจ้าเสียหายหนักหนากว่าข้ามากนัก แม้ข้าจะสูญเสียขุนเขาที่พึ่งพิง แต่พวกเจ้าสูญเสียขุมกำลังหลักไปแล้ว เจ้านึกเสียใจหรือไม่เล่า พระสนมกุ้ยเฟย”
สตรีนางนั้นเผยสีหน้าอำมหิต ใบหน้าที่แต่เดิมงามพิลาสบิดเบี้ยว ผ่านไปเนิ่นนานนางจึงสงบใจลง แล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “อย่าได้เรียกข้าเช่นนั้น กุ้ยเฟยอันใด พระสนมอันใด ข้าก็เป็นเพียงหมากของศิษย์พี่เท่านั้น โต้วฮองเฮา จ่างซุนกุ้ยเฟย เหยียนกุ้ยเฟยถึงจะเป็นเมียรักของหลี่หยวน ข้าจี้เสียนับเป็นอะไรได้
แต่ฐานะนั้นก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน มิเช่นนั้นซั่งเหวยจวินที่มีอำนาจเหนือเจียงหนานอยู่แล้วจะเข้ามาติดกับดักของข้าได้อย่างไรเล่า หนนี้พวกเราเสียหายหนักหนาอย่างยิ่งจริงๆ เซียวหลัน เฟิ่งเฟยเฟยกับเซี่ยเสี่ยวถงล้วนตายแล้ว
เฟยเฟยกับเสี่ยวถงนั่นช่างเถิด นอกจากวิชากระบี่ที่มีติดตัว ปกติเวลาทำงานเอาแต่พะวงนั่นพะวงนี่ แต่เซียวหลันออกจะน่าเสียดายอยู่บ้าง เรือนเงาจันทร์มอบหมายให้นางดูแลมาตลอด นางตายหนนี้ข้าจึงเสียผู้ช่วยไป นี่เป็นเรื่องน่าปวดหัวยิ่งนัก”
เหวยอิงกล่าวตอบเสียงเย็นชา “วันนี้ตำหนักเฟิ่งอู่ ตำหนักอี๋หวงเหลือเพียงเจ้ากับเยี่ยนอู๋ซวงผู้เป็นเจ้าตำหนักเพียงสองคน ขุมกำลังว่างเปล่า ดังนั้นเจ้าถึงเกลี้ยกล่อมเจ้าสำนักให้คืนดีกับตำหนักเฉิน ถึงขั้นมิคิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่ข้าเคยช่วยสนับสนุนแม่ทัพใหญ่ใช่หรือไม่”
จี้เสียเลิกคิ้ว “ใช่แล้ว ข้าไม่เพียงหวังจะร่วมมือกับเจ้า ยังหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าแย่งชิงอำนาจ เยี่ยนอู๋ซวงลอบสังหารสือกวนด้วยตัวเองเพื่อกอบกู้หน้า จนวันนี้บาดเจ็บหนักลุกจากเตียงไม่ขึ้น หลิงอวี่เองก็มิเคยสนใจงานการ หากเจ้ากับข้าร่วมมือกัน การจะได้ตำแหน่งเจ้าสำนักมาครองก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
เหวยอิงหันกลับมา “เรื่องนี้เจ้าเพ้อฝันแล้ว หลิงอวี่กุมตำแหน่งเจ้าสำนักมาอย่างมั่นคง ประการที่หนึ่งเป็นเพราะคำสั่งเสียของเจ้าสำนักฟ่าน ประการที่สองเพราะมือกระบี่หญิงที่ศิษย์พี่เหวินเคยฝึกไว้เมื่อสมัยนั้นจำนวนครึ่งหนึ่งยังคงเชื่อฟังคำสั่งนางอยู่ นางหลบเร้นอยู่ในเงามาหลายปี ยอมรับสถานการณ์ที่ถูกพวกเรากีดกันนางอย่างเงียบๆ แต่นางหาใช่ขลาดกลัว นางไม่มีวันปล่อยให้เจ้าทำตามใจเด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้แม้พวกเราสามตำหนักจะสูญเสียขุมกำลังไปมาก แต่แมลงร้อยขา ต่อให้ตายแล้วตัวก็ยังดิ้น เจ้าตำหนักเยี่ยนลอบสังหารสือกวนสำเร็จ ทำให้พวกเรายื่นมือเข้าไปในกองทัพไหวซีได้ คุณงามความชอบนี้มิอาจนับว่าน้อย แม้ผู้แซ่เหวยจะพลาดพลั้ง แต่หากไม่มีตำหนักเฉินคอยเป็นขุมกำลังวงนอก พวกเจ้าก็อย่าคิดจะหยัดยืนมั่นคงในหนานฉู่
เจ้าต่างหาก กำลังพลที่สูญเสียในเรือนตระกูลเฉียวล้วนเป็นของตำหนักอี๋หวง หากแผนการล่อศัตรูเข้าไหหนนี้ไม่ลุล่วง แม้ว่าพวกเจ้าจะดึงซั่งเหวยจวินกับจ้าวหล่งมาเป็นพวกได้ แต่นับจากนี้ตำหนักอี๋หวงก็จะตกต่ำกลายเป็นไก่รองบ่อน หากข้าเป็นเจ้า จะไม่คิดหาทางเข่นฆ่าคนของตัวเอง เอาเวลาไปคิดว่าจะจัดการขุมกำลังในยุทธภพที่ปกป้องแม่ทัพใหญ่อย่างไรให้หมดในคราวเดียวดีกว่า”
จี้เสียฟังคำพูดเยาะเย้ยเสียดสีของเหวยอิงจบ ไม่เพียงไม่ขุ่นเคือง แต่กลับหัวเราะออกมา “ดี ดี เจ้าพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ บ่งบอกว่ายังเห็นพวกเราเป็นพวกเดียวกัน เจ้าสำนัก ท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่ คงไม่สงสัยความภักดีของเจ้าตำหนักเหวยแล้วกระมัง”
แววตาเหวยอิงเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง สายตาเลื่อนไปจับบนร่างมือกระบี่หญิงสองนางที่อยู่หลังร่างจี้เสีย สองคนนี้ล้วนอายุสามสิบห้าสามสิบหกปี สีหน้าเรียบเฉย ปราณกระบี่น่าครั้นคร้าม มองไม่ออกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ
ทว่าชั่วขณะที่แววตาของเหวยอิงฉายแววประหลาดใจ สตรีนางหนึ่งในนั้นก็เอ่ยเสียงดังกังวาน “อาจารย์อาพูดไว้ไม่ผิด เจ้าตำหนักเฉินยังภักดีจริงๆ” กล่าวจบก็เดินมาริมบึง เอื้อมมือออกมารองใต้น้ำตก วักน้ำเล็กน้อยมาล้างสมุนไพรบนใบหน้าของตนเอง เผยโฉมหน้างามล่มเมืองดุจนางฟ้านางสวรรค์ นางคลี่ยิ้มงดงาม เอ่ยขึ้นว่า “ฝีมือของอาจารย์อาช่างล้ำเลิศ เพียงใช้ผงแป้งกับสมุนไพรเล็กน้อยก็ปิดบังสายตาของเจ้าตำหนักเฉินได้แล้ว”
เหวยอิงถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นจัดเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างเยือกเย็น เขาสวมถุงเท้ารองเท้าแล้วลุกขึ้นกล่าวเรียบๆ “ที่แท้เจ้าสำนักก็ตั้งใจหยั่งเชิงกัน แม้ผู้แซ่เหวยทำงานให้แม่ทัพใหญ่ แต่นั่นก็ทำเพื่อสำนักของตน เจ้าสำนักคิดว่าผู้แซ่เหวยยังมีทางเลือกอื่นหรืออย่างไร”
หลิงอวี่เผยสีหน้าละอายใจแล้วกล่าวว่า “ข้ากังวลมากเกินไปเอง พี่เหวยกับพวกเราทั้งเป็นศิษย์ร่วมสำนักและเป็นผู้ถูกขับไล่มายังสุดขอบฟ้าเช่นเดียวกัน ไฉนจะมีใจคิดเป็นอื่นได้ หนนี้พวกเราจำเป็นจะต้องรวมใจเป็นหนึ่ง สำนักเฟิงอี้ของเราจึงจะทำการใหญ่ในหนานฉู่สำเร็จ ขอพี่เหวยอย่าได้ถือโทษเจตนาจะหยั่งเชิงของข้า”
เหวยอิงถอนหายใจแผ่วเบา สตรีผู้ทำตัวจืดจางมาหลายปีคนนี้ ลงมือครั้งเดียวก็ทำให้คนตกตะลึง นางรวบความพยายามหลายปีของทั้งสามตำหนักเข้ามาอยู่ในมือตน ดูท่าเจ้าสำนักเฟิงอี้จะมิได้เลือกนางเป็นผู้สืบทอดเพียงเพราะต้องการคานอำนาจ แม้ในใจจะชื่นชม แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย เพียงตอบอย่างเฉยชาว่า “นี่ก็เป็นเรื่องสมควร เจ้าสำนักจัดระเบียบสามตำหนักใหม่อีกหนก็สมควรยืนยันความภักดีของพวกข้า”
แม้หลิงอวี่จะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่เวลานี้ดวงตาฉายแววปิติยินดี นางตอบอย่างปลาบปลื้ม “เจ้าตำหนักเหวยคิดเช่นนี้ย่อมดีที่สุด หนนี้พวกเราวางกับดัก ต้องรวบคนในยุทธภพที่ไม่รู้จักมองสถานการณ์พวกนั้นได้หมดแน่ ถึงเวลาสำนักเฟิงอี้ของพวกเราก็จะปกครองใต้หล้าเจียงหนานแต่ผู้เดียว เมื่อรวมกับขุมกำลังของพวกเราที่แทรกซึมอยู่ในราชสำนักกับกองทัพ ภายในเวลาไม่กี่ปี พวกเราจะพลิกฟื้นความรุ่งเรืองในวันวานกลับมาได้อย่างแน่นอน”
เหวยอิงมิตอบคำ ในใจเพียงหัวเราะหยัน
หลิงอวี่เห็นเขามีสีหน้าเรียบเฉยกลับยิ่งวางใจ นางรู้ดีว่าเหวยอิงเหลี่ยมจัด หากเขามิคิดจะกลับมาเข้าร่วมจากใจจริงย่อมมิมีทางเฉยชาเช่นนี้แน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งจำเป็นต้องหว่านล้อมชักชวนเหวยอิงให้ดี ในสายตาของนาง ความสามารถของเหวยอิงเหนือกว่าคนทั้งหลายในสำนัก หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากใจจริงของเขา สำนักเฟิงอี้คิดจะหยัดยืนในราชสำนักและโลกภายนอกย่อมเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง
พอคิดมาถึงตรง นี้หลิงอวี่ก็ยิ้มให้จี้เสีย “อาจารย์อา เชิญท่านออกไปลาดตระเวนดูสักรอบ เรื่องนี้มีแต่ยกให้อาจารย์อาทำด้วยตนเอง ข้าจึงจะวางใจ”
[1]บทกวี หนทางลำบาก (行路难) ของ เป้าจ้าว (鲍照) กวีสมัยราชวงศ์ซ่งใต้