ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 114 หนทางลำบาก (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

หัวใจของชุยเสียงหนาวเหน็บ แม้เหวยอิงจะเป็นคนใจเหี้ยมเด็ดขาดมาเสมอ แต่ความอำมหิตในวันนี้ก็ยังทำให้เขาตาโตพูดไม่ออก คนของตำหนักที่เดินทางมารับผิดชอบภารกิจดักซุ่มสังหารครั้งนี้เป็นยอดฝีมือที่รับเข้ามาในตำหนักหลายปีแล้ว นับว่าเป็นกำลังพลห้าหกส่วนในสิบส่วนของตำหนัก หากถูกสังหารจนสิ้น ขุมกำลังของตำหนักเฉินย่อมลดลงอย่างมาก แต่เหวยอิงกลับมิเสียดายสักนิด

ต่อจากนั้นเขาก็นึกถึงกลุ่มองครักษ์โลหิตที่เหวยอิงก่อตั้งขึ้นมาจากการเลือกยอดฝีมือในตำหนักระหว่างหลายปีนี้ องครักษ์โลหิตเหล่านี้ไม่เพียงวรยุทธ์สูงส่ง แต่ยังภักดีต่อเหวยอิงมิเป็นอื่น แม้จำนวนคนจะน้อยแต่นับเป็นขุมกำลังสี่ถึงห้าส่วนของตำหนัก เพียงแต่องครักษ์โลหิตรับผิดชอบภารกิจจู่โจมอันยากเย็นจึงมักจะล้มตายอยู่เป็นประจำ จวบจนวันนี้เหลือสมาชิกอยู่ไม่ถึงห้าสิบคนเท่านั้น

หนนี้เหวยอิงพาองครักษ์โลหิตเกือบทั้งหมดมาด้วย แต่เดิมเขาคิดว่าจะจู่โจมสายฟ้าแลบในช่วงเวลาสุดท้าย แต่คิดมิถึงว่าเหวยอิงกลับให้องครักษ์โลหิตเหล่านี้เข่นฆ่ากันเองกับกำลังหลักของตำหนักเฉิน เมื่อสองฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตาย ไฉนมิใช่ตัดปีกของตนเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเหวยอิงบ้าไปแล้ว ชุยเสียงยืนตะลึงอยู่กับที่ แม้แต่คำว่าน้อมรับบัญชาก็พูดไม่ออก

เหวยอิงหัวใจเย็นชาดุจน้ำแข็ง พอเห็นชุยเสียงมีท่าทางเช่นนี้กลับมิเห็นใจแม้แต่น้อย เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ไปอีก คิดจะต่อต้านคำสั่งหรืออย่างไร”

ชุนเสียงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นยะเยือกบนตัวของเหวยอิง หัวใจพลันสั่นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงลี่หมิงที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ที่ผ่านมาเหวยอิงมักจะไว้เนื้อเชื่อใจลี่หมิงมากกว่า แต่หนนี้กลับไม่พาเขาเดินทางมาด้วย หรือว่าเขาจะได้รับคำสั่งจากเหวยอิงให้กระทำบางสิ่งอย่างลับๆ ดังนั้นท่านเจ้าตำหนักจึงไม่เสียดายขุมกำลังของตำหนักเฉินที่จะเสียไป

ชุยเสียงคิดว่าเขาคงทำเพื่อกำจัดภัยร้ายภายในให้สะอาดเกลี้ยงกระมัง หลังจากคิดตกแล้วจิตใจก็ปลอดโปร่ง นี่เป็นวิธีการใช้งานคนที่เหวยอิงทำมาตลอดอยู่แล้ว เขามักจะมิยอมให้ผู้อื่นล่วงรู้เป้าหมายและแผนการที่แท้จริงง่ายๆ ชุยเสียงตอบรับอย่างยินดีปรีดา “ผู้น้อยรับบัญชา”

เหวยอิงมองเงาแผ่นหลังของชุนเสียงเคลื่อนห่างออกไป แววตาเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง ฉากหน้าคนสนิทข้างกายเขาคือลี่หมิงกับชุยเสียง อีกทั้งชุยเสียงยังถูกใช้ให้ทำงานสำคัญมากกว่าอยู่บ้าง แต่ความจริงแล้วเขากลับไม่เชื่อใจชุยเสียงนัก

คนผู้นี้มีความสามารถทำให้สารพัดสัตว์ร้ายที่เข้ามาทำงานในตำหนักเฉินยอมเชื่อฟังได้ อีกทั้งวรยุทธ์ก็โดดเด่น ปกติทำงานก็เรียบร้อยยิ่งนัก คนเช่นนี้กลับยอมมาเป็นลูกน้องอย่างยินยอมพร้อมใจ ทั้งที่ตนเองก็มิได้มีบุญคุณต่อเขาเท่าใดนัก คิดอย่างไรก็รู้สึกไม่วางใจ

เพียงแต่ว่าเดิมทีเหวยอิงก็มิเชื่อใจลูกน้องที่ได้มาเป็นพวกเพราะถูกอำนาจและเงินทองบีบบังคับเหล่านั้นมากนักอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงยกกำลังพลมากกว่าครึ่งของตำหนักเฉินให้ชุยเสียงจัดการ จากนั้นคอยเฝ้ามองความเคลื่อนไหวจากด้านข้าง ปล่อยให้ยอดฝีมือจากยุทธภพที่แตกสามัคคีเหล่านี้ต่อสู้กันเองในที่ลับและที่แจ้ง ส่วนตนเองก็เลือกคนที่ใช้งานได้จำนวนหนึ่งออกมาจากหมู่คนเหล่านี้ ชักชวนพวกเขามาเป็นคนสนิท จัดเข้ามาอยู่ในกลุ่มองครักษ์โลหิต องครักษ์โลหิตที่ภักดีอย่างแท้จริงเหล่านี้ เขาเป็นคนบังคับบัญชาด้วยตัวเอง ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจยื่นมือเข้ามาสอดได้ทั้งสิ้น กลับกลายเป็นลี่หมิงที่ตำแหน่งอยู่ใต้ชุยเสียงด้วยซ้ำที่ล่วงรู้ความลับบางอย่างเพราะได้รับความเชื่อใจ

บทสนทนากับหลิงอวี่เมื่อครู่ทำให้เหวยอิงทราบว่าในหมู่คนเหล่านี้ของตำหนักเฉินจะต้องมีคนของหลิงอวี่อยู่ หลิงอวี่เป็นคนทะนงตัวยิ่งนัก เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าชุยเสียงจะเป็นเป้าหมายของนาง ยิ่งเมื่อครู่เห็นท่าทีที่หลิงอวี่มีต่อชุยเสียง เหวยอิงก็ยิ่งคลางแคลงใจ

เวลานี้ชุยเสียงยังรับปากจะนำไพร่พลเข่นฆ่ากันเองอย่างมิสะทกสะท้าน มิสนใจความเป็นความตายของลูกน้องสักนิดอีก ในใจเขาจึงเกิดความคิดจะสังหารคนขึ้นมาแล้ว หากมิใช่ว่าการทำเช่นนี้ของชุยเสียงตรงความต้องการของเขาพอดี เหวยอิงคงลงมืออำมหิตตั้งแต่ตอนนี้ไปแล้ว

เหวยอิงฝืนข่มกลั้นจิตสังหารในใจ เมื่อนึกขึ้นมาว่าเรื่องทุกอย่างกำลังจะจบในอีกไม่ช้า เขาก็เลื่อนสายตาไปมองน้ำตกที่กระโจนออกมาจากชะง่อนผาอีกหน เขามองสายธารตกกระทบก้อนหิน หยาดน้ำที่สาดกระเซ็นแวววาวดุจเศษหยก ละอองน้ำขาวโพลนฟุ้งกระจายดั่งม่านหมอก จู่ๆ หัวใจก็รวดร้าวเหลือคณา

เขาเงยหน้ามองเมฆหมอก ท้องนภาขมุกขมัวทอดยาวไร้ที่สิ้นสุด ทันใดนั้นดวงตาพลันมีหมอกน้ำปกคลุม น้ำเสียงกับรอยยิ้มของลู่ช่านยังเสมือนปรากฏอยู่ตรงหน้า ยิ่งนึกขึ้นมาว่าลู่เฟิงที่ตนเองเพียรพยายามจะปกป้องอาจถูกสังหารไปแล้ว หัวใจก็เจ็บปวดแสนสาหัสจนยากจะทานทน น้ำตาใสหลายหยดหล่นร่วงลงในบึงน้ำ เพียงชั่วพริบตาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ขบวนคนกลุ่มหนึ่งเดินเชื่องช้าไปตามเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขา ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสุดคือราชองครักษ์กลุ่มหนึ่ง เวลานี้พวกเขาทุกคนก้าวเท้าอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะพลัดหล่นจากเส้นทางร่วงลงไปในหุบเหวลึกด้านข้าง บนร่างพวกเขาสวมเกราะพร้อมเต็มยศ แม้นั่นจะทำให้การปีนเขาข้ามดอยยากลำบากยิ่งนัก แต่พวกเขาไม่คิดจะถอดเกราะให้ร่างกายเบาขึ้นแม้แต่นิดเดียว

ผู้ที่เดินอยู่ตรงกลางขบวนมีอยู่ราวห้าสิบคน รูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป แต่พวกเขาล้วนมีใบหน้าซูบเซียวและเลอะเทอะมอมแมมดุจเดียวกัน ในขบวนมีทั้งผู้เฒ่า เด็กน้อยและสตรี ในหมู่คนเหล่านั้นมีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวเดินอย่างยากลำบากอย่างยิ่ง แม้สตรีนางนี้จะสวมชุดนักโทษตัดจากผ้าเนื้อหยาบ แต่นางก็ยังคงมีรูปโฉมและกิริยาท่าทางอันสง่างาม เพียงแต่ใบหน้าของนางถูกหยาดเหงื่อกับฝุ่นทรายบดบังไว้

ข้างกายนางมีหญิงสาวสองคนแบกห่อสัมภาระคนละใบ แม้จะลำบากอย่างยิ่ง แต่พวกนางดูเหมือนจะยังมีแรงเหลือพอคอยช่วยประคองหญิงวัยกลางคนผู้นี้เป็นระยะ นอกจากสตรีสามคนนี้ ยังมีสตรีอีกห้าหกคน คนมากกว่าครึ่งอายุราวยี่สิบถึงสามสิบปี ข้างกายมีบุรุษคอยประคองอยู่ มองปราดเดียวก็ทราบว่าคงเป็นสามีภรรยา แล้วยังมีเด็กน้อยชายหญิงอีกจำนวนหนึ่งเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน แต่ละคนคอยช่วยกันและกันระหว่างปีนป่ายอย่างสุดกำลัง มีเด็กผู้ชายตัวน้อยอายุห้าหกขวบคนหนึ่งปีนขึ้นเขาตามลำพังไม่ไหวจริงๆ บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งจึงมัดเขาไว้บนหลังแล้วพาเดิน

นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีบุรุษอีกยี่สิบถึงสามสิบคน อายุดูเหมือนจะน้อยกว่าสามสิบปีทั้งสิ้น แม้จะสวมชุดนักโทษ แต่การเคลื่อนไหวกลับแฝงความน่าเกรงขามและไอสังหารออกมาเลือนราง พวกเขาตั้งรูปขบวนคลับคล้ายกระบวนทัพ ปกป้องอยู่ด้านนอกกลุ่มสตรีกับเด็ก

ด้านหลังของพวกเขาก็มีทหารราชองครักษ์อีกกองหนึ่ง แม้แต่ตอนที่ปีนขึ้นเขา พวกเขาก็ยังเฝ้าจับตาดูนักโทษเบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง กลัวว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายอันใดขึ้น เดิมทีหากมีคนสักกลุ่มหนีรอดไประหว่างทาง หรือเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นมาก็มินับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด อย่างมากที่สุดรายงานว่าป่วยตายกะทันหันก็เพียงพอแล้ว แต่คนเหล่านี้ล้วนเป็นนักโทษที่เจ้าแคว้นตัดสินโทษ ไม่ต้องพูดถึงหากหนีไปได้สักคน หากตายไปสักคน เบื้องบนก็คงสั่งลงโทษเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ทหารราชองครักษ์เหล่านี้ต่างรู้ว่าคนที่ตนเองกำลังคุมตัวอยู่คือผู้ใด แม่ทัพใหญ่ลู่ช่านชื่อเสียงเลื่องลือ ลูกน้องเก่ามีมากมายนับไม่ถ้วน ผู้กล้าที่ยอมตายเพื่อเขายิ่งมีนับไม่หวาดไม่ไหว สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เรื่องที่มีคนพยายามจะช่วยลู่ช่านในวันที่เขาถูกพระราชทานยาพิษประหารในเรือนตระกูลเฉียวลือกระฉ่อนไปทั่ว ยิ่งไปกว่านั้น ลู่อวิ๋นที่ถูกตัดสินประหารทันทีก็ถูกคนพาตัวหนีไปได้ หากจะบอกว่าระหว่างทางไม่มีทางมีคนมาปล้นตัวนักโทษ ทหารราชองครักษ์เหล่านี้ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด

ยอดเขาเซียนสยาเส้นทางสูงชัน แต่นั่นขวางคนในยุทธภพมิได้ หากมีคนฉวยโอกาสช่วยลู่ฮูหยินหรือคุณชายน้อยไป นั่นย่อมเป็นโทษหนักต้องถูกประหารทั้งตระกูล

แน่นอนว่าต้วนเยว์นายกองผู้เป็นหัวหน้าทหารราชองครักษ์กองนี้ซึ่งเดินตามอยู่หลังขบวนกำลังกลัดกลุ้มกับอีกเรื่องหนึ่ง เขาเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง แม้ตระกูลจะไม่มีอำนาจมากนัก แต่ก็พอมีที่ยืนอยู่ในเมืองเจี้ยนเย่ ถึงเขาจะมิใช่บุตรจากภรรยาเอกแต่ก็ได้ตระกูลดูแลจนกลายเป็นนายกองของทหารราชองครักษ์ ได้บัญชาการพลทหารหนึ่งพันกว่านาย ประจำการอยู่ที่นอกเมืองเจี้ยนเย่

แต่เดิมคิดว่าชีวิตนี้จะผ่านไปอย่างเรียบเรื่อยเช่นนี้ คิดมิถึงว่าหนนี้กลับได้รับงานที่เป็นเผือกร้อนมาอยู่ในมือ เขาได้รับคำสั่งให้คุมตัวครอบครัวของลู่ช่านเดินทางไปเมืองติ้งหย่วนที่ทิงโจว ที่นั่นเป็นแผ่นดินรกร้างเต็มไปโรคร้าย ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปได้หรือไม่ เพียงคิดถึงอันตรายและความยากลำบากระหว่างทางก็เพียงพอทำให้เขาลากเท้าไปข้างหน้าไม่ออกแล้ว

นอกจากเขาจะกังวลว่าจะมีคนเดินทางมาปล้นนักโทษ อีกเรื่องหนึ่งที่เขากังวลมากกว่าก็คือ ต่อให้ซั่งเหวยจวินจะพยายามห้ามปรามอย่างเข้มงวดจนมีไม่กี่คนที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างลับๆ แล้ว แต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าซั่งเหวยจวินตั้งใจจะกำจัดถอนรากถอนโคนตระกูลลู่ก็ยังคงถูกลือกันอย่างลับๆ อยู่ ตนเองมิใช่คนสนิทของอัครมหาเสนาบดีซั่ง ท่านเสนาบดีย่อมไม่ลอบสั่งให้ตนลงมือกลางทาง แต่หากได้รับคำสั่งลับมาจริงๆ เขาก็สงสัยยิ่งนักว่าตนจะมีความกล้าพอลงมือหรือไม่

ยามมีชีวิต แม่ทัพใหญ่ชื่อเสียงเลื่องลือ ลูกน้องเก่าของเขามีนับไม่ถ้วน หากตนกลายเป็นคนร้ายเข้าจริงๆ แปดเก้าในสิบส่วนคงกลายเป็นแพะรับบาป ต่อให้อัครมหาเสนาบดีซั่งไม่สังหารคนปิดปาก แม่ทัพทหารกล้าเหล่านั้นก็คงไม่ละเว้นตนเอง ต่อให้โชคดีไม่เป็นอะไรก็อย่าหวังว่าจะได้เชิดหน้าในกองทัพอีก แบกความผิดเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในกองทหารราชองครักษ์ที่เป็นพรรคพวกของอัครมหาเสนาบดีซั่งก็ยังยากเลี่ยงการถูกกีดกัน

สิ่งที่ทำให้ต้วนเยว์ปวดหัวมากกว่านั้นก็คือจวบจนกระทั่งเดินทางออกจากเจี้ยนเย่เขาก็ยังไม่ได้รับคำสั่งลับประการใด สถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองทาง ทางแรกคืออัครมหาเสนาบดีซั่งไม่คิดจะสร้างความลำบากให้ครอบครัวของแม่ทัพใหญ่ นี่ย่อมเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุด ขอเพียงตนเองพาตัวนักโทษไปส่งถึงติ้งหย่วนอย่างปลอดภัยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ลูกน้องเก่าของแม่ทัพใหญ่เองก็อาจจะมิยินดีจะแบกรับโทษกบฎบุกมาชิงตัวนักโทษกลางทางก็ได้กระมัง

ต่อให้มีการชิงนักโทษ ขอเพียงตนเองดูสถานการณ์ให้ดีสักหน่อยก็ไม่แน่ว่าจะตาย พอกลับถึงเจี้ยนเย่ อย่างมากที่สุดก็ถูกปลดจากตำแหน่งทหาร ให้ตระกูลไกล่เกลี่ยให้สักหน่อยก็น่าจะไม่ต้องกังวลถึงชีวิต แต่หากอัครมหาเสนาบดีซั่งเตรียมส่งคนกลุ่มอื่นมาดักสังหารกลางทาง พวกตนย่อมต้องเสียสละลงสุสานไปด้วย หากเป็นเช่นนั้นโอกาสรอดสักนิดย่อมไม่มี

เหตุเพราะในใจมีความคิดเช่นนี้อยู่ ตลอดทางต้วนเยว์จึงไม่เพียงระมัดระวัง แต่ยังไม่ยินดีจะเสียมารยาทกับผู้คนตระกูลลู่สักนิดด้วย ในใจเขาคิดว่าหากถูกจู่โจมจากศัตรูจริง ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับการช่วยเหลือ เขาทราบว่าหนนี้คนที่ถูกเนรเทศ นอกจากลู่ฮูหยิน บุตรชายกับบ่าวไพร่จำนวนหนึ่ง ก็ยังมีทหารของตระกูลลู่อีกจำนวนหนึ่ง พวกเขามากกว่าครึ่งล้วนผ่านการเข่นฆ่าบนสมรภูมิมาก่อน เทียบกับทหารราชองครักษ์ที่ไม่เคยมีประสบการณ์เหล่านี้ย่อมมีประโยชน์กว่าอยู่บ้าง หากเดินทางไปถึงติ้งหย่วนได้อย่างปลอดภัย แม้จะแอบล่วงเกินอัครมหาเสนาบดีซั่งก็ยังพอมีโอกาสรอดให้กล่าวถึงอยู่บ้าง