เหวยอิงสีหน้าเย็นชา ตอบว่า “หลังแม่ทัพใหญ่สิ้น กองทัพและราชสำนักหนานฉู่ล้วนถูกเสนาบดีชั่วครอบงำ สำนักเฟิงอี้เป็นแขนซ้ายแขนขวาของเสนาบดีชั่ว หากพวกนางยังอยู่ ประการแรกลูกน้องเก่าของแม่ทัพใหญ่จะหวาดวิตกตลอดเวลา ประการที่สองครอบครัวของแม่ทัพใหญ่ยากจะหนีพ้นคราวเคราะห์ถูกสังหาร ดังนั้นมิว่าด้วยเหตุผลใด สำนักเฟิงอี้จำเป็นต้องถูกกำจัด หากขุดรากถอนโคนอำนาจของสำนักเฟิงอี้ได้ อย่าพูดถึงการเสียสละตำหนักเฉินเพียงแห่งเดียวเลย ต่อให้พ่วงชีวิตของพวกติงหมิงไปด้วยก็คุ้มค่าแล้ว
อีกประการหนึ่ง แต่เดิมผู้แซ่เหวยก็เป็นคนชั่วช้าผู้ทรยศแว่นแคว้นอยู่แล้ว มีบาปทำร้ายผู้กล้ากับคนดีเพิ่มอีกสักประการจะเป็นอันใดไป ส่วนลู่ฮูหยิน เฮ้อ ข้าเองก็จนปัญญา พวกนางแม่ลูกหากไม่ทิ้งไว้สักคน แม้ตำหนักเฉินของข้าจะสูญเสียกำลังพลไปมากมายนัก แต่หลิงอวี่ก็คงมิเชื่อใจข้า นางคงไม่ปล่อยข้าออกมา
หากลู่ฮูหยินรู้ความจริง นางก็คงขอร้องให้พาคุณชายน้อยออกมาอยู่ดี แต่ข้าผิดต่อพวกเจ้าอยู่บ้าง พวกเจ้าองครักษ์โลหิตทั้งหลายมิเพียงภักดีต่อข้ามิแปรเปลี่ยน หลายปีที่ผ่านมายังทำการใหญ่เพื่อแว่นแคว้นและปวงประชามามิน้อย แต่วันนี้ข้ากลับทำให้พวกเจ้าล้มตายมากมาย ข้าไม่สบายใจยิ่งนัก”
เหลยจิ่วตอบอย่างหนักแน่น “เจ้าตำหนักมิจำเป็นต้องเอ่ยเช่นนี้ แต่เดิมเหลยจิ่วเป็นโจรผู้อับจนหนทาง หากมิใช่เจ้าตำหนักเห็นค่า วันนี้ก็คงยังกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดอย่างเลอะเลือนอยู่ในยุทธภพ แต่หลายปีที่ผ่านมาเหลยจิ่วได้ใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผย ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ทำงานให้แม่ทัพใหญ่ ได้ภักดีต่อแว่นแคว้น ต่อให้ตายตอนนี้ก็รู้สึกว่าชีวิตนี้มิเสียเปล่า มีหน้าไปพบท่านพ่อและท่านปู่แล้ว แม้วันนี้พี่น้องจะล้มตายไปมากมาย แต่พวกเขาตายเพื่อปกป้องลู่ฮูหยิน ถึงตายก็มิเสียใจ เพียงแต่ว่า เพียงแต่ว่าหากช่วยลู่ฮูหยินได้ แม้นพวกเราเหล่านี้ตายจนหมดสิ้น ผู้น้อยก็ยินยอมพร้อมใจ”
เหวยอิงฟังจบก็ตอบอย่างหม่นหมอง “สี่ปีก่อนข้าเคยบังเอิญพบราชาพิษเซินหรูฮุ่ยยอดฝีมือแห่งการใช้พิษอันดับหนึ่งในใต้หล้า แล้วโชคดีได้ช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยของเขา หนนี้จึงซื้อยาพิษเหล่านี้มาจากเขาสำเร็จ ยิ้มพญายมมีพิษรุนแรงอย่างยิ่ง หากผู้ที่ต้องพิษมิได้รับยาแก้ภายในร้อยห้วงหายใจก็จะตายอย่างแน่นอน คนที่ไปด้วยกันกับข้ามีทั้งหมดสี่สิบสี่คน ยังมียาแก้พิษห้าเม็ดที่ยังมิได้ใช้ เหลือเม็ดหนึ่งให้คุณชายน้อยเผื่อเกิดเรื่องมิคาดฝัน อีกสี่เม็ดหากมอบให้พวกลู่ฮูหยินได้ก็คงช่วยได้อีกสักสองสามคน เพียงแต่ว่าเมื่อเริ่มลงมือแล้ว เกรงว่าคงจะช่วยมิทันกาล เพราะเหตุนี้ ข้าจึงไม่เคยเพ้อฝันคิดเรื่องนี้”
เหลยจิ่วยิ้มขมขื่นตาม ใช่แล้ว พิษร้ายนั่นออกฤทธิ์ร้ายกาจถึงเพียงนั้น ต่อให้หลังจากลงมือ มีคนลงจากหน้าผานำยาแก้ไปให้สำเร็จ ก็ไม่มีหนทางทำให้พวกลู่ฮูหยินเชื่อใจจนยอมกินยาแก้พิษภายในเวลาชั่วหนึ่งร้อยลมหายใจ มิน่าเหวยอิงจึงมิเคยใคร่ครวญเรื่องนี้
เหลยจิ่วก็เป็นคนใจเหี้ยมผู้หนึ่ง เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ เขาจึงเอ่ยปากว่า “น่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว ให้พวกเขาเตรียมตัวออกเดินทางเลยหรือไม่ขอรับ”
เหวยอิงพยักหน้า “ข้าคิดว่าพวกติงหมิงคงฝืนต้านไว้ได้ถึงฟ้ามืด ตอนนี้สมควรออกเดินทางได้แล้ว เหลยจิ่ว เจ้ามิต้องไป ข้ามอบคุณชายน้อยให้เจ้าคุ้มครอง หากข้ารอดกลับมาได้ย่อมไม่เป็นไร แต่หากข้าตาย แต่ลู่ฮูหยินปลอดภัย เจ้าจงพาคุณชายน้อยไปส่งให้ลู่ฮูหยิน หากลู่ฮูหยินสิ้นไปด้วยก็จงส่งเขาให้ที่ปรึกษาหยางหยางซิ่ว
หากจำเป็นจริงๆ จะพาคุณชายน้อยไปหาเจียงเจ๋อฉู่เซียงโหวแห่งต้ายงก็ได้ แม้เขาจะเป็นขุนนางคนสำคัญของต้ายง แต่มิตรภาพระหว่างเขากับแม่ทัพใหญ่ล้ำลึกยิ่งนัก เขาคงปกป้องคุณชายน้อยได้ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ขัดกับความตั้งใจของแม่ทัพใหญ่ หากไม่จำเป็นจริงๆ อย่าทำเช่นนั้นเลยจะดีกว่า”
เหลยจิ่วตกตะลึง “ไฉนผู้น้อยจะบังอาจหนีทัพยามข้าศึกมาประชิด มิสู้ให้ผู้คุมกฎชุยไปเถิด” เขาไม่รู้ว่าเหวยอิงคลางแคลงชุยเสียงอยู่ ยังคงคิดว่าชุยเสียงเป็นคนสนิทของเหวยอิง
เหวยอิงตอบอย่างเกรี้ยวกราด “นี่เป็นการหนีทัพยามข้าศึกประชิดเสียที่ไหน หากมิใช่ว่าลี่หมิงยังมีงานสำคัญปลีกตัวมามิได้ ข้าก็คงไม่ให้เจ้าทำงานนี้ หากชุยเสียงผละออกไปตอนนี้ ข้ากังวลว่าคนเหล่านั้นจะสงสัย เจ้าน่าจะทราบว่ายามนี้ทายาทของแม่ทัพใหญ่แทบไม่เหลือแล้ว หากคุณชายน้อยเป็นอะไรไปขึ้นมา เกรงว่า เฮ้อ! เจ้าเป็นคนที่ติดตามข้ามานานที่สุดในหมู่องครักษ์โลหิต หากมิใช่ว่าเชื่อใจเจ้า ข้าจะกล้าฝากฝังคุณชายน้อยไว้ได้เช่นไร เรื่องนี้ไม่อนุญาตให้ตั้งคำถาม หรือเจ้าจะขัดคำสั่ง”
เหลยจิ่วฟังจบก็มิกล้าขัด ได้แต่รับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง เหวยอิงจึงวางใจ ลุกขึ้นเดินออกจากกระโจม เขามองพงไพรที่ถูกหมอกสนธยาห้อมล้อมจนเริ่มมืดสลัวแล้วรู้สึกถึงความเหนื่อยล้า ความจริงแม้หนนี้จะมียาพิษและอาวุธลับคอยช่วย แต่วิชากระบี่กับวรยุทธ์ของสำนักเฟิงอี้ก็มิใช่ธรรมดา แล้วพวกนางยังมียาวิเศษมากมายที่ยากจะล่วงรู้อีก มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดว่าทั้งสองฝ่ายจะบาดเจ็บทั้งคู่ ต่อให้สำนักเฟิงอี้ย่อยยับหมดสิ้น ตนเองก็อย่าเพ้อฝันว่าจะได้กลับมาอย่างร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ ออกไปหนนี้คงไม่มีหนทางให้หวนกลับ แม้แต่คนจิตใจโหดเหี้ยมเช่นเหวยอิงก็ยังรู้สึกเศร้าโศก
ทว่าผ่านไปไม่นานสีหน้าแววตาของเหวยอิงก็พลันปรากฏจิตสังหารอำมหิต หนทางให้หวนกลับหรือ ตนไม่มีหนทางให้หวนกลับตั้งนานแล้ว! คุณชายจากตระกูลเสนาบดีผู้สง่างามกลายมาเป็นขุนนางทรยศผู้หักหลังแว่นแคว้น หมดสิ้นหนทางเป็นขุนนาง ต้องร่อนเร่พเนจรในยุทธภพ ผุพังเน่าเผื่อยเช่นต้นไม้ใบหญ้า บ้านเกิดมิอาจหวน ความแค้นไร้หนทางชำระ เหลือเพียงความแค้นสุมเต็มทรวง
โชคยังดีตนเองได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากลู่ช่าน จึงตั้งใจทุ่มเทช่วยเขาทำศึกสงคราม หวังว่าจะกุมโอกาสเดียวในการชำระแค้นนี้ไว้ให้จงได้ ทว่าทุกสิ่งก็ถูกสตรีสายตาตื้นเขินของสำนักเฟิงอี้เหล่านี้ทำลายย่อยยับ ตนไม่มีโอกาสชำระความแค้นอีกต่อไป แม้กระทั่งพื้นที่หยัดยืนก็ใกล้จะไม่เหลือแล้ว ไยจะต้องอาลัยอาวรณ์โลกมนุษย์อีก
ความทุกข์ทรมานนับร้อยพันบนโลกมนุษย์ ตนเองลิ้มรสแต่ละอย่างมาจนครบแล้ว จะเป็นหรือจะตายล้วนเป็นเรื่องมิสลักสำคัญมาเนิ่นนาน ทว่าแม้ใจคิดจะตาย แต่ความแค้นในอกก็มิลดทอนแม้แต่น้อย ทว่าคนที่แค้นหาใช่เจียงเจ๋อ แต่เป็นสำนักเฟิงอี้ ผิดก้าวแรก ย่อมผิดตามทุกก้าว จวบจนวันนี้ตนไร้หนทางให้หวนกลับ ผู้ที่หลอกลวงตนเองให้โง่เขลาเดินมาบนเส้นทางสายนี้มิใช่สำนักเฟิงอี้หรอกหรือ ต่อให้ตนต้องตายก็จะลากสำนักเฟิงอี้ลงสุสานไปด้วย
พอคิดมาถึงตรงนี้ รอบตัวเหวยอิงก็พลันมีจิตสังหารมากมายเหลือคณานับแผ่ออกมา เขาหันไปมองลูกน้องของตำหนักเฉินที่เตรียมตัวพร้อมออกเดินทางแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “สำเร็จหรือล้มเลว ขึ้นอยู่กับหนนี้ หากอยากคว้าลาภยศสรรเสริญก็จงติดตามข้า สู้อย่างมิคิดชีวิตเถิด”
กล่าวจบก็สาวเท้าเดินลงจากยอดเขารวดเร็วปานดาวตก ทุกคนรีบตามหลังไป บางคนวาดฝันถึงลาภยศความมั่งคั่งที่กำลังจะเอื้อมคว้ามาได้ บางคนเคร่งเครียดว่าจะรักษาชีวิตในการต่อสู้ชุลมุนได้อย่างไร ส่วนบางคนก็ทราบความอันตรายของแผนการนี้แล้วแต่ลอบตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสู้จนตัวตาย ผู้คนหลายสิบคนต่างมีความคิดของตนเองขณะที่ก้าวเดินตามเหวยอิงไปยังลานสังหาร
เหลยจิ่วมองแผ่นหลังของเหวยอิงอย่างเศร้าหมอง จนกระทั่งเงาของพวกเขาหายลับไปท่ามกลางหมอกยามสนธยา เขาจึงถือดาบเล่มหนึ่งเดินเข้าไปในกระโจมที่ลูกน้องของตำหนักเฉินถูกคุมตัวอยู่ จากนั้นฟันสังหารแต่ละคนจนเลือดไหลนองกระโจมเป็นสายน้ำอย่างไม่มีความเวทนาสงสารสักนิด เขาสังหารคนสี่สิบกว่าคนที่เหลืออยู่ในค่ายจนหมด
ยามนี้บนร่างเขามีแต่เลือด โลหิตสดกระเซ็นเปื้อนทับคราบโลหิตที่เหลือมาจากการต่อสู้อันยากลำบากเมื่อยามกลางวัน เหลยจิ่วรู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่ง เขาคิดว่าหากลู่ถิงเห็นเข้า เด็กน้อยจะต้องตกใจกลัว เขาจึงเดินไปที่ธารน้ำพุด้านหลังค่าย ล้างคราบเลือดบนร่างจากนั้นเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ ค่อยเดินกลับมาในกระโจม เตรียมจะทำตามที่เหวยอิงสั่ง พาลู่ถิงหลบไปก่อน หลังจากสถานการณ์แน่ชัดแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเปิดกระโจมเดินเข้ามาด้านใน เหลยจิ่วก็ตัวแข็งทื่อ เห็นบุรุษสวมอาภรณ์สีหิมะ คิ้วกระบี่ดวงตาดุจดารา หน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่งคนหนึ่งนั่งอยู่บนฟูกเตียง กำลังยื่นนิ้วมือสองนิ้วออกมาจับชีพจรของลู่ถิง ด้านหลังเขามีชายหนุ่มสวมอาภรณ์สีดำยืนอยู่คนหนึ่ง บนแผ่นหลังสะพายถุงพิณ เป็นคนหน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งเช่นกัน ทว่าสีหน้าบนใบหน้าดูขัดตาดุจคมอาวุธ
ทั้งสองคนนี้โผล่มากะทันหัน อีกทั้งรูปลักษณ์ท่าทางล้วนดูโดดเด่น เหลยจิ่วครุ่นคิดร้อยตลบก็คิดไม่ออกว่าในยุทธภพมีคนเช่นนี้ หากมิใช่ว่าเห็นบุรุษอาภรณ์ขาวเหมือนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อลู่ถิง เกรงว่าเขาคงขวัญหายไปแล้ว ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นเหลยจิ่วก็ยังเอื้อมมือออกมาแตะด้ามดาบ ถามเสียงดุดันว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ใด มาที่นี่ทำสิ่งใด เจ้าคิดจะทำอะไรกับคุณชายน้อย”
ฟังคำถามเป็นพรวนของเขาจบ บุรุษอาภรณ์สีขาวผู้นั้นกลับทำเสมือนมิได้ยิน ชายหนุ่มชุดดำคนนั้นกลับยิ้มหยันตอบว่า “พวกเราเป็นผู้ใดมิจำเป็นต้องบอกเจ้า เด็กคนนี้น่าสงสารนัก ถูกโจรชั่วอย่างพวกเจ้าทำร้ายจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ท่านสี่ของข้าเห็นแล้วชมชอบต้องการจะพาเขาไป! เจ้าเป็นอะไรกับเขา หากมิใช่ญาติสนิทมิตรสหายก็อย่ามายุ่งมิเข้าเรื่อง”
เหลยจิ่วโกรธจัด เหวี่ยงดาบบุกเข้าฟัน ประกายดาบทอดยาวดั่งผืนผ้า โหดเหี้ยมอย่างยิ่ง ดาบนี้เขาใช้ท่าไม้ตาย ท่องในยุทธภพมาหลายปีมีน้อยคนนักจะหลบได้อย่างปลอดภัย คิดมิถึงชายหนุ่มอาภรณ์สีดำกลับรับได้ด้วยมือเปล่า เหลยจิ่วรู้สึกตาลายวูบหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าข้อมือชา ดาบเหล็กหลุดจากมือ แต่เขาปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวยิ่งนัก จึงยกมือซ้ายขึ้นมา มีดบินเล่มหนึ่งพุ่งเข้าใส่จุดสำคัญของชายหนุ่มผู้นั้น ชายหนุ่มผู้นั้นขยับหลบอีกหน จากนั้นตบหนึ่งฝ่ามือ มีดบินหักครึ่งกระเด็นออกไป
ชายหนุ่มผู้นั้นฟาดอีกหนึ่งฝ่ามือใส่หน้าอกของเหลยจิ่ว พลังฝ่ามืออาบไอเย็นยะเยือก ฝ่ามือยังมิทันสัมผัสร่าง ติงหมิงก็รู้สึกว่าต้านมิไหว ทว่าเหลยจิ่วกลับมิสนความอันตรายของฝ่ามือนั้นสักนิด เขาตื่นตระหนก ถลาไปทางเตียงอย่างไม่สนใจชีวิต ทว่าทำได้เพียงเบิ่งตามองมีดบินพุ่งไปทางลู่ถิงพลางกรีดร้อง “คุณชายน้อย!”