หลิงอวี่รั้งสายตากลับมาจากใต้หน้าผา นางหันไปมองเหวยอิงที่ยืนมือไพล่หลังอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้างามเต็มไปด้วยจิตสังหาร ดวงตาแฝงแววหวั่นกลัว นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเหวยอิงจะใช้ไม้นี้ ยาพิษเหล่านี้มีฤทธิ์รุนแรงยิ่งนัก พวกมันคงราคาแพงอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำเหวยอิงยังยอมเสียสละขุมกำลังแปดเก้าในสิบส่วนของตำหนักเฉิน
พอนึกขึ้นมาว่าขุมกำลังแทบทั้งหมดของสำนักเฟิงอี้มอดม้วยใต้หมอกพิษแล้ว เพียงชั่วพริบตาความปรารถนาของตนที่จะพาสำนักเฟิงอี้หวนคืนสู่ความรุ่งโรจน์กลับสลายกลายเป็นฟองอากาศ หลิงอวี่ก็สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุด สุดท้ายนางเค้นออกมาได้เพียงหนึ่งประโยค นางถามด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้”
เหวยอิงสัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นฝังลึกเข้ากระดูกดำที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำของหลิงอวี่ แต่เขากลับอมยิ้ม “เป็นเช่นนี้มิดีหรือ ขุนเขาเขียวเงียบสงบ แว่วเสียงธาราขับกล่อม ช่างเป็นสถานที่เหมาะสำหรับฝังคนงาม อ้อ ข้าแอบขายกิจการที่ตำหนักเฉินดูแลจนสิ้นแล้ว เงินทั้งหมดนำไปแลกกับยาพิษเหล่านี้ เพียงเพื่อสังหารคนสำนักเฟิงอี้ทั้งหมดร้อยกว่าคน ผู้แซ่เหวยใจป้ำถึงเพียงนี้ เจ้าสำนักจะตอบแทนผู้แซ่เหวยเช่นไรดีเล่า”
หลิงอวี่ชักกระบี่ออกจากฝัก คมกระบี่วาววับดุจหิมะ นางสูดลมหายใจเข้าออกแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “เหวยอิง เจ้าคนเนรคุณ เสียแรงที่อาจารย์สั่งสอน อาศัยเพียงพวกเราไม่กี่คนก็ส่งเจ้าลงสุสานตรงนี้ได้ ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายเอง ข้าก็จะให้เจ้าสมหวัง”
เหวยอิงตอบเสียงราบเรียบ “ไม่ผิด ผู้แซ่เหวยรู้ดียิ่งนักว่าพวกเจ้าไม่กี่คนก็เพียงพอสังหารผู้แซ่เหวยกับพรรคพวกให้ตายอยู่ที่นี่ แต่พวกเจ้าสตรีไม่กี่คนยังจะยืนหยัดในเจียงหนานได้อีกหรือ หากไม่มีกำลังของตำหนักเฉิน พวกเจ้าก็เท่ากับหูหนวกตาบอด ทำได้เพียงเชื่อฟังซั่งเหวยจวินบงการ หึๆ ต่อให้ผู้แซ่เหวยตายไป อีกไม่นานพวกเจ้าก็ต้องตายมาอยู่เป็นเพื่อนข้า
อย่าลืมว่าพวกเจ้าเกี่ยวพันกับความตายของแม่ทัพใหญ่มากเท่าใด ต่อให้หนานฉู่ไม่มีผู้ใดกล้าชำระแค้นกับพวกเจ้า เจียงเจ๋อ เจียงสุยอวิ๋นไหนเลยจะปล่อยพวกเจ้า ส่วนที่บอกว่าผู้แซ่เหวยเป็นคนเนรคุณนั่น…” เสียงของเหวยอิงชะงักไปจังหวะหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น “ตั้งแต่สิบสามปีก่อน ผู้แซ่เหวยก็เป็นกบฏ เนรคุณแผ่นดิน ทรยศนายเหนือหัว อกตัญญูบิดา ทำผิดคุณธรรมแล้ว วันนี้ทรยศพวกเจ้าอีกสักหนจะสำคัญอันใดอีกเล่า”
หลิงอวี่โกรธจัด โทสะพวยพุ่งในหัวใจ นางแหงนหน้ากู่ร้อง เสียงคำรามคล้ายพญาหงส์กรีดร้องก้องสวรรค์ ไม่เห็นนางขยับแต่อย่างใด ทว่ากระบี่กลับกลายเป็นสายรุ้ง ร่างกายกับกระบี่ประสานเป็นหนึ่ง ประกายกระบี่ทอดยาวดุจผืนผ้า แทงเข้าใส่กลางอกของเหวยอิง เหวยอิงกลับทำเหมือนมองไม่เห็น เขาวางมือไพล่หลังเหม่อมองท้องฟ้า ดวงตามีแต่แววตาเฉยชา ไม่คิดจะโต้กลับสักนิด
เหวยอิงมิสนใจไยดีชีวิต แต่องครักษ์โลหิตข้างกายเขามิยินยอมนิ่งดูเจ้านายถูกสังหาร สองคนในนั้นกระโจนเข้ามาขวางหน้า แต่คิดมิถึงว่าเรือนร่างของหลิงอวี่กลับเสมือนหนึ่งหมอกควัน ประกายกระบี่ส่ายซ้ายขวาวูบเดียว องครักษ์โลหิตทั้งสองคนก็ล้มลงไป
เวลานี้ศิษย์สำนักเฟิงอี้ทั้งหลายที่สีหน้าเย็นยือกดุจหิมะก็เริ่มพุ่งเข้ามาทีละคน พวกนางต่างตกตะลึงและโกรธแค้น คมกระบี่ทอประกายวูบวาบ องครักษ์โลหิตผู้ต้องการจะช่วยชีวิตเหวยอิงกับสมุนของตำหนักเฉินที่อยากจะหนีเอาชีวิตรอดถูกล้อมอยู่ท่ามกลางคมกระบี่วาววับที่เจิดจ้าดุจแสงอาทิตย์อัสดง
นอกจากหลิงอวี่ ผู้ที่หนีรอดมาจากหมอกพิษล้วนเป็นศิษย์สำนักเฟิงอี้รุ่นเดียวกับจี้เสีย พวกนางเคยสังหารคนมานับไม่ถ้วน ย่อมไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย ความจริงหากมิใช่เพราะเมื่อครู่พวกนางถือตัว ไม่ยอมลงมือกับพวกติงหมิง เกรงว่าเหวยอิงยังมิทันจู่โจม พวกนางก็คงจัดการเสร็จไปแล้ว
แน่นอน เหวยอิงคาดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกนางคงมิลงมือง่ายๆ แต่คงให้ศิษย์รุ่นใหม่ลงมือเป็นการฝึกปรือวิชามากกว่า เวลานี้ความเคียดแค้นของพวกนางมากมายเท่าขุนเขา พวกนางจึงทุ่มกำลังทั้งหมด ตั้งค่ายกลกระบี่ เพียงพริบตาเดียวผู้คนของตำหนักเฉินก็ถูกล้อมไว้ตรงสุดปลายหน้าผา แล้วถูกสังหารทีละคนๆ มิปล่อยให้หลุดรอดไปแม้แต่คนเดียว
เดิมทีเหวยอิงหลับตารอความตายแล้ว แต่คิดมิถึงว่าเสียงคำรามเจ็บปวดจะดังขึ้นเบื้องหน้า เสียงนั่นคุ้นเคยยิ่งนัก เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นองครักษ์โลหิตคนสนิทสองคนถูกหลิงอวี่เหินเข้ามาสังหาร แม้เขาจะหมดสิ้นกำลังใจนานแล้ว แต่ก็ยังเกิดความแค้นขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ เขาชักกระบี่โจมตีสวนกลับ ทว่าช้าเกินไปเสียแล้ว เขาฝืนรับกระบี่ของหลิงอวี่ได้หนึ่งหนก็ถูกกระแทกถอยมาหลายก้าว เบื้องหน้าพร่าลายเพียงวูบเดียว กระบี่คมในมือหลิงอวี่ก็จ่อมาที่ลำคอ แม้จะยังเหลือระยะห่างอีกหนึ่งจั้งกว่า แต่เหวยอิงสัมผัสได้ว่ากระบี่นี้สกัดทางถอยของตนเอาไว้ทุกทาง เขาอดยิ้มขมขื่นมิได้ คิดไม่ถึงว่าว่าตนจะรับกระบี่ของหลิงอวี่มิได้แม้แต่กระบี่เดียว
ในตอนนี้เอง จู่ๆ คนผู้หนึ่งก็ทิ้งคู่ต่อสู้ของตัวเองถลาพรวดมาถึงหน้าเหวยอิง ร่างของเขายังมิทันพุ่งมาถึงก็ถูกคู่ต่อสู้ของเขาที่เป็นสตรีวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งสะบัดกระบี่กรีดแผ่นหลัง โลหิตทะลักออกมาเป็นสาย ทว่าคนผู้นั้นกลับห้าวหาญมิกลัวตาย กางแขนพุ่งเข้ามาหาหลิงอวี่ ร่างของคนผู้นั้นเต็มไปด้วยเลือด สภาพเปรอะเปื้อนเละเทะ หลิงอวี่รักสะอาดเป็นสันดาน แม้จะแค้นเหวยอิงเข้าไส้ แต่ก็ยังเบี่ยงกายหลบอย่างมิรู้ตัว
นางรั้งกระบี่ในมือกลับ ประกายกระบี่เคลื่อนดั่งริ้วรุ้งแทงทะลุหน้าอก คนผู้นั้นฝืนยืนหยัดต่อมิไหวจึงโซเซล้มลง หลิงอวี่อยากจะเข้าไปซ้ำอีกหนึ่งกระบี่ ทว่าเบื้องหน้าฉับพลันมีแสงกระบี่ฉายวาบ จึงทำได้เพียงก้าวถอยหลัง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเหวยอิงยืนสีหน้าเย็นยะเยือกอยู่ข้างกายคนผู้นั้น
ดวงตาของเหวยอิงฉายแววประหลาดใจ ก้มหน้ามองคนผู้นั้นแล้วถามเสียงเย็นชา “เหตุใดเจ้าต้องสละชีวิตช่วยข้า”
คนผู้นั้นกลับเป็นชุยเสียง เขาตอบอย่างลำบากยากเย็น “ข้าทราบว่าเจ้าตำหนักแคลงใจข้ามาตลอด วันนี้ยิ่งมองเห็นชัดเจนกว่าเดิม เพียงแต่ชุยเสียงตระหนักดีว่าตนมิเคยมีใจเป็นอื่น ทว่าไร้หนทางจะพิสูจน์ตนเอง จึงมีเพียงตายพิสูจน์ความภักดีเท่านั้น ขอท่านเจ้าตำหนักรักษาตัวด้วย” เพิ่งกล่าวจบ คนก็หลับตาจากไป
เหวยอิงมองชุยเสียงอย่างนิ่งอึ้ง แววตาปรากฏความละอายใจ ทันใดนั้นหูก็ได้ยินถ้อยคำเหยียดหยามของหลิงอวี่ “เหวยอิง ความกล้าของเจ้าไปอยู่ที่ใดหมดแล้ว ทำได้แต่พูดจาใหญ่โตแล้วปล่อยให้ผู้อื่นมาตายแทนหรือไร”
จิตสังหารผุดพรายขึ้นในหัวใจของเหวยอิง เขาเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นรอบด้านเสมือนมิอาจลอยเข้าหู เอ่ยเสียงเย็นชา “แต่เดิมผู้แซ่เหวยคิดว่ารีบตายจะได้รีบไปเกิดใหม่ ถึงอย่างไรสำนักเฟิงอี้ก็เป็นดวงตะวันลับฟ้าแล้ว ข้าคร้านจะลงมือกับสตรีเช่นพวกเจ้า แต่ตอนนี้ผู้แซ่เหวยอยากจะได้คนลงสุสานเป็นเพื่อนเพิ่มอีกสักคน มิทราบว่าเจ้าสำนักหลิงสนใจกลายเป็นโครงกระดูกประดับเขาเซียนสยากับข้า กลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงามให้ผู้คนเล่าขานหรือไม่”
หลิงอวี่เผยสีหน้าโหดเหี้ยม ศิษย์สำนักเฟิงอี้เกลียดที่สุดยามผู้อื่นมองพวกนางเป็นสตรีไร้ความสามารถ ความแค้นในหัวใจหลิงอวี่ท่วมถึงแผ่นฟ้า ชิงชังที่กระทั่งยามนี้เหวยอิงก็ยังเอ่ยถ้อยคำหยามเหยียดดูแคลน จึงเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าคู่ควรตกตายด้วยกันกับข้าหรือ เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่สังหารเจ้าง่ายๆ แน่ รอข้าจับตัวเจ้าได้เป็นๆ ข้าจะเฉือนร่างเจ้าเป็นพันหมื่นชิ้น หากไม่ให้เจ้าตายอนาถอย่างน่าสังเวช ข้าคงเป็นเจ้าสำนักเฟิงอี้ เป็นผู้สืบทอดของอาจารย์เสียเปล่า”
เหวยอิงรู้แก่ใจดีว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ของหลิงอวี่ หลายปีที่ผ่านมาตนจมอยู่กับความเคียดแค้น แม้วรยุทธ์จะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่เมื่อเทียบกับหลิงอวี่ผู้หมกตัวตรากตรำฝึกวิชากระบี่ วรยุทธ์ของตนย่อมมิควรค่าเอ่ยถึง เพียงแต่ว่าเวลานี้เขาไร้ซึ่งความหวาดกลัว มือยกกระบี่ยาว สีหน้าเคร่งขรึม รอบกายมีแต่ประกายกระบี่กับเงาโลหิต
หมอกควันหนาทึบ ดวงอาทิตย์อัสดงสีแดงก่ำทอแสงจับใบหน้าของเขาจนยิ่งเหมือนสีเลือด ใบหน้าของเหวยอิงเผยสีหน้าที่คล้ายยิ้มแต่ก็มิเหมือนยิ้ม หัวเราะเสียงกังวาน “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าสำนักหลิงมีความสามารถนั้นหรือไม่!”
เขายังมิทันเอ่ยจบ หลิงอวี่พลันสะบัดกระบี่แทง ปราณกระบี่ดั่งหิมะ คนงามดั่งหยก รัศมีกระบี่เจิดจ้าดุจเมฆายามอัสดง งดงามทว่าหนักแน่น แม้จะเป็นเหวยอิงก็รู้สึกตาพร่าลายสติมึนงง แม้วิชากระบี่ของเขาจะสู้มิได้ แต่ก็มองออกว่าวิชากระบี่ของหลิงอวี่เหนือกว่าเยี่ยนอู๋ซวงผู้ถูกยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งของสำนักแล้ว เขาพลันเข้าใจถ่องแท้ในความอำมหิตที่ซ่อนเร้นของสตรีนางนี้ ดูท่าหากมิใช่เพราะเหตุการณ์ในวันนี้ นางก็คงจะเก็บงำความสามารถของตนต่อไป
เหวยอิงยิ้มจางๆ ขยับเท้าออกกระบี่อย่างมิห่วงชีวิตตน เขาเคยได้รับการชี้แนะวิชากระบี่ของเจ้าสำนักเฟิงอี้ แม้จะสู้หลิงอวี่ผู้เป็นศิษย์สายตรงมิได้ แต่หากเตรียมตัวมาพร้อม ก็มิใช่ว่าจะพ่ายแพ้ยับเยิน สองกระบี่ปะทะกัน เพียงชั่วพริบตาแลกการโจมตีหลายหน เสียงกระบี่ครวญครางกังวานคล้ายเสียงมังกรคำรามหงส์กรีดร้อง ประกายกระบี่กวัดไกวเป็นสาย ดูเหมือนสูสีทัดเทียม
ยามนี้ทั้งสองฝ่ายไม่มีใจจะสนใจสถานการณ์ใต้หน้าผาอย่างสิ้นเชิง พวกเขาสนใจแต่เข่นฆ่ากันและกัน หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือด ลูกน้องของเหวยอิงก็บาดเจ็บล้มตายจนหมดสิ้น ทว่าฝั่งศิษย์ของสำนักเฟิงอี้ก็ตายไปเพิ่มอีกสามคน เหลือเพียงเหวยอิงกับหลิงอวี่ที่ยังคงประมือกันอย่างดุเดือด
หลิงอวี่เป็นฝ่ายเหนือกว่า เพียงแต่นางเห็นศัตรูที่เหลือถูกสังหารหมดสิ้นแล้ว จึงจงใจผ่อนการโจมตี คอยจ้องจะหาโอกาสแทงกระบี่บนร่างเหวยอิง แต่มิทำร้ายจุดสำคัญของเขา
ศิษย์สำนักเฟิงอี้ที่เหลืออยู่สิบกว่าคนมิรู้สึกว่าการลงมือทารุณเช่นนี้ทำเกินไปแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเหวยอิงยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ทำลายรากฐานของสำนักเฟิงอี้อีก ดังนั้นพวกนางจึงยืนล้อมอยู่รอบด้าน ป้องกันเหวยอิงพลีชีพฝ่าวงล้อม ในใจปรารถนาจะทรมานเหวยอิงจนกว่าจะตาย