ตอนที่ 276-2 ถูกจับได้อีกแล้ว

สมัยหนุ่มเสนาบดีหยางเป็นขุนนางสุจริตอย่างแท้จริง แต่หลังจากมีอายุก็ถูกลูกหลานทำให้เสียคน กลับกลายเป็นคนโง่ ทำเรื่องไม่ถูกต้องมาไม่น้อย ในภาพวาดรวมยอดบุรุษหนุ่มแห่งต้าเหลียงที่หงฮูหยินเคยนำมาให้ดูก่อนหน้านี้ก็มีหลานชายของเสนาบดีหยางอยู่ด้วย แต่หลี่ซื่อโยนทิ้งอย่างไม่ต้องคิด

เพียงแต่ติดที่ต้องไว้หน้าองค์หญิงเจาหมิง จีหมิงซิวจึงต้องลงมาจากรถม้า

เสนาบดีหยางดีใจนัก เขาชี้ร้านสุราด้านข้าง “อัครมหาเสนาบดี เชิญ!”

จีหมิงซิวเข้าไปในร้านสุรา

ด้านหลังเขา ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มหีบร้อยสมบัติเดินอาดๆ ผ่านไป

ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินมานานมากแล้ว ขาของเขาเมื่อยล้าไปหมด เขาคิดว่าน่าจะเดินพ้นจากเขตอิทธิพลของตระกูลจีมาพอประมาณแล้ว จึงตัดสินใจหาสถานที่สักแห่งเพื่อจิบชาพักเท้า ร้านสุราใหญ่โตเขาตัดใจเข้าไม่ลง ร้านริมทางยังพอรับได้หน่อย

ถนนเส้นนี้มีแต่ร้านที่เป็นตัวตึก ในตรอกซอกซอยก็ไม่มีแม้แต่ร้านแผงลอย ใต้เท้าเจ้าสำนักได้แต่อุ้มหีบร้อยสมบัติเดินทะลุตรอกไปยังถนนใหญ่อีกเส้นหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าเขาเพิ่งเดินมาได้ครึ่งทาง ฝั่งตรงข้ามก็พลันมีบุรุษฉกรรจ์สวมหน้ากากหลายคนพุ่งมาขวางทางของใต้เท้าเจ้าสำนัก

ก้นบึ้งหัวใจของใต้เท้าเจ้าสำนักเกิดลางสังหรณ์ร้าย

ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าออกคำสั่ง “จับเขาไว้!”

พวกเขารุมเข้ามา!

ใต้เท้าเจ้าสำนักหันหลังกลับแล้วสับเท้าวิ่ง!

แต่เขาอุ้มหีบใบหนึ่งอยู่ ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนกลุ่มนี้ เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกผู้อื่นไล่ตามทัน

คนห้าคนล้อมเขาไว้ คนหนึ่งในนั้นปลดถุงกระสอบออกมาจากเอว ตั้งใจจะครอบศีรษะของเขา

ใต้เท้าเจ้าสำนักตวาด “พวกเจ้าเป็นใครถึงกล้ามาแตะต้องข้า!”

ทั้งห้าคนไม่มีผู้ใดตอบคำถามเขา ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าส่งสายตาให้พวกลูกน้อง ลูกน้องถือถุงกระสอบเข้ามาครอบใส่ศีรษะของใต้เท้าเจ้าสำนัก!

ใต้เท้าเจ้าสำนักหลบอย่างว่องไว เขาใช้หีบชนชายฉกรรจ์ด้านหน้า ชายฉกรรจ์ผู้นั้นล้มหงายลงไปนพื้น ใต้เท้าเจ้าสำนักเหยียบ ‘ศพ’ ของเขา สับตีนวิ่งออกจากตรอก

ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าดึงลูกน้องขึ้นมา เขาถ่มน้ำลายคำหนึ่งแล้วสั่งเสียงเหี้ยม “ไล่ตามไป!”

ทุกคนไล่ตามอย่างไม่เลิกรา

ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่รู้ว่าตนเองวิ่งมาถึงที่ใดกันแน่ ผู้คนบนถนนเหมือนจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย เขาหันหลังกลับไปมอง คนกลุ่มนั้นยังไล่ตามมาอยู่

“เขาอยู่ตรงนั้น!” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าบอก

ใต้เท้าเจ้าสำนักเบิกตาโต เขากอดหีบร้อยสมบัติแน่นแล้วผลุบเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง!

ด้านนอกเป็นถนนเสียงดังเอะอะ แต่ด้านในเสมือนเป็นโลกอีกใบ เพดานห้อยผ้าม่านโปร่งสีชมพูผืนแล้วผืนเล่า พื้นใต้เท้าปูพรมขนนุ่มหนา ภายในห้องมีกลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก เสียงเสพสมกามรมย์ดังมาแว่วๆ

หญิงวัยกลางคนหน้าตางดงามผู้ประโคมกายอย่างหรูหราคนหนึ่งแหวกผ้าม่านมาเห็นบุรุษรูปงามกำลังยืนถือหีบใบโตมองซ้ายมองขวา ผิวของชายหนุ่มขาวผ่องดั่งหยกงาม ดวงตาใสกระจ่างดุจน้ำพุ แม้ดั้งจมูกจะถูกหน้ากากบดบังอยู่ แต่ก็เห็นเค้าโครงของจมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากยิ่งไม่ต้องพูดถึงสีแดงอวบอิ่มยิ่งกว่าอิสตรี รูปคางก็งามจนไร้ตำหนิ รูปร่างก็สูงโปร่งดี กิริยาท่าทางเป็นธรรมชาติ

ดวงตาของหญิงงามวัยกลางคนตาค้างในพริตา นางใช้ชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ นอกจากคนผู้นั้นที่แวะเข้ามาวันนี้ก็ไม่เคยเห็นคนที่รูปลักษณ์โดดเด่นเช่นนี้มาก่อน!

ไม่เสียทีเป็นคู่ขาเก่าของนาง มอบของขวัญให้ทีหนึ่งก็มอบหนุ่มรูปงามชั้นเลิศเช่นนี้มาให้!

หญิงวัยกลางคนหน้าตาสะสวยดึงข้อมือใต้เท้าเจ้าสำนักเบาๆ พลางใช้พัดกลมปิดริมฝีปาก หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ในที่สุดเจ้าก็มาได้เสียที หากเจ้าไม่มาอีก ข้าจะส่งคนไปเชิญแล้ว!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนางอย่างระแวง “เจ้ารู้จักข้าหรือ”

หญิงงามวัยกลางคนยิ้มแย้ม “เรียกว่ารู้จักก็ได้ เรียกว่าไม่รู้จักก็ได้ เจ้าไม่ใช่คนที่จิ่วเกอแนะนำมาหรอกหรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักจับต้นชนปลายไม่ถูก

หญิงงามวัยกลางคนมองข้อมือช่วงหนึ่งบนแขนของเขา จากนั้นสายตาก็ค่อยๆ เลื่อนไปจับข้อมือดุจหยกงามของคนงาม ช่างเป็นชายหนุ่มผู้สง่างามประหนึ่งหยก รูปโฉมเป็นเอกในใต้หล้าเสียจริง ดูมือนี่สิ ราวกับแกะสลักมาจากหยกอย่างไรอย่างนั้น!

ใต้เท้าเจ้าสำนักทราบว่านางเข้าใจผิดแล้วจึงสะบัดมือนางทิ้ง แล้วหันหลังกลับดึงประตูเปิดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อเห็นชายฉกรรจ์ที่กำลังสอบถามผู้คนอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาก็ปิดประตูลงทันควัน!

แม่เล้าวัยกลางคนหัวเราะ “คนงามตัวน้อย เจ้าจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร”

“ตามใจเจ้า” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างไม่ใส่ใจ

หญิงงามวัยกลางคนกลอกดวงเนตรงามแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะตั้งนามแฝงให้เจ้าสักชื่อ คนงามของร้านข้าล้วนใช้นามแฝงกันทั้งนั้น ข้าดูแล้วเจ้าสง่างามดั่งต้นหยกเล่นลมถึงเพียงนี้ มิสู้ตั้งชื่อว่าคุณชายหลินเฟิงเป็นอย่างไร”

“เปิดประตูๆ!”

เสียงตะโกนคุ้นหูดังขึ้นนอกประตู

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกขยับขึ้นลง “หลินเฟิงก็หลินเฟิง ห้องของข้าอยู่ที่ใด”

หญิงงามวัยกลางคนตอบว่า “อยู่ชั้นบน เสี่ยวชุ่ยเอ๋อร์! รีบพาคุณชายหลินเฟิงขึ้นไปชั้นบน!”

“เจ้าค่ะ! มาแล้ว!”

สาวใช้หน้าตาเกลี้ยงเกลานางหนึ่งพาใต้เท้าเจ้าสำนักขึ้นไปบนชั้นสอง

คนผู้นั้นเข้ามาค้นรอบหนึ่งไม่เห็นใต้เท้าเจ้าสำนักก็จากไปอย่างเย็นชา

ในห้องส่วนตัวอันงดงามประณีตแห่งหนึ่ง เสนาบดีหยางกับจีหมิงซิวนั่งประจันหน้ากันอยู่คนละฝั่งของโต๊ะ

บนโต๊ะมีอาหารรสโอชาที่ปรุงอย่างพิถีพิถันกับสุราเลิศรสหนึ่งกาวางอยู่

เสนาบดีหยางรินสุราให้จีหมิงซิวหนึ่งจอก แล้วเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ข้าทราบว่าอัครมหาเสนาบดีมีกิจธุระมากมาย จึงมิกล้ารบกวนง่ายๆ แต่ข้าอับจนหนทางแล้วจริงๆ จึงต้องมาขอร้องอัครมหาเสนาบดี หวังว่าอัครมหาเสนาบดีจะเห็นแก่องค์หญิงเจาหมิง รับปากคำขอร้องอันไร้เหตุผลของข้า”

จีหมิงซิวตอบอย่างเยือกเย็น “เสนาบดีหยางยังมิทันบอกว่าเรื่องใด หากทำได้ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ แต่หากทำไม่ได้ ข้าคงได้แต่เอ่ยขออภัยเสนาบดีหยางแล้ว”

เสนาบดีหยางรีบเอ่ยว่า “ทำได้สิ! ทำได้สิ! เรื่องนี้สำหรับข้าแล้วเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหับอัครมหาเสนาบดีเป็นเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งเท่านั้น”

จีหมิงซิวมองเขาด้วยสีหน้าเฉยชา ไม่แตะสุราด้านข้างสักนิด

เสนาบดีหยางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วบอกตามตรง “เรื่องเป็นเช่นนี้ ไม่นานมานี้หลานชายตัวน้อยคนนั้นของข้าเพิ่งกลับมาจากค่ายทหาร อยากจะหางานสักตำแหน่งในเมืองหลวง ข้าได้ยินว่าข้างกายอัครมหาเสนาบดีมีตำแหน่งขุนนางจัดการงานจิปาถะว่างอยู่ตำแหน่งหนึ่ง จึงอยากถามว่าให้หลานชายของข้าลองทำดูได้หรือไม่”

จีหมิงซิวตอบว่า “หลี่จ่างสื่อถูกโยกย้ายไปทำงานที่ฝู่โจว ตำแหน่งจ่างสื่อข้างตัวข้าจึงว่างอยู่หนึ่งตำแหน่งก็จริง แต่คุณชายน้อยหยางเป็นขุนนางบู๊ไม่ใช่หรือ ทำงานเอกสารเหล่านั้นได้หรือ”

หลานชายของเสนาบดีหยางนับว่ามีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง เขาไม่ถึงขั้นไม่เอาไหน แต่ก็ด้อยความสามารถอย่างยิ่ง ตอนเข้าสอบแม้แต่ขั้นซิ่วไฉก็สอบไม่ผ่าน ต่อมาอาศัยเส้นสายเข้าไปฝึกในค่ายทหาร ได้ยินว่าใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพได้ไม่เลว ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ จึงจะทิ้งบู๊มาเอาบุ๋น

จีหมิงซิวมองเสนาบดีหยาง “เสนาบดีหยางมีเรื่องใดปิดบังข้าหรือไม่”

ถูกเรียกคำเดียว เสนาบดีหยางก็ทราบว่ากลบเกลื่อนต่อไปไม่ได้แล้ว แต่เดิมเขาคิดว่าหลังจากจัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้วจะมาสารภาพกับอัครมหาเสนาบดี แต่อัครมหาเสนาบดีชาญฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก หากไม่สารภาพเกรงว่าคงทำการไม่สำเร็จ เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ รวบรวมความกล้าบอกว่า “หลานชายของข้าไปก่อเรื่องไว้ในค่ายทหาร เกรงว่าเบื้องบนจะลงโทษ…จึงหนีกลับมาเมืองหลวงตอนกลางคืน”

จีหมิงซิวแววตาทอประกายเย็นยะเยือก “นี่เท่ากับเขาหนีทหาร! ตามกฏต้องประหาร!”

เสนาบดีหยางตกใจกลัวปากคอสั่น คุกเข่าลงไปดัง ตุ้บ! แล้วอ้อนวอนว่า “อัครมหาเสนาบดี ข้ารู้ว่าเขาทำผิด ตัวเขาเองก็สำนึกแล้ว ข้าสั่งสอนเขาไปอย่างหนักแล้ว หลังจากนี้เขาไม่มีทางทำผิดซ้ำอีก! ขอให้ท่านเห็นแก่ที่ดีเลวข้าก็เคยสั่งสอนมารดาของท่านอยู่หลายวัน ช่วยข้าสักหนเถิด! ข้าไม่อยากเป็นคนหัวหงอกต้องส่งคนหัวดำ…”

จีหมิงซิวหิ้วกาสุราขึ้นมารินสุราให้เสนาบดีหยางหนึ่งจอก “เสนาบดีหยางลุกขึ้นมาพูดเถิด”

เสนาบดีหยางกลับไปนั่งตัวสั่นระริกบนเบาะรอง

หลังจากนั้นจีหมิงซิวก็ราวกับสูญเสียความทรงจำ เขาไม่เอ่ยถึงเรื่องคุณชายน้อยหยางเลยสักนิด เสนาบดีหยางมองท่าทีของเขาไม่ออก อยากจะถามแต่ก็กลัวไปจุดโทสะเขา เสนาบดีหยางจึงอาศัยข้ออ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำเดินออกมาจากห้องส่วนตัว แล้วเรียกเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ “ข้าได้ยินว่าร้านสุราของพวกเจ้ามีนั่นน่ะ”

เสี่ยวเอ้อร์ดูเขาทำมือก็เข้าใจความหมายของเขา จึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “มีน่ะมีขอรับ แต่ท่านลูกค้าต้องการแบบใดเล่าขอรับ”

เสนาบดีหยางเอ่ยเสียงเบา “ไม่ใช่ข้า นายท่านคนเมื่อครู่ต่างหาก ในร้านสุราของพวกเจ้ามีคนที่ทำให้เขาหวั่นไหวได้หรือไม่”

“เขาชอบแบบใด ท่านทราบหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ถาม

เสนาบดีหยางตอบว่า “หากข้ารู้ยังจะถามเจ้าทำอะไร เขาไม่เคยแตะต้องผู้หญิงสักนิด”

เสี่ยวเอ้อร์จึงเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปถามให้ท่าน”

เสนาบดีหยางล้วงเงินก้อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยัดใส่มือของเสี่ยวเอ้อร์ “หากปรนนิบัตินายท่านคนนี้ได้ดี เงินค่าสุราทั้งเดือนของร้านเจ้า ข้าเหมาทั้งหมด!”

เสี่ยวเอ้อร์เดินไปหาเถ้าแก่เนี้ย เถ้าแก่เนี้ยได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่แตะต้องสตรีก็ยิ้มอย่างดูแคลน “บุรุษบนโลกใบนี้ ไม่มีผู้ใดไม่แอบลักกินขโมยกิน คนที่ไม่ลักกินขโมยกินมีอยู่สองอย่าง หากเขาไม่ใช่ขันที เขาก็เป็นกระต่าย! บังเอิญว่าวันนี้มีคนงามตัวน้อยผู้งามหยดย้อยมาคนหนึ่งพอดี ให้เขาไปพบนายท่านผู้นั้นก็แล้วกัน”

“อะไรนะ ให้รับแขก?” ใต้เท้าเจ้าสำนักมองหญิงงามวัยกลางคนผู้แต่งกายฉูดฉาดตรงหน้าด้วยสีหน้ามึนงง

หญิงงามก็คือเถ้าแก่เนี้ยของร้านสุรา

เถ้าแก่เนี้ยสะบัดพัดตอบว่า “เจ้ามาที่ร้านข้า ไม่รับแขกแล้วเจ้าคิดจะทำอะไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเชิดคาง “ข้า…เมื่อครู่ข้าเดินมาผิดที่ ข้าไม่รู้จักนายท่านจิ่วอะไรนั่น แล้วก็ไม่ใช่นายบำเรอที่เจ้าต้องการด้วย”

“เจ้าบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่หรือ” เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะหยัน

ใต้เท้าเจ้าสำนักคร้านจะสนใจนาง อย่างไรเสียเจ้าคนกลุ่มนั้นก็น่าจะจากไปไกลแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องหลบอีกต่อไป

ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มหีบร้อยสมบัติก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก อันธพาลหน้าตาดุร้ายหลายคนเดินเข้ามา

เถ้าแก่เนี้ยพูดอย่างเหิมเกริม “เจ้าว่าง่ายยอมทำตามดีๆ จะได้ลำบากน้อยลงหน่อย หากเจ้าหัวแข็ง ข้าก็ให้เจ้าสมปรารถนาได้ แต่ข้าขอเตือนเจ้า ข้าไม่ได้จับเจ้ามา ตัวเจ้าบุกเข้ามาในถิ่นของข้าเอง แล้วยังถามอีกว่าห้องของเจ้าอยู่ที่ใด เจ้าพาตัวเองมาติดตาข่ายเองก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบว่า “เมื่อครู่…เมื่อครู่ข้ากำลังหลบคนอยู่!”

เถ้าแก่เนี้ยยิ้มหยัน “นั่นแล้วอย่างไร คิดหลอกใช้ข้า แล้วจะสะบัดก้นจากไปง่ายๆ ได้หรือ เจ้าเห็นร้านของข้าเป็นอะไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงเหอะ “เจ้าไม่ได้มีอะไรเสียหายสักหน่อย!”

เถ้าแก่เนี้ยยิ้มหวาน “ผู้ใดบอก หากข้าปล่อยเจ้าไป ครึ่งเดือนต่อจากนี้ย่อมขาดรายได้ก้อนใหญ่”

ใต้เท้าเจ้าสำนักข่มขู่ “ข้าคือคุณชายของตระกูลจี! เจ้ากล้าแตะข้า ข้ารับประกันกว่าร้านสุราของเจ้าจะเปิดไม่ถึงวันพรุ่งนี้!”

เถ้าแก่เนี้ยยิ้ม “คุณชายของตระกูลจีหรือ คุณชายคนไหนของตระกูลจีเล่า คุณชายใหญ่ที่เป็นอัครมหาเสนาบดี หรือคุณชายรองที่อยู่ไกลถึงทางใต้ คงไม่ใช่คุณชายสามที่แม้กระทั่งเดินก็ยังเดินไม่มั่นคงคนนั้นกระมัง!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักสะอึก เขาเพิ่งกลับมา ข้างนอกยังไม่รู้ว่าตระกูลจีมีคุณชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เขาตั้งสติ บอกว่า “สรุปก็คือ…ข้าคือคุณชายตระกูลจี! อัครมหาเสนาบดีเป็นพี่ใหญ่ของข้า ทางที่ดีเจ้าปล่อยข้าไปเสียตอนนี้ มิฉะนั้นหากเขารู้ว่าเจ้ารังแกข้า เขาต้องตัดหัวของเจ้าอย่างแน่นอน!”

“โอ๊ะ ข้ากลัวนักเชียว!” เถ้าแก่เนี้ยกุมหน้าอก ตัวสั่นระริกด้วยความ ‘หวาดกลัว’ หลังจากนั้นสีหน้าก็กลับมาเป็นเคร่งขรึม “จับคนมัด! แล้วตีให้หนักๆ ! ตีจนกว่าเขาจะเชื่อฟัง!”

พวกอันธพาลเฮละโลเข้ามากดใต้เท้าเจ้าสำนักไว้กับโต๊ะ มือของใต้เท้าเจ้าสำนักถูกจับไว้ หีบร้อยสมบัติร่วงตกพื้น เถ้าแก่เนี้ยอุ้มหีบออกไป ใต้เท้าเจ้าสำนักพองขน “คืนหีบมาให้ข้า!”

เถ้าแก่เนี้ยสั่งเสียงเย็นชา “ลงมือ”

อันธพาลในสถานที่เช่นนี้รู้กจักหนักเบาดี พวกเขาต่อยตีบนลำตัว ภายนอกย่อมไม่ปรากฏร่องรอยอันใด แต่ร่างกายเจ็บปวดอย่างที่สุด เรือนร่างเล็กจ้อยบอบบางของใต้เท้าเจ้าสำนักน่ากลัวว่าคงทนรับไม่ไหวแม้แต่หมัดเดียว

ใต้เท้าเจ้าสำนักตะโกน “ข้าขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย! อัครมหาเสนาบดีเป็นพี่ใหญ่ของข้าจริงๆ! มือข้างไหนของเจ้าแตะต้องข้า เขาจะตัดมือข้างนั้นของเจ้าทิ้ง!”

เถ้าแก่เนี้ยแค่นเสียงออกจมูก “ข้าเป็นคนที่ถูกขู่ง่ายๆ หรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักแววตาวูบไหว “ช้าก่อน! ข้าไป!”

เถ้าแก่เนี้ยยกมือขึ้น พวกอันธพาลปล่อยมือจากใต้เท้าเจ้าสำนัก

ผู้กล้าไม่สู้ในศึกที่เสียเปรียบ รอเขาไปทางโน้น เขาจะใช้ยาสลบมอมเจ้าคนตัณหาจัดคนนั้นเสีย ดูซิว่านางแก่หนังเหี่ยวผู้นี้ยังจะพูดอะไรได้อีก

เถ้าแก่เนี้ยเชยคางใต้เท้าเจ้าสำนักขึ้นมา จากนั้นยัดยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากของเขาแล้วปิดปากไว้ ใต้เท้าเจ้าสำนักกลืนดังเอื้อก เม็ดยาก็ลงไปในท้อง

ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าดำทะมึน “นางปีศาจเฒ่า! เจ้าให้ข้ากินอะไรลงไป!”

เถ้าแก่เนี้ยลูบใบหน้าของเขา แล้วแย้มยิ้มอ่อนโยนอย่างยิ่ง “ยาที่จะทำให้เจ้าเชื่อฟังดีๆ อย่างไรเล่า เจ้าวางใจเถิด ขอเพียงเจ้าปรนนิบัติให้ดี ข้าย่อมไม่ใจร้ายกับเจ้า”

นางปีศาจเฒ่าน่าตาย ถึงกับวางยาเขา ถ้าอย่างนั้นอีกประเดี๋ยวเขาจะหนีอย่างไรเล่า

เบญจมาศน้อยที่น่าสงสารของข้า…ฮือๆ

เถ้าแก่เนี้ยชักมือกลับมาจัดปิ่นทองบนเรือนผม แล้วสั่งอย่างสบายใจ “แต่งเนื้อแต่งตัวสักหน่อยแล้วพาไปส่งให้แขก”

“ขอรับ!”