มิทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด หลิงอวี่ได้สติกลับมาทีละน้อย หูของนางได้ยินเสียงใสรื่นหูเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “เจ้าหอว่าน เรื่องนี้ท่านทำมิถูกต้อง ในแหล่งเริงรมย์เองก็มีกฎ งานประชันยอดบุปผาเหนือแม่น้ำฉินไหวหนนั้นระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดแจ้งว่าพี่น้องที่ไถ่ตัวแล้วเท่านั้นจึงจะเข้าร่วมได้ หากกายมิใช่ของตนเองแล้วไซร้ ไฉนจะคู่ควรกับตำแหน่งยอดบุปผา
ยิ่งไปกว่านั้น นับแต่โบราณมา มิเคยปรากฏว่าพี่น้องที่ได้ครองมงกุฎยอดบุปผาจากท่ามกลางหมู่ผกางามต้องมาถูกคนบีบบังคับ สัญญาขายตัวแผ่นนี้ต่อให้เป็นของจริงก็สมควรถูกฉีกทิ้งนานแล้ว อีกประการหนึ่งนี่ก็อาจจะมิใช่ของจริง หากเจ้าหอว่านมิสนกฎธรรมเนียม อาศัยกระดาษสัญญาแผ่นนี้มาระรานน้องหลิงอวี่ เกรงว่าพี่น้องทั้งหลายคงผิดหวังยิ่งนัก
สตรีผู้พลาดพลั้งร่วงหล่นมาในคาวโลกีย์เช่นพวกเรา ผู้ใดมิหวังจะได้กลับเป็นคนสง่าผ่าเผยในสักวันบ้าง หากแม้แต่น้องหลิงอวี่ผู้อยู่ในทำเนียบบุปผางามคนนี้ยังมิอาจเป็นอิสระ น่ากลัวว่าพี่น้องทั้งหลายคงต้องตัดใจจากไถ่ถอนตนเป็นอิสระแล้ว”
หลิงอวี่ได้ยินเสียงคุ้นหูจึงลืมตาหันไปมอง นางเห็นตนเองนอนอยู่บนตั่งนุ่มของห้องด้านใน อีกฟากหนึ่งของม่านมุก เรือนร่างอรชรร่างหนึ่งกำลังแสดงความคิดเห็นอย่างฉะฉาน นางลุกขึ้นมานั่งแล้วเห็นหลวนเอ๋อร์น้ำตาคลอมองตนเองอยู่ด้านข้าง นางถามเสียงเบา “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลวนเอ๋อร์น้ำตารินตอบว่า “หลังจากคุณหนูสลบไป เจ้าหอว่านก็ให้บ่าวดูแลให้คุณหนูพักผ่อน บ่าวเข้าใจความรู้สึกของคุณหนูจึงไปขอให้พี่น้องในเรือนช่วย ทุกคนต่างอับจนหนทาง แต่แม่นางเย่ว์หรงบอกว่าแม่นางหรูเมิ่งรักความยุติธรรมมีเมตตา ช่วยแก้ความทุกข์ใจให้พี่น้องทั้งหลายมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้นแม่นางหรูเมิ่งพอจะโน้มน้าวเจ้าหอว่านได้ หากขอให้นางออกหน้า บางทีอาจมีโอกาสแก้ไขสถานการณ์
แม้บ่าวจะทราบว่าเรือนเงาจันทร์ของพวกเราเป็นอริกับแม่นางหลิ่วมาตลอด แต่แม่นางหรูเมิ่งเคยชื่นชมคุณหนูในงานชุมนุมบรรเลงพิณอยู่หลายหน ดังนั้นข้าจึงคิดหาวิธีส่งข่าวไปบอกแม่นางหลิ่ว”
กระแสธารอันอบอุ่นผุดพรายในดวงใจของหลิงอวี่ นางฝืนหยัดร่างขึ้นมา เมื่อเห็นว่าอาภรณ์บนร่างยังพอดูได้ จึงเกาะแขนหลวนเอ๋อร์เดินออกมาจากหลังม่านมุก เจ้าหอว่านกับหลิ่วหรูเมิ่งนั่งประจันหน้ากันอยู่
หลิ่วหรูเมิ่งปีนี้อายุยี่สิบหกปีแล้ว หากเป็นสตรีผู้ตกอยู่ในโลกโลกีย์คนอื่น ส่วนมากก็แก่จนมิมีคนเชยชมแล้ว แต่หลิ่วหรูเมิ่งกลับต่างออกไป เทียบกับเมื่อวันวานยามนางคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่ง ความสง่างามมิลดทอนแม้แต่น้อย นางสวมกระโปรงยาวลากพื้นสีเดียวกับท้องฟ้าใสหลังพิรุณพ้นผ่าน เส้นผมดำขลับทิ้งตัวสยายอยู่ด้านหลังศีรษะประหนึ่งม่านน้ำตก เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ดวงหน้างามเฉิดฉินปานบุปผาวสันต์ ดวงตาสุกใสทั้งคู่กลอกไปมาแต่ละหนแลดูชดช้อย เหมือนจะทำให้ห้องเต็มไปด้วยแสงสว่างไสว
ปกติหลิงอวี่กับหลิ่วหรูเมิ่งคบหากันมิลึกซึ้ง เพียงเคยพบหน้ากันในงานชุมนุมบรรเลงพิณเพียงไม่กี่หน เรือนเงาจันทร์บาดหมางกับหลิ่วหรูเมิ่งหลายครา แต่หลิ่วหรูเมิ่งกลับใจกว้าง มิเคยพูดจาเย็นชาเหน็บแนมพวกนาง ดังนั้นนางจึงติดต่อคบหาด้วยอยู่บ้าง คิดมิถึงวันนี้ตนเองตกที่นั่งลำบาก หลิ่วหรูเมิ่งผู้มิได้คบหาสนิทสนมกลับเดินทางมาช่วยเหลือ แต่พี่น้องของตนเองกลับขายตน ความโศกเศร้าทะลักขึ้นมาอย่างมิรู้ตัว นางเอ่ยออกมาได้เพียงคำเดียวว่า “พี่หลิ่ว” จากนั้นก็สะอึกสะอื้นมิอาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
หลิ่วหรูเมิ่งลุกขึ้นมารับหลิงอวี่เข้ามาในอ้อมแขน คิ้วเรียวเลิกสูง เอ่ยกับเจ้าหอว่านว่า “หรูเมิ่งเคารพการกระทำของเจ้าหอว่านมาตลอด หากวันนี้เจ้าหอจะระรานน้องหลิงอวี่ให้จงได้ แม้หรูเมิ่งจะเดียวดายไร้อำนาจ แต่ก็จะมินิ่งดูดายเรื่องนี้ หากเจ้าหอยอมเปิดหนทางให้สักครา วันหน้าหากมีเรื่องไหว้วาน หรูเมิ่งกับน้องหลิงอวี่ย่อมไม่ปฏิเสธ”
เจ้าหอว่านครุ่นคิดร้อยตลบ หากหลิ่วหรูเมิ่งออกมาปลุกระดม เกรงว่าแม่นางแห่งหอคณิกาทั้งหลายใต้สังกัดของตนเองคงจะขานรับ แม่นางแถบแม่น้ำฉินไหวเกินครึ่งต่างเคยติดค้างน้ำใจไมตรีของหลิ่วหรูเมิ่ง แม้ตนจะใช้อำนาจบีบบังคับหญิงสาวเหล่านี้ให้ยอมจำนนได้ แต่หากทำเช่นนี้ใจพวกนางย่อมมิยินยอม เลี่ยงความขัดแย้งได้ยาก อีกประการหนึ่ง หากตนเองได้ชื่อว่าไร้น้ำใจขึ้นมา เกรงว่าจะได้มิคุ้มเสีย
พอคิดให้ลึกซึ้งแล้ว เขาก็หัวเราะ “ในเมื่อหรูเมิ่งกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่ว่านไฉนจะมิเห็นแก่หน้าแม่นาง” กล่าวจบเขาก็เผาสัญญาขายตัวของหลิงอวี่กับเปลวเพลิงแล้วเอ่ยว่า “นับจากวันนี้เป็นต้นไป แม่นางหลิงอวี่เป็นอิสระแล้ว แน่นอนว่าหากแม่นางยินดีอยู่ต่อที่หอหมื่นบุปผา ผู้แซ่ว่านก็จะปฏิบัติด้วยอย่างดี”
หลิงอวี่รู้สึกดีใจเจียนคลั่ง แทบจะมิอาจเอื้อนเอ่ยวาจาเป็นคำ หลิ่วหรูเมิ่งเห็นเช่นนี้ก็ปล่อยนางออกแล้วดันหลังนางเบาๆ นางจึงรู้สึกตัวก้าวเข้าไปคำนับกล่าวว่า “ขอบพระคุณเจ้าหอว่าน”
นางลังเลครู่หนึ่งก็ถามอีกว่า “ขอถามเจ้าหอว่าน เรื่องที่เขาเซียนสยาเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เจ้าหอว่านตอบอย่างแฝงความนัย “หากมิใช่เรื่องจริง เกรงว่าข้าคงมิกล้ารับช่วงต่อเรือนเงาจันทร์ แม่นางกับพวกนางมิใช่พรรคพวกเดียวกัน แต่บังเอิญพบพาน ลงเรือลำเดียวกันช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น นับจากวันนี้ไป แม่นางสมควรทิ้งอดีตไปเสีย ใช้ชีวิตให้อิสระเสรีจึงจะถูก”
หลิงอวี่ฟังจบก็รู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว แต่เดิมนางก็มิได้ภักดีกับสำนักเฟิงอี้ ความผูกพันน้อยนิดที่มีก็ถูกจี้หลิงเซียงทำลายอย่างไร้หัวใจไปแล้ว นางมิต้องการอยู่ที่เรือนเงาจันทร์อีกต่อไป ทว่าหนทางเบื้องหน้าช่างเวิ้งว้าง มิมีที่ใดให้ไป นางจึงรู้สึกยากลำบากอยู่บ้าง
หลิ่วหรูเมิ่งเห็นเช่นนี้ก็ยิ้ม “น้องสาวมิต้องกลัดกลุ้ม บ้านของข้าแม้จะมิหรูหรา แต่ก็ยังพอให้อาศัย น้องสาวมิสู้ไปพักอยู่กับข้าที่นั่นสักสองสามวัน รอผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งค่อยตัดสินใจก็มิสาย”
หลิงอวี่ตอบอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณพี่สาวยิ่งนัก น้องคงต้องรบกวนแล้ว เจ้าหอว่าน หลวนเอ๋อร์รับใช้ข้ามาหลายปี ข้าตัดใจทิ้งนางมิลง หากเจ้าหอว่านยินดี หลิงอวี่ปรารถนาจะใช้เงินร้อยตำลึงทองไถ่ตัวหลวนเอ๋อร์”
เจ้าหอว่านยิ้ม “แม่นางหลิงอวี่กล่าวเกินไปแล้ว ในเมื่อหลวนเอ๋อร์เป็นบ่าวของแม่นาง ผู้แซ่ว่านจะรั้งไว้ได้เช่นไร เงินร้อยตำลึงทองเพียงเท่านี้ ข้ามิเคยเห็นอยู่ในสายตา แม่นางนำติดตัวไปด้วยทั้งหมดเถิด เชิญแม่นางค่อยๆ เก็บของ ผู้แซ่ว่านจะให้ลูกน้องพาไปส่งที่เรือนของแม่นางหลิ่ว”
หลิงอวี่ยอบกายคำนับอีกหน เจ้าหอว่านอมยิ้มคำนับกลับจากนั้นจึงเดินออกไป
ในตอนที่หลิงอวี่ตามหลิ่วหรูเมิ่งออกมาจากเรือนเงาจันทร์ นางกลับมิรู้ว่าเจ้าหอว่านกำลังมองทั้งสองคนจากเงามืดพร้อมกับบัณฑิตอาภรณ์เขียวคนหนึ่ง บัณฑิตอาภรณ์เขียวผู้นั้นเอ่ยอย่างลังเล “เจ้าหอ นายท่านเฉินไหว้วานท่านให้ดูแลแม่นางหลิงอวี่ แต่ท่านกลับปล่อยนางจากไป ไฉนมิใช่ล่วงเกินนายท่านเฉิน”
เจ้าหอว่านคลี่ยิ้มตอบว่า “มิเป็นไร ข้าสืบข่าวมาแล้ว มีคนสูงศักดิ์บางคนต้องใจแม่นางหลิงอวี่ พวกเขาจึงไหว้วานให้ข้าดูแลมิให้ผู้ใดฉวยโอกาสรังแกนางเท่านั้น ยามนี้นางถูกหลิ่วหรูเมิ่งรับไปอยู่ด้วย ทั้งสมความปรารถนาของนาง และยังมิขัดกับความตั้งใจของนานท่านเฉิน พวกเราเพียงส่งคนไปเฝ้าดูไว้สักหน่อยก็เพียงพอ
อีกอย่างหนึ่ง เจ้าอย่าลืมว่าเบื้องหลังของหลิ่วหรูเมิ่งมีซ่งอวี๋อยู่ แม้เขากับนายท่านเฉินจะมีบุญคุณความแค้นกันอยู่บ้าง แต่ดูแล้วก็ยังมีไมตรีให้แก่กันอยู่ ขอเพียงคุ้มครองแม่นางหลิงอวี่ให้ปลอดภัย พวกเราก็มีแต่จะได้ประโยชน์ ไม่มีผลเสีย”
เมื่อหลิงอวี่เดินเข้ามาในห้องของหลิ่วหรูเมิ่ง นางก็พลันมองเห็นตัวอักษรแถวหนึ่งซึ่งแขวนอยู่บนกำแพง ตัวอักษรนั่นเป็นตัวอักษรหวัดยามเมามาย แลดูพลิ้วไหวกล้าหาญ ลายเส้นคล้ายมังกรอสรพิษ
หลิงอวี่เป็นสตรีผู้มีพรสวรรค์แตกฉานในพิณหมากภาพอักษร เห็นตัวอักษรแถวนั้นเขียนได้งดงามนักก็ตาเป็นประกาย อ่านออกเสียงเบาๆ “ฝั่งอิ๋นเฉิงหนุนหมอนครวญบทกวี ฟากทิงโจวกกอ้อคงเขียวขจี ท่านล่องเรือไม้น้อยจรลี ยุวดีเฝ้าห้องหอตรอมหทัย ยินเสียงเขาสัตว์จากที่ใด พิจจันทร์อาบไล้หิมะบนสะพาน ริมระเบียงเหลือเพียงเยาวมาลย์ ลมระรานพัดอาภรณ์หนาวเหน็บนัก”[1] ลงนามตอนท้ายว่า ‘เกลียวหมอกพเนจร’
นางอดมิได้เอ่ยขึ้นว่า “ช่างเป็นบทกวีที่เศร้าสร้อยนัก เกลียวหมอกพเนจรคงจะเป็นฉายาของบัณฑิตซ่งผู้นั้นที่อยู่ข้างกายพี่สาว เหตุไฉนจึงมิเห็นตัวเขาแล้วเล่า”
หลิ่วหรูเมิ่งได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ “เขาเป็นบุรุษสูงเจ็ดฉื่อคนหนึ่ง จะลุ่มหลงติดอยู่ในห้วงรักเนิ่นนานได้เช่นไร หลายวันก่อนเขาลาออกจากตำแหน่งอาจารย์สอนพิณ เดินทางไปจากเจี้ยนเย่แล้ว”
แม้ถ้อยคำจะถูกเอ่ยออกมาอย่างเฉยชา แต่เห็นคิ้วเรียวดั่งกิ่งหลิวที่มุ่นนิดๆ กับใบหน้างามปานบุปผาที่ทุกข์ตรมของนาง ในใจหลิงอวี่ก็ทราบแล้วว่าข่าวลือที่เล่าต่อกันบนแม่น้ำฉินไหวมิใช่เรื่องลวง หลิ่วหรูเมิ่งตกหลุมรักบัณฑิตซ่งอวี๋ผู้นั้นจริงๆ บัณฑิตซ่งผู้นั้นรั้งอยู่ข้างกายหลิ่วหรูเมิ่งตั้งหลายปี เห็นชัดว่ามีใจให้เช่นกัน เพียงแต่มิทราบว่าเหตุใดกลับมิสมปรารถนาต้องแยกจากกันกลางทาง
นางอยากจะปลอบโยนสักหน่อย แต่จู่ๆ ก็นึกถึงคุณชายสี่ผู้นั้นขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ หัวใจเศร้าหมองตามไปด้วย จึงได้แต่ลอบอธิษฐานอยู่ในใจ ตัวข้ารู้ตัวดีว่าต่ำต้อยจึงมิกล้าเพ้อฝัน หากได้พานพบคุณชายสี่ ร่ำเรียนพิณกับเขาอีกสักหน แม้ต้องสูญเสียโชควาสนาอายุขัยทั้งชีวิตก็มิเสียใจ
[1]บทกวี 菩萨蛮 ของเฉินหยุ่นผิง (陈允平) กวีสมัยปลายราชวงศ์ซ่งใต้