ตอนที่ 1112 ยุติสงครามด้วยสงคราม

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 1112 ยุติสงครามด้วยสงคราม

ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นกำหยกจักจั่นในมือแน่น เขาหันหลังกลับไปกล่าวเสียงเย็น “ต้าเยี่ยนก็แค่เห็นว่าต้าโจวมาล้อมเมือง ทว่า ไม่โจมตี พวกเขามองออกว่าต้าโจวต้องการผลประโยชน์จากเทียนเฟิ่งดังนั้นจึงมาขอส่วนแบ่งบ้างก็เท่านั้น!”

ต้าโจวยินดีเจรจาแสดงว่าคงไม่อยากทำสงครามเช่นเดียวกัน ต้าเยี่ยนเดินทางมาเพราะเหตุใดกัน แน่นอนว่ามาเพื่อขอส่วนแบ่งแน่ๆ

สีหน้าของซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม เทียนเฟิ่งของเขาไม่เคยต้องอดกลั้นถึงเพียงนี้มาก่อน

ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว ทว่า ไม่ใช่ว่าเทียนเฟิ่งจะทำสงครามไม่ได้ ที่เทียนเฟิ่งต้องอดกลั้นยอมให้คนเหล่านั้นเหยียบย่ำอยู่เช่นนี้เป็นเพราะเทียนเฟิ่งอดทนเพื่อเทพเจ้า

การที่เทพเจ้าลงโทษให้ทะเลทรายกลืนกินแผ่นดินของเทียนเฟิ่งทีละนิดทำให้ทุกคนในแคว้นเทียนเฟิ่งรู้สึกหวาดกลัวมาก ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นผู้เป็นจักรพรรดิของแคว้นนอกจากจะรู้สึกหวาดกลัวแล้วเขายังรู้สึกร้อนใจอีกด้วย เขาคือผู้นำของแคว้น เขามีหน้าที่ช่วยขจัดความหวาดกลัวในใจของชาวเทียนเฟิ่งให้หมดสิ้นไป

เขามายังดินแดนแห่งนี้เพื่อตามหาดินแดนที่เหมาะสมแห่งใหม่ให้แก่คนเทียนเฟิ่ง ไม่ให้ชาวบ้านต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงว่าดินแดนของพวกเขาจะถูกทะเลทรายกลืนกินเมื่อใด เสบียงจะหมดไปเมื่อใด

ศิษย์คนโตของจอมเวทย์รู้ดีว่าตอนนี้ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นต้องอดกลั้นมากเพียงใด เขากล่าวโน้มน้าว “ฝ่าบาทตรัสมีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ ทว่า พวกเราควรป้องกันไว้ก่อน ฝ่าบาทเสด็จไปก่อน กระหม่อมจะอยู่เจรจากับทูตของต้าโจวเอง ให้หลี่เทียนฟู่อยู่ที่นี่ต่อ ไม่ว่าต้าโจวอยากได้ดินแดนหรือเมืองใดของซีเหลียง กระหม่อมจะให้หลี่เทียนฟู่มอบให้ต้าโจวทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ!”

“รายงาน…” ทหารเทียนเฟิ่งเดินเข้ามา “ต้าโจวเริ่มบุกโจมตีเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

สถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สิ่งสำคัญที่สุดคือความสามารถในการรับมือการเปลี่ยนแปลงของแม่ทัพ เมื่อไป๋จิ่นจื้อได้รับข่าวที่ต้าเยี่ยนส่งมา หญิงสาวจึงเริ่มโจมตีเมืองทันทีโดยไม่รอช้า จากนั้นให้คนส่งข่าวให้ไป๋ชิงอวี๋รับรู้

“เหตุใดพวกมันจึงกล้า!” แววตาของซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นวาวโรจน์

ศิษย์คนโตของจอมเวทย์หันไปมองซ่าเอ่อร์เข่อฮั่น “ฝ่าบาท หากฝ่าบาทยังทรงต้องการส่งคนไปตามหาหยกจักจั่นในแคว้นต้าโจวก็ควรถอยทัพก่อนพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยให้ซีเหลียงทำสงครามกับพวกนั้นไป”

แม้ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นจะทนต้าโจวได้เพราะหยกจักจั่น เพราะต้องการยึดครองดินแดนของต้าโจว ทว่า บัดนี้ต้าโจวปีนขึ้นมาทำตัวเหิมเกริมบนศีรษะของเขาแล้ว ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นกำหมัดแน่น เขาอยากเปิดศึกกับต้าโจวให้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้าง อยากต่อสู้จนต้าโจวล้มจนลุกไม่ขึ้น ต่อสู้จนจักรพรรดินีแห่งต้าโจวต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าเขา!

บัดนี้จักรพรรดินีแห่งต้าโจวอยู่ในเมืองผิงหยาง หากจับเป็นจักรพรรดินีแห่งต้าโจวได้ เขาจะดูสิว่าต้าโจวจะกล้าทำตัวเหิมเกริมเช่นนี้อยู่หรือไม่

เมื่อมองเห็นว่าซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นเริ่มอยากทำสงครามศิษย์คนโตของจอมเวทย์จึงรีบกล่าวขึ้น “ฝ่าบาทอย่าทรงลืมนะพ่ะย่ะค่ะว่าหยกจักจั่นยังอยู่ที่ต้าโจว ทรงอย่าลืมคำเตือนของเทพเจ้านะพ่ะย่ะค่ะ!”

ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นหลับตาแน่น เขาขัดความประสงค์ของเทพเจ้าไม่ได้

เมื่อคิดได้ว่าหยกจักจั่นยังอยู่ที่ต้าโจว เมื่อคิดได้ว่าแคว้นเทียนเฟิ่งอยู่ไกลถึงอีกฝั่งของภูเขาหิมะ หากเริ่มทำสงครามกันขึ้นมาจริงๆ เทียนเฟิ่งต้องถูกตัดแหล่งเสบียงอาหาร ช้างเหล่านี้จะไม่มีเสบียงเลี้ยงชีพอีกต่อไป

นี่คงเป็นเจตนารมณ์ของสวรรค์เช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้เทียนเฟิ่งต้องการขนสัตว์จำนวนมากมาทำเสื้อเกราะป้องกันความหนาวให้กองทัพช้างในฤดูหนาว พวกเขาให้ชุยเฟิ่งเหนียนหาวิธีส่งขนสัตว์จำนวนมากมายังเทียนเฟิ่ง

ผลสุดท้ายปรากฏว่าเมื่อเทียนเฟิ่งเดินทางมาถึงซีเหลียงที่เดิมที่ไม่ได้มีพื้นที่เพาะปลูกมากมายนัก พวกเขาพบว่าชาวบ้านแคว้นซีเหลียงเลิกเพาะปลูก หันไปหางานจากการค้าหนังสัตว์และการทอผ้าไหมที่คนสูงศักดิ์ของต้าโจวชอบแทน พื้นที่เพาะปลูกของซีเหลียงที่เดิมทีมีน้อยอยู่แล้วรกร้างทั่วทั้งแคว้น ชาวบ้านใช้เงินที่หามาได้ซื้อเสบียงอาหารประทังชีพแทน

ประกอบกับที่จอมเวทย์บอกว่าเจ้าของดินแดนที่เทพเจ้าเป็นคนเลือกยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่สามารถแย่งชิงดินแดนนี้มาครอบครองโดยพลการได้ดังนั้นเทียนเฟิ่งจึงคิดออกเพียงการขอเช่าดินแดนของต้าโจวและต้าเยี่ยนเพื่อให้ชาวเทียนเฟิ่งมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งและมีเสบียงอาหารประทังชีพก่อนเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาค่อยหาวิธีสังหารเจ้าของดินแดนตัวจริงและใช้สงครามยุติสงครามในครั้งนี้

ทว่า จนถึงตอนนี้ศิษย์ของจอมเวทย์ก็ยังหาเจ้าของดินแดนตัวจริงไม่พบ ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นที่ศรัทธาในเทพเจ้าเป็นอย่างมากจึงไม่กล้าเสี่ยงขัดประสงค์ของเทพเจ้า

ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นหลับตาลง ก่อนหน้านี้เทียนเฟิ่งทำให้เทพเจ้าพิโรธ เทพเจ้าจึงลงโทษเทียนเฟิ่งโดยการให้ทะเลทรายกลืนกินดินแดนของเทียนเฟิ่ง บัดนี้หากเขากล้าขัดเจตนารมณ์ของเทพเจ้าโดยการแย่งชิงดินแดนแห่งนี้มาครอบครองทั้งๆ ที่เจ้าของดินแดนตัวจริงยังมีชีวิตอยู่ เทพเจ้าจะพิโรธและลงโทษเขาเช่นไรอีก เขาไม่แน่ใจว่าเทียนเฟิ่งจะแข็งแกร่งพอที่จะรับบทลงโทษครั้งนี้ของเทพเจ้าได้หรือไม่

เมื่อคิดได้ดังนี้ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนล้า “ให้ทหารซีเหลียงอยู่คุ้มกันเมือง! กองทัพช้างและทหารของเทียนเฟิ่งถอยทัพออกจากเมืองให้หมด ปล่อยทูตของเทียนเฟิ่งและช้างตัวนั้นไว้ที่นี่ เมื่อพวกเราข้ามผ่านแม่น้ำตันสุ่ยไปเรียบร้อยแล้วจงให้ทูตของเทียนเฟิ่งขี่ช้างเปิดประตูเมืองออกไปบอกต้าโจวว่าพวกเราอย่างเจรจาสงบศึกกับพวกเขา อยากทำการค้าร่วมกัน ให้กองทัพช้างเตรียมตัวให้พร้อมเดี๋ยวนี้! ให้คนไปบอกต้าเยี่ยนให้ถอยไป หากต้าเยี่ยนไม่ยอมถอยก็จงบุกออกไปทันที!”

ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นกล่าวเสียงรอดไรฟัน

“พ่ะย่ะค่ะ!” ทหารที่มารายงานรีบรับคำแล้วจากไปทันที

ทว่า สิ่งที่เทียนเฟิ่งคาดไม่ถึงก็คือต้าโจวไม่ได้ทำลายกำแพงเมืองอย่างที่ควรทำเวลาโจมตีเมือง พวกเขาใช้บันไดปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองแทน

หลังจากที่พลทหารโล่ของต้าโจวคุ้มกันกองทัพของต้าโจวเดินเข้าไปใกล้กำแพงเมือง พลทหารราบเบาทีมละหกคนวิ่งออกมาจากโล่ใหญ่ทั้งสองด้านไม่ขาดสาย สี่ในหกคนถือโล่ขนาดเบาไว้ในมือ พวกเขาประกบโล่ทั้งสี่เข้าด้วยกัน ทหารทั้งสี่คุ้มกันทหารอีกสองนายที่แบกสัมภาระไว้บนหลังไว้ทางด้านหลัง จากนั้นตรงเข้าไปใกล้กำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว

เทียนเฟิ่งไม่เคยเห็นโล่ที่มีลักษณะแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน ทหารหนึ่งในหกถือโล่ที่พบเห็นได้ทั่วไป ส่วนโล่ของทหารอีกสามคนที่เหลือกลับมีลักษณะประหลาด โล่ที่อยู่ตรงกลางคือโล่ที่มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ส่วนอีกสองด้านคือโล่ที่มีลักษณะเป็นทรงสามเหลี่ยม

ทหารของกองทัพซั่วหยางซึ่งฝึกฝนอยู่ที่ภูเขาหนิวเจี่ยวต่างถือโล่ที่หลอมขึ้นจากผงหมึกดำที่เฉิงซ่านหรูเพิ่มลงไปให้ ลูกธนูเหล่านั้นไม่มีทางทะลุผ่านโล่ไปได้แน่นอน

หัวหน้าของพลทหารราบหน่วยย่อยซึ่งมีหน่วยละหกคนสั่งให้ลูกน้องสามคนในหน่วยนำโล่สามอันมาประกอบติดกันเหมือนตอนที่พวกเขายึดด่านชิงซีซานได้ในตอนนั้น โล่ทั้งสามมีช่องลับอยู่ เมื่อกดลงไปบนช่องลับโล่ทั้งสามจะประกอบติดกันเป็นทรงบันได ทหารสองคนซึ่งแบกสัมภาระไว้บนหลังปีนขึ้นไปบนบันได จากนั้นตอกทอยหนาลงบนกำแพงเมือง

ทหารราบเพียงคนเดียวในหน่วยที่ถือโล่ที่มีลักษณะปกติซ่อนตัวแนบชิดกับกำแพงเมืองและใช้โล่ของตัวเองเป็นเกราะกำบัง เมื่อสหายตอกทอยลงบนกำแพงเสร็จเรียบร้อย เขาจึงเหยียบไปบนทอยนั้น จากนั้นร้อยหัวเชือกด้านหนึ่งเข้ากับหัวเข็มขัดที่เอวของตัวเองแล้วจับเชือกไว้ในมือแน่น นี่คือวิธีที่จี้ถิงอวี๋และจ้าวหร่านช่วยกันปรับเปลี่ยนหลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ด่านชิงซีซาน เช่นนี้พวกทหารจะได้ปีนขึ้นไปบนกำแพงได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

เมื่อผูกเชือกไว้กับลำตัวเรียบร้อย ทหารที่ถือโล่ทรงบันไดสามคนจึงปีนขึ้นไปบนกำแพงอย่างสามัคคี ทหารสองคนซึ่งมีหน้าที่ตอกทอยรีบปีนตามหลังขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นตอกทอยลงบนกำแพงอีกครั้ง…

เมื่อเห็นว่าลูกธนูทำสิ่งใดทหารที่อยู่ด้านล่างไม่ได้ ทหารของต้าโจวพากันปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองผิงตู้ไม่หยุดหย่อน ทหารของเทียนเฟิ่งและซีเหลียงเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาทันที