บทที่ 1130 ข้าอยากมีเพื่อน
กู้เสี่ยวหวานยืนขึ้นมองท่าทางเศร้าและงุนงงของถานอวี้ซู ท่าทางของเด็กหญิงทำให้หัวใจของนางเจ็บปวด และทำได้เพียงเอ่ยปลอบใจเท่านั้น “จวิ้นจู่ ท่านอย่าเศร้าไปเลย”
ถานอวี้ซูเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานยังคงเรียกนางว่าจวิ้นจู่อย่างห่างเหิน หยาดน้ำตาพลันหลั่งรินออกมาราวกับทำนบแตก “พี่เสี่ยวหวาน ข้าอยู่กับไทฮองไทเฮาตั้งแต่ยังเด็ก ผู้คนในวังไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเจ้านายไม่มีผู้ใดเกรงกลัวข้า องค์ชายและองค์หญิงในวังเหล่านั้นกลั่นแกล้งข้า ต่อว่าข้าว่าไม่ใช่สายเลือดเดียวกับพวกเขา ว่าข้าเป็นเด็กบ้านป่าเมืองเถื่อนไร้พ่อขาดแม่ ไม่มีใครเล่นกับข้า พอกลับไปที่บ้าน ทุกคนก็เรียกข้าว่าจวิ้นจู่ เป็นเจ้านายชั้นสูง ไม่มีใครยอมเล่นกับข้าเลย ท่านปู่ก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะปฏิบัติต่อข้าอย่างดี แต่ข้าอยากมีสหายไว้คอยเล่นกับข้า สู้กับข้า ร้องไห้กับข้า หัวเราะกับข้า ข้าโตมาไม่เคยมีสหายอยู่ข้างกายเลย ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการมีสหายอยู่ข้างกายนั้นรู้สึกอย่างไร”
ยิ่งถานอวี้ซูพูดมากเท่าไร นางก็ยิ่งเศร้ามากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา นางพยายามกลั้นเสียงสะอื้น “ตั้งแต่ข้ามาถึงเมืองรุ่ยเสียน เมื่อได้พบกับท่านและพี่หนิงผิง ข้าถึงรู้ว่าพวกท่านปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ การมีสหายมันเป็นเช่นนี้ ข้าก็อยากบอกตัวตนของข้ากับท่านนะ แต่ข้าก็กลัว… กลัวว่าหลังจากท่านรู้แล้ว ท่านจะไม่เล่นกับข้า ดังนั้นข้าจึงปกปิดตัวตนของข้าต่อหน้าพวกท่าน”
ถานอวี้ซูสะอื้นไห้และพรั่งพรูทุกสิ่งออกมา กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเองปวดร้าวราวกับว่ามันกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ถานอวี้ซูอายุเพียงสิบขวบ หากเป็นในยุคปัจจุบัน นางยังคงเป็นนักเรียนประถมแสนสดใสที่นั่งในห้องเรียนและเล่นกับเหล่าเพื่อนร่วมชั้น
ทว่าชีวิตของนางถูกกำหนดให้แตกต่างจากหญิงคนอื่น ๆ
นางใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบตั้งแต่ยังเด็กและปราศจากพ่อแม่ นางถูกรับกลับมาเลี้ยงดูโดยสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างไทฮองไทเฮา แต่ท้ายที่สุดแล้วไทฮองไทเฮาก็ไม่ใช่ย่าผู้แท้ ๆ ของนางอยู่ดี
กู้เสี่ยวหวานมองถานอวี้ซูที่กำลังโศกเศร้า นางก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วกอดถานอวี้ซูไว้ในอ้อมแขน หยาดน้ำตาพลันไหลพรั่งพรูออกมา นางตบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาและเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “อวี้ซู เจ้าไม่ต้องร้องไห้ไปนะ ตราบใดที่เจ้าต้องการ ข้าจะเป็นพี่เสี่ยวหวานของเจ้าตลอดไป”
ทันทีที่ถานอวี้ซูได้ยินกู้เสี่ยวหวานบอกว่านางเต็มใจที่จะเป็นพี่เสี่ยวหวานของตนเองไปตลอดชีวิต นางก็เงยหน้ามองกู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาไม่เชื่อ เมื่อเห็นความจริงจังบนใบหน้าของอีกฝ่ายโดยไร้วี่แววการล้อเล่น ถานอวี้ซูพลันรู้สึกมีความสุขและหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
อย่างไรก็ตาม นางยังคงไม่เชื่อ ดวงตากลมโตมองไปที่กู้เสี่ยวหวานและถามอย่างระมัดระวัง “พี่เสี่ยวหวาน ท่านเต็มใจที่จะเป็นพี่สาวของข้าตลอดไปจริง ๆ หรือ”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า ชี้ไปที่ผู้คนรอบกายและเอ่ยว่า “ไม่ใช่แค่ข้าอยากเป็นพี่เสี่ยวหวานของเจ้า เสี่ยวอี้ก็จะเป็นน้องสาวที่แสนดีของเจ้าเสมอ ท่านป้า ท่านลุง พี่ฉือโถวก็จะเป็นเหมือนครอบครัวของเจ้าเช่นกัน”
เมื่อถานอวี้ซูได้ยินเช่นนี้ นางก็ปาดคราบน้ำตาบนใบหน้าทันที นางโผเข้ากอดกู้เสี่ยวหวานแน่นและพูดเสียงดัง “ท่านพี่เสี่ยวหวาน ท่านใจดีมาก ท่านใจดีมากจริง ๆ”
กู้เสี่ยวอี้ก็ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน เด็กน้อยประคองไหล่ของถานอวี้ซูอย่างอ่อนโยนและพูดเบา ๆ “พี่อวี้ซู ตราบใดที่ท่านต้องการ ท่านสามารถอยู่กับพวกข้าได้ตลอดไป”
ถานอวี้ซูร้องไห้ออกมาอีกครั้ง นัยน์ตาเปี่ยมความสุขกวาดมองแววตาที่เต็มไปมิตรภาพของทุกคน และรู้สึกว่าน้ำตานี้ช่างเป็นน้ำตาแห่งความสุข
สิ่งที่เกิดขึ้นที่ประตูตอนนี้ทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งทั่วเมืองรุ่ยเสียน
ฝูงชนแน่นขนัดรวมตัวกันหน้าร้านจิ่นฝูมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารในร้านจิ่นฝูและผู้คนที่รอดูเรื่องสนุกต่างชะเง้อคอเพื่อมองเข้าไปด้านในอย่างอยากรู้อยากเห็น
วันนี้คงเปิดร้านไม่ได้แล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงขอให้ลูกจ้างในร้านติดป้ายประกาศว่าร้านปิดบริการ
เสียงอื้ออึ้งเซ็งแซ่ยังดังเข้ามาเป็นระยะ ๆ ครั้นเห็นว่าร้านจิ่นฝูไม่เปิดบริการ ฝูงชนต่างทยอยแยกย้ายกันออกไป และเพียงแค่หาสถานที่สนุก ๆ เท่านั้น
ได้ยินมาว่าตอนนี้ตระกูลจินกำลังยุ่งวุ่นวาย และกลุ่มคนที่เฝ้าดูความตื่นเต้นต่างแยกย้ายกันกลับไป และไม่ครึกครื้นเหมือนก่อนหน้านี้ หากแต่ก็ยังได้ยินเสียงเล็ดลอดเข้ามาเป็นระยะ ๆ
เมื่อถานอวี้ซูได้ยินว่าตอนนี้ตระกูลจินอยู่ในสถานการณ์โกลาหลที่เกิดจากท่านปู่ของนาง ถานอวี้ซูรู้สึกแปลกใจเมื่อนึกถึงท่าทางโกรธและตกใจของท่านปู่ก่อนที่เขาจะจากไป
นางไม่เคยเห็นท่านปู่ของตนเองสูญเสียภาพลักษณ์อันนิ่งสงบมาก่อน ไม่เคยเลยสักครั้ง
ถานอวี้ซูได้ยินเพียงคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับปู่ของตนมาเอ่ยถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อครั้งที่ปู่ของนางเห็นบิดาและมารดาของนางถูกปลิดชีพ การสูญเสียในครั้งนั้นราวกับกระตุ้นความนิ่งสงบของเขาจนแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ซึ่งไม่ว่าใครที่พบเห็นต่างก็ต้องเกรงกลัว
จากการต่อสู้ครั้งนั้น บางคนเรียกปู่ของนางว่าปีศาจ
คราวนี้เมื่อถานอวี้ซูเห็นท่าทางของถานเย่สิง คำแรกที่เข้ามาในหัวของนางก็คือปีศาจเช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทางกระสับกระส่ายของถานอวี้ซู กู้เสี่ยวหวานคิดว่านางอาจหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ดังนั้นจึงรีบพานางกลับไปที่ห้อง
หลังจากกลับมาที่ห้อง ถานอวี้ซูเห็นว่าตอนนี้นางและกู้เสี่ยวหวานอยู่ด้วยกันตามลำพัง จึงจับมือกู้เสี่ยวหวานและถามอย่างเศร้าใจว่า “พี่เสี่ยวหวาน พี่หนิงผิงจะยกโทษให้ข้าไหม”
ถานอวี้ซูถามอย่างระมัดระวัง ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย นางรู้ว่าตนเองเคยโกหกกู้หนิงผิง กู้หนิงผิงมักจะมองว่านางเป็นสหายที่ดี และเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยนางโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของเขาเอง
ถานอวี้ซูรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่านางทำผิด ดังนั้นนางจึงได้แต่ถามกู้เสี่ยวหวานอย่างระมัดระวัง
กู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูกังวลว่ากู้หนิงผิงจะไม่ให้อภัยนาง นางรู้อยู่ในใจว่าถานอวี้ซูห่วงใยกู้หนิงผิงจริง ๆ
แม้ว่าตอนนี้ถานอวี้ซูและกู้หนิงผิงจะยังไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่อย่างน้อยในใจของถานอวี้ซูก็มองว่ากู้หนิงผิงเป็นสหายที่ดีของนาง และเป็นคนที่นางรักมากที่สุด
อย่างน้อยที่สุด ถานอวี้ซูก็เป็นคนจริงใจ ทุกสิ่งที่กู้หนิงผิงทำ ถานอวี้ซูเห็นและจดจำไว้ในใจของนาง
และแม้ว่ากู้หนิงผิงจะประสบกับชะตากรรมครั้งใหญ่ แต่กู้หนิงผิงรู้สึกว่ามันคุ้มค่า