ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 131 เพียงแรกพบดวงใจถวิลใฝ่ปอง (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

สองกองทหารยังมิทันปะทะ กลับเห็นทหารม้าค่ายเฟยฉีเลี้ยวไปทางฝั่งซ้ายกะทันหัน หลี่หลินตกตะลึงเพียงชั่วครู่ ทหารม้าค่ายเฟยฉีก็พลันพุ่งทะลวงปีกซ้ายของกองทัพต้ายง สืออวี้จิ่นนำกองทัพฝ่ากระบวนทัพ ทำให้กองทัพต้ายงสับสนอลหม่าน หลี่หลินเพิ่งออกรบมินาน ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของสืออวี้จิ่น ยิ่งไปกว่านั้นสืออวี้จิ่นในวันนี้ยังมุทะลุน้อยลง เยือนเย็นมากขึ้นหลายส่วนแล้ว นางฝ่าซ้ายบุกทะลวงขวา เพียงครู่เดียวก็พลิกกลับเป็นฝ่ายเหนือกว่า

หลี่หลินตัดสินใจอย่างเด็ดขาดทันท่วงที ออกคำสั่งให้ถอยทัพ ตนเองคุมท้ายขบวนแถวด้วยตนเอง ถอยกลับไปทางจงหลี แม้ค่ายทหารม้าเฟยฉีจะได้รับชัยชนะ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เหลือเรี่ยวแรงน้อยนิดนัก ดังนั้นสืออวี้จิ่นจึงมิได้สั่งให้กองทหารไล่ตามโจมตี กองทัพต้ายงถอยไปแล้ว พลทหารของค่ายทหารม้าเฟยฉีพลันเข้ามารุมล้อมสืออวี้จิ่นแล้วโห่ร้องอย่างดีใจลิงโลด เฉลิมฉลองที่แม่ทัพหนุ่มที่พวกเขาเคารพนับถือหวนกลับคืนกองทัพ ทั้งยังนำพวกเขารบชนะทัพหน้าของกองทัพต้ายง ล้างแค้นความอัปยศที่พ่ายแพ้มาหลายครั้งหลายหนอีกด้วย

สืออวี้จิ่นกลับสีหน้าเคร่งเครียด ควบอาชาเข้ามาหาลู่เหมย จากนั้นรับทารกในอ้อมแขนของนางมา นางมองสำรวจรอบหนึ่งจึงวางใจ

ลู่เหมยบ่น “พี่สะใภ้ใหญ่ ผู้มีพระคุณบอกให้ท่านพักรักษาตัวดีๆ ทางที่ดีภายในหนึ่งปีอย่าได้เข้าสมรภูมิเข่นฆ่าศัตรู แต่ท่านกลับมิยอมทำตาม หากล้มป่วยอีกจะทำเช่นไรเล่า”

สืออวี้จิ่นยิ้มอายๆ “เข้าใจแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้ว หนหน้ามิกล้าแล้ว”

เวลานี้แม่ทัพทั้งหลายของค่ายทหารม้าเฟยฉีจึงบังคับอาชาเข้ามาบอกว่า “แม่ทัพน้อย ท่านอยู่ในกองทัพอย่าจากไปอีกเลยดีหรือไม่ พวกเราจะช่วยท่านชิงอำนาจกองทัพไหวซีกลับมา จะได้มิต้องเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ของโจรถ่อยไช่ฉวินผู้นั้นอีก”

สืออวี้จิ่นตอบอย่างเศร้าหมอง “ยามนี้อวี้จิ่นเป็นเพียงผู้ร้ายหลบหนีของราชสำนัก ไฉนเลยจะนำทัพออกศึกได้อีก หนนี้ข้าเพียงผ่านทางที่แห่งนี้ กำลังจะพาเหมยเอ๋อร์เดินทางไปหนานหมิ่นเท่านั้น คงมิอาจร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกท่านได้อีกแล้ว”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็คอตกอย่างหม่นหมอง แต่พวกเขาทราบดีว่าสิ่งที่สืออวี้จิ่นกล่าวมีเหตุผล หากทำเช่นนั้นจริง ไฉนมิใช่เท่ากับก่อการกบฏ ทว่าหากค่ายทหารม้าเฟยฉีเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงต้องพบจุดจบพินาศย่อยยับเป็นแน่ พวกเขาแค้นใจนักที่ราชสำนักหนานฉู่ใส่ร้ายประหารลู่ช่าน

ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นมาว่า “แทนที่จะตายเปล่าอยู่ที่นี่ มิสู้พวกเราคุ้มกันแม่ทัพน้อยเดินทางไปหนานหมิ่นเถิด” พอคำนี้ถูกเอ่ยออกมาก็มีคนจำนวนมากขานรับ

ตัวสืออวี้จิ่นเองก็คิดว่าการเดินทางไปหนานหมิ่นคงต้องพบอันตรายมากมาย หากมีองครักษ์คนสนิทที่รู้ใจกันจำนวนหนึ่งคุ้มครองก็คงจะดียิ่งนัก ค่ายทหารม้าเฟยฉีเป็นทหารที่ขึ้นตรงต่อตระกูลลู่ ยามนี้คงถูกกีดกันจนอยู่อย่างยากลำบากอย่างยิ่ง แทนที่จะให้พวกเขาตายเปล่าอยู่ที่ไหวซี มิสู้ถอนตัวจากการเป็นทหาร นับจากนี้ออกเดินทางท่องโลกหล้าอันกว้างใหญ่เสียดีกว่า

สืออวี้จิ่นมีนิสัยเฉกเช่นเปลวเพลิง นางแค้นราชสำนักหนานฉู่เข้ากระดูกดำจนมิเหลือปณิธานจะพิทักษ์แผ่นดินอีกต่อไปแล้วจึงเอ่ยว่า “ผู้ที่ปรารถนาจะไปก็ตามข้าไปด้วยกันเถิด พวกเราจะแบ่งคนทยอยเดินทางลงใต้ มิให้คนสนิทของเสนาบดีชั่วผู้นั้นไหวตัว ผู้ใดมิต้องการไปก็จงเดินทางไปไหวตงพึ่งพาที่ปรึกษาหยาง อย่าได้ตายเปล่าอยู่ที่นี่เลย”

หลังจากค่ายทหารม้าเฟยฉีที่เหลืออยู่เพียงสี่พันนายหารือกันเสร็จ บางคนยังเป็นห่วงสถานการณ์อันตรายของไหวหนานอยู่ จึงมีทหารสองพันห้าร้อยกว่านายตัดสินใจเดินทางไปไหวตง มิต้องการอยู่ใต้บัญชาของไช่ฉวินอีกต่อไป ส่วนอีกหนึ่งพันกว่านายหมดใจแล้ว พวกเขาจึงปรึกษากันว่าจะแยกย้ายลงใต้ เดินทางไปหนานหมิ่นเพื่อรับใช้ตระกูลลู่

สืออวี้จิ่นมิได้ปกปิดร่องรอยของตนเองมากนัก กองทหารต่างๆ ของกองทัพไหวซีต่างรู้ร่องรอยของนางนานแล้ว แต่ทุกคนล้วนเห็นแก่บุญคุณของลู่ช่านและสือกวน ทั้งสืออวี้จิ่นยังเป็นอดีตสหายร่วมรบของพวกเขา ทุกคนจึงลอบให้ความช่วยเหลือ ทหารคนสนิทในอดีตของสือกวนบางคนถึงขั้นไร้ใจจะทำศึกต่อ พวกเขาต่างออกจากกองทัพ ติดตามสืออวี้จิ่นเดินทางไปยังหนานหมิ่น เมื่อไช่ฉวินสังเกตพบเรื่องนี้ ทหารชั้นยอดในกองทัพไหวซีก็หายไปสองสามส่วนจากสิบส่วนแล้ว

การกระทำเช่นนี้ของสืออวี้จิ่นถือว่ามิคำนึงถึงการใหญ่ แต่นิสัยเช่นนาง ไม่ปลุกระดมทหารลุกขึ้นมาแก้แค้นก็นับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว เพียงแต่เพราะกำลังของกองทัพไหวซีลดทอนลงมาก อีกทั้งไช่ฉวินก็เป็นคนฝีมือดาษๆ กองทัพต้ายงจึงบุกไหวซีได้ราบรื่นดุจผ่าปล้องไผ่ มิพบอุปสรรคแต่อย่างใด

มิถึงหนึ่งปี ไหวซีก็ตกอยู่ในกำมือของกองทัพต้ายง ตอนมีชีวิตอยู่ลู่ช่านย่อมคาดมิถึงว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้ หากสือกวนไม่ตาย สถานการณ์ของไหวซีคงมิเละเทะถึงเพียงนี้ ต่อให้สืออวี้จิ่นละทิ้งกองทัพจากไปก็คงมิมีคนมากมายเท่านี้ติดตามนางจากไปด้วย

หลี่หลินย่อมมิทราบว่าต่อจากตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น เขาเพียงคอตกหวนกลับไปยังจงหลีอย่างหม่นหมอง ในใจคับแค้นยิ่งนัก คิดมิถึงว่าเพิ่งมาถึงกำแพงเมืองก็เห็นประตูเมืองเปิดอ้าซ่า เด็กหนุ่มอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งออกมาต้อนรับพร้อมกับขบวนผู้คน หลี่หลินเห็นคนผู้นี้ก็ยิ้มกว้างอย่างห้ามตนเองไม่ได้ “พี่ใหญ่ฮั่ว ท่านมาได้อย่างไร”

หลี่หลินกระโดดลงจากม้า วิ่งรี่เข้าไปหา เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ก้าวเท้าเร็วไวเดินออกมาจากกลุ่มคนเช่นกัน ทั้งสองคนคว้าแขนของอีกฝ่ายแล้วสบตากัน พวกเขาต่างเบิกบานใจยิ่งนัก

หลี่หลินทิ้งงานในกองทัพให้รองแม่ทัพจัดการ ส่วนตนเองจูงฮั่วฉงเดินเข้าไปในเมือง เดินไปพลางก็ถามไปด้วย “พี่ใหญ่ฮั่วไม่ตามเสด็จพี่ไปรักษาการณ์ที่ฉู่โจวหรือ เหตุไฉนจึงมาหาข้าที่จงหลี เสด็จพี่ยอมปล่อยแขนซ้ายแขนขวาอย่างท่านมาได้เช่นไร”

ฮั่วฉงยิ้ม “ข้าเพียงช่วยจัดการเอกสารทั้งหลายข้างกายรัชทายาทเท่านั้น จะเรียกว่าเป็นแขนเป็นมือได้ที่ไหน วันนี้รัชทายาทได้ยินว่าท่านอ๋องยกทัพออกรบก็กังวลใจนัก จึงออกคำสั่งให้ข้าคุมเสบียงชุดหนึ่งเดินทางมาจงหลีแล้วแวะดูท่านสักหน่อย เขายังกำชับมาอีกว่าท่านต้องระมัดระวังรอบคอบ ห้ามยอมทิ้งชีวิตง่ายๆ”

หลี่หลินคลี่ยิ้ม “เสด็จพี่ชอบเห็นข้ายังไม่โตทุกที ฝากขอบคุณเสด็จพี่แทนข้าด้วย จริงสิ โหรวหลันสบายดีหรือไม่ ฝั่งนี้รบทัพจับศึกให้วุ่นวาย อย่าปล่อยให้นางเตร็ดเตร่มั่วซั่วเชียว หากพลาดพลั้งเกิดอันใดขึ้นมา เกรงว่าเสด็จพี่ของข้าคงปวดใจจนวางวาย”

ฮั่วฉงดวงตาทอประกายวูบหนึ่ง ตั้งแต่เดือนสิบปีก่อน องค์หญิงฉางเล่อพาโหรวหลันกับเซิ่นเอ๋อร์เดินทางมาเยี่ยมอาการป่วยของเจียงเจ๋อที่สวีโจว เริ่มแรกโหรวหลันยังอยู่ในสวีโจวอย่างว่าง่าย ต่อมาเมื่ออาการป่วยของเจียงเจ๋อดีขึ้น โหรวหลันก็ไม่ยอมอยู่นิ่งแล้ว นางมักจะสรรหาเหตุผลสักประการวิ่งไปหาองค์รัชทายาทหลี่จวิ้นที่ฉู่โจว

เรื่องนี้ทุกคนรู้แก่ใจดี พวกเขาต่างทราบว่าช้าเร็วท่านหญิงเจาหวาย่อมต้องแต่งเข้าราชวงศ์เป็นพระชายารัชทายาท มีแต่หลี่หลินที่มักจะดื้อรั้นมิเคยยอมหลุดปากยอมรับว่าหลี่จวิ้นกับโหรวหลันใจตรงกัน หายากนักที่เขาจะพูดถึงเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงไร้ความริษยาอย่างเช่นวันนี้ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

พอคิดมาถึงตรงนี้ ฮั่วฉงก็จงใจถามหลี่หลินเกี่ยวกันสถานการณ์ของศึกสงครามในระยะนี้ ไม่ว่าอย่างไรหลี่หลินก็เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่นานนักเขาก็ถูกหลอกให้พูดออกมาจนได้ แล้วเขาก็รู้ว่าฮั่วฉงทราบข่าวสารมากมาย จึงเอ่ยปากถามอีกว่า “พี่ใหญ่ฮั่ว ท่านเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับคุณหนูลู่บ้างหรือไม่ นางมีคู่หมั้นคู่หมายหรือยัง”

ฮั่วฉงแอบหัวเราะจนเกือบจะท้องแตกตาย เขาเข้าใจทันทีว่าหลี่หลินเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสืออวี้จิ่นกับลู่เหมย เรื่องนี้ก็มิแปลก ราชสำนักหนานฉู่เคยชินกับการหลอกตนเอง พวกเขาเจตนาแต่แสร้งเหมือนมิเจตนาทำเป็นว่าสืออวี้จิ่นกับสือซิ่วเป็นคนละคนกัน ส่วนในสายตาของกองทัพต้ายง มิว่าสืออวี้จิ่นจะเป็นชายหรือหญิง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความเก่งกาจในการสู้รบของนาง พวกเขาจึงมิสนใจจะป่าวประกาศเรื่องนี้

ฝ่ายหลี่หลิน แม้ฐานะของเขาจะสูงศักดิ์ แต่ก็เป็นเพียงแม่ทัพยศธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เขาจึงไม่เคยคิดไปในทางนั้น และในขณะเดียวก็ไม่มีผู้ใดบอกกล่าวตัวตนที่แท้จริงของสืออวี้จิ่นกับเขาอีกด้วย

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ฮั่วฉงก็ไม่เห็นว่าความปรารถนาของหลี่หลินจะมีความหวังนัก แม้หนานฉู่ล่มสลาย ตระกูลลู่ก็คงมิยินดียอมสวามิภักดิ์ อย่างมากที่สุดก็คงมิยุ่งเกี่ยว หลบเร้นอยู่ในหมู่ชาวบ้านเท่านั้น มิมีทางเกิดความคิดจะเอนอิงพึ่งพิงผู้สูงศักดิ์อย่างแน่นอน หากหลี่หลินคิดจะขอความรักจากลู่เหมยจริง นั่นคงเป็นเรื่องยากเท่าเหยียบขึ้นฟ้า

แต่พอคิดมาคิดไป อย่างไรก็ดีกว่าหลี่หลินผูกหัวใจไว้กับโหรวหลันตลอดไป เขาจึงกลั้นเสียงหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า “จวิ้นอ๋อง ท่านคงมิรู้สินะ แม่ทัพน้อยสือสืออวี้จิ่นผู้นั้นก็คือภรรยาผู้ผูกผมสาบานกับแม่ทัพน้อยลู่ ลู่อวิ๋น ทารกคนนั้นก็คือบุตรชายที่แม่ทัพน้อยสือเพิ่งคลอดออกมาเมื่อสองเดือนก่อน มีชื่อเล่นแรกเกิดว่าเป่าเอ๋อร์ ยังมิได้ตั้งนาม แม่ทัพน้อยสือเคยแต่ใช้ชีวิตเป็นแม่ทัพ ดังนั้นจึงยกทารกให้คุณหนูลู่ดูแล”

ในใจหลี่หลินยินดีเจียนคลั่ง เวลานี้เขาไม่คิดว่าการถูกสตรีนางหนึ่งทำให้พ่ายแพ้เป็นความอัปยศแม้แต่น้อย คิดแต่ว่าลู่เหมยกับสืออวี้จิ่นมิใช่คู่รักกัน ตนเองยังมีโอกาสอยู่

เขามิทันถามไถ่ว่าฮั่วฉงทราบรายละเอียดเช่นนี้ได้อย่างไรก็จับมือฮั่วฉงขึ้นมาอ้ำๆ อึ้งๆ บอกว่า “พี่ใหญ่ฮั่ว ท่านช่วยข้าคิดหาวิธีได้หรือไม่ ข้า ข้าอยากแต่งลู่เหมยเป็นภรรยายิ่งนัก”

ฮั่วฉงกวาดสายตามองหลี่หลินตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยแววตามีเลศนัยครู่หนึ่ง มองจนหัวใจของหลี่หลินขนลุกซู่ ผ่านไปเนิ่นนานฮั่วฉงก็ยิ้มตอบว่า “เรื่องนี้ข้าคิดหาวิธีให้ท่านได้ แต่เกรงว่าคงจะยากเย็นยิ่งนัก ท่านเป็นจวิ้นอ๋องแห่งต้ายง คุณหนูลู่เหมยเป็นทายาทของแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ ความแค้นระหว่างบ้านเมืองวางขวางอยู่ตรงกลาง หากท่านมิมีความกล้าพอจะจามขวานล่มเรือ เกรงว่าคงจะไม่มีหวังแต่ประการใด”

หลี่หลินรีบบอกว่า “พี่ใหญ่ฮั่วโปรดวางใจ หากเสด็จลุงกับเสด็จพ่อขัดขวาง อย่างมากที่สุดข้าก็มิเอาบรรดาศักดิ์นี้แล้ว หากคนตระกูลลู่มิยอม ข้าก็ยินดีตายต่อหน้าพวกเขา วอนขอให้พวกเขาอภัย”

ฮั่วฉงตีสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านต้องการแต่งคุณหนูลู่เป็นภรรยาด้วยใจจริงหรือไม่”

หลี่หลินชี้ท้องนภาสาบานกับดวงตะวัน “หากมีเจตนาอื่นแอบแฝง ขอให้หลี่หลินตายใต้คมดาบคมกระบี่ มิเหลือศพครบร่าง”

ฮั่วฉงคิดในใจว่า หากเรื่องนี้สำเร็จ มิเพียงจะหลีกเลี่ยงการแย่งชิงระหว่างหลี่หลินกับรัชทายาทได้ แต่ยังรับประกันความปลอดภัยสงบสุขในวันข้างหน้าของตระกูลลู่ได้อีกด้วย ท่านอาจารย์จะต้องชอบใจแน่นอน แม้แต่ฝ่าบาทกับฉีอ๋องก็คงมิคัดค้าน เพียงแต่ว่าหากต้องการจะได้สัญญาหมั้นหมายกับตระกูลลู่ เกรงว่าคงจะยากเย็นอย่างยิ่ง

คิดอยู่เนิ่นนาน ฉั่วเฉิงก็ตัดสินใจตอบว่า “จวิ้นอ๋องโปรดวางใจ เรื่องนี้ข้าจะช่วยท่านคิดหาหนทางอย่างแน่นอน เพียงแต่ท่านต้องรู้เอาไว้ว่าหากไม่เพียรพยายามโม่ถั่วเป็นน้ำสักแปดปีสิบปี ท่านอย่าหวังว่าจะทำสำเร็จ”

หลี่หลินตอบว่า “หากสวรรค์รับรู้ความจริงใจ แม้แต่ศิลายังผ่าแยก ข้าไม่มีวันยอมแพ้แน่นอน”

แต่ในใจกลับลอบคิดกับตัวเองว่า เวลายาวนานถึงเพียงนั้น ข้าจะต้องระวังมิให้ผู้ใดชิงตัดหน้า กลับไปข้าจะขอร้องเสด็จพ่อให้ช่วยคิดหาวิธี อีกอย่างแม้พี่ใหญ่ฮั่วจะรับปากแล้ว แต่อาจจะยังไม่พอ ต้องไปขอร้องอาเขยถึงจะดี

หลี่หลินในยามนี้ย่อมจินตนาการมิออกว่า หนทางในการตามเกี้ยวภรรยาของเขาจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด