บทที่ 1133 กะหล่ำปลีถูกหมูกิน
บาดแผลตรงหน้า ยิ่งกู้เสี่ยวหวานคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไรก็ยิ่งเศร้ามากขึ้นเท่านั้น นางยื่นมืออันสั่นเทาออกไปลูบไล้บาดแผลของฉินเย่จือเบา ๆ
สัมผัสนุ่มนวลทำให้ฉินเย่จือลืมความเจ็บปวดบนร่างกาย หลงเหลือแต่เพียงอาการชาเท่านั้น
ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเศร้าหมอง ฉินเย่จือจึงรีบพูดอย่างรวดเร็ว “หวานเอ๋อร์ จุดที่เจ้าสัมผัสมันไม่เจ็บแล้ว”
“จริงหรือ?” แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะมีจิตวิญญาณของหญิงอายุสามสิบปี แต่การได้ยินฉินเย่จือเอ่ยคำดังกล่าว กลับมีความสุขเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง หากการสัมผัสของนางสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้เล็กน้อย กู้เสี่ยวหวานก็เต็มใจที่จะทำมัน
กู้เสี่ยวหวานยื่นมืออีกข้างของนางออกมาอย่างตื่นเต้น และสัมผัสลงบนบาดแผลของฉินเย่จืออย่างแผ่วเบา
อาโม่ออกไปปรุงยาสักพักแล้ว
ท่านหมอพานได้ตรวจดูอาการของฉินเย่จือไปแล้ว โชคดีที่บาดแผลของฉินเย่จือเป็นบาดแผลภายนอกทั้งหมด และเขาจะฟื้นตัวหลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง
ไม่รู้ว่าฉินเย่จือมีมีบาดแผดบนร่างกายมากเท่าไร ในช่วงสองปีที่ผ่านมาที่เขาอยู่กับกู้เสี่ยวหวาน ไม่เคยเกิดการต่อสู้ ไม่เคยรบราฆ่าฟัน ไม่มีบาดแผลใหม่เกิดขึ้น ยกเว้นก็แต่เวลานี้
อาโม่คิดถึงวิธีที่เจ้านายของเขาพุ่งเข้าหากู้เสี่ยวหวานโดยไม่คิดถึงตัวเองในระหว่างการต่อสู้ และรู้ว่าฉินเย่จือมาถึงจุดที่เขาสามารถสละชีวิตของตัวเองเพื่อกู้เสี่ยวหวานได้
อย่างไรก็ตาม อาโม่ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
เมื่อมองท่าทีของกู้เสี่ยวหวานที่มีต่อเจ้านายของตัวเองในตอนนี้ หัวใจของอาโม่ก็อุ่นวาบ
ก่อนหน้านี้ถานอวี้ซูเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ กู้เสี่ยวหวานจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอยู่ปลอบนางอย่างช่วยไม่ได้
กู้เสี่ยวหวานเตือนตนเองเป็นพัน ๆ ครั้งว่าต้องไปหาฉินเย่จือให้เร็วที่สุด และเมื่อนางมาถึงก็สวนทางกับท่านหมอพานที่ออกไปพอดี
อาโม่รับรู้ถึงสถานะของถานอวี้ซูเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงรู้โดยธรรมชาติว่าจวิ้นจู่ไม่ใช่สถานะที่คนธรรมดาจะสร้างความขุ่นเคืองให้ได้
และก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่กู้เสี่ยวหวานจะปลอบโยนนาง
ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวของหญิงสาวเพิ่งประสบพบเจอเรื่องราวเลวร้ายมามาก และนางเองก็ตกอยู่ในอาการหวาดกลัว
เมื่อเดินขึ้นมาถึงหน้าประตู อาโม่ที่ต้มยาเสร็จแล้วและเตรียมจะผลักเปิดประตูเข้าไป แต่เมื่อไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวด้านใน จึงตัดสินใจส่งเสียงเรียก
“ยาพร้อมแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นจากบริเวณหน้าประตู
สิ้นเสียงของอาโม่ จากนั้นก็มีเสียงการเคลื่อนไหวขึ้นด้านในอย่างเร่งรีบ เสียงนั้นดูเหมือนจะเร่งรีบไม่น้อย ตามมาด้วยเสียงบางอย่างตกกระแทกพื้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญของฉินเย่จือ
ทันทีหลังจากนั้น กู้เสี่ยวหวานก็รีบสอบถามอย่างกระวนกระวาย
บรรยากาศรอบด้านในตอนนี้ดูมีชีวิตชีวา
หลังจากที่อาโม่จากไป บรรยากาศภายในห้องก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานทายาเสร็จก็พันแผลและแต่งตัวให้ฉินเย่จืออย่างรวดเร็ว
เดิมทีนางจะช่วยพยุงให้ฉินเย่จือนอนลงบนเตียง แต่เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บที่หลังจึงไม่สามารถนอนลงได้
ฉินเย่จือจึงแนะนำให้พวกเขานั่งคุยกัน
ไม่รู้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น แต่ในขณะที่คุยกันก็วนกลับมาเรื่องที่กู้เสี่ยวหวานเคยช่วยฉินเย่จือครั้งแรก
บนหน้าอกของฉินเย่จือมีบาดแผลจากการถูกดาบแทงทะลุหน้าอก และทำให้กู้เสี่ยวหวานหวนคิดถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน
ในตอนที่นางไปจับปลาในแม่น้ำ แต่กลับจับได้คนตัวใหญ่ขึ้นมาแทน
“พี่เย่จือคิดว่ามันแปลกหรือไม่ เมื่อก่อนข้าเป็นแค่เด็กหญิงอายุแค่สิบขวบ แต่กลับลากพี่เย่จือขึ้นมาจากน้ำได้อย่างทุลักทุเล” กู้เสี่ยวหวานมักจะรู้สึกแปลกใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นี้
นี่เป็นประสงค์ของสวรรค์จริงหรือ?
ที่ว่านางจะต้องช่วยเขาขึ้นมา
เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็ยื่นมือออกไปและบีบจมูกของนางเบา ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นเป็นประสงค์ของสวรรค์โดยธรรมชาติ”
กู้เสี่ยวหวานยิ้มเมื่อมองใบหน้าที่งดงามของฉินเย่จือ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกท้อแท้เล็กน้อย
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายที่หล่อเหลาคนนี้จะโดนตัวเอง “เก็บขึ้นมา”
“แล้วพี่เย่จือคิดว่าเป็นประสงค์ของสวรรค์หรือ พี่เย่จือดูดีมาก เมื่อมาอยู่กับข้าจะไม่รู้สึกขาดทุนหรือ” ทันใดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็เอ่ยประโยคดังกล่าวขึ้นมา
มีกะหล่ำปลีซึ่งรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกหมูกิน*[1]
ฉินเย่จือไม่คาดคิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะพูดคำเช่นนี้ ในตอนแรกเขาตกใจมาก จากนั้นก็เห็นใบหน้าขาวซีดของกู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะถูกย้อมด้วยสีแดงระเรื่อในขณะนี้
ในตอนนั้นเองที่นางตระหนักว่า ตนเองกำลังพูดอย่างไร้สติ และกำลังดุด่าตัวเอง
ถ้าฉินเย่จือเป็นกะหล่ำปลี ตัวเองก็จะเป็นหมูไม่ใช่หรือ?
กู้เสี่ยวหวานหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางลอบตำหนิตัวเองพลางมองคิ้วที่โค้งขึ้นและรอยยิ้มกว้างของฉินเย่จือ
นางรู้ว่าครั้งนี้ตนเองพูดไม่ถูกจริง ๆ
แน่นอนว่าฉินเย่จือยืดแขนออกมาดึงกู้เสี่ยวหวานเข้ามาในอ้อมแขน เขาพยายามกลั้นยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่คิดว่ามันเป็นการขาดทุน เด็กผู้หญิงที่สามารถหาเงินได้เช่นนี้ ข้าไม่ขาดทุนหรอก”
กู้เสี่ยวหวานอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตา
เจ้าไม่ได้ขาดทุน แต่ข้ารู้สึกขาดทุน
เจ้าแก่กว่าข้าเจ็ดปี นี่ไม่ใช่กะหล่ำปลีที่ถูกหมูกิน แต่เป็นหญ้าอ่อนที่ถูกวัวแก่กิน
กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้ นางพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของฉินเย่จือ และหาเหตุผลให้กับเขา
ไม่ง่ายเลยที่ฉินเย่จือจะสามารถคว้าโอกาสที่ดีในการอยู่ร่วมกันกับกู้เสี่ยวหวาน และยังได้กอดนางในอ้อมแขนของเขาอีก เขาจะปล่อยนางไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร
เมื่อเห็นนางดิ้น ฉินเย่จือก็ขมวดคิ้วทันทีและพูดอย่างไม่สบายใจ “หวานเอ๋อร์ เจ้าโดนแผลข้า มันเจ็บมาก”
เขาเอ่ยออกมาราวกับว่าเขาเจ็บมาก
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าฉินเย่จือเจ็บแผล นางต้องการดูทันทีว่ามันอยู่ที่ไหน
ในเวลานี้ ฉินเย่จือพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อย่าเพิ่งขยับหวานเอ๋อร์ กอดไว้แบบนี้ก็ไม่เจ็บแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่านางทำร้ายเขาจริง ๆ หรือว่าเขาแค่แสร้งทำเป็นเจ็บ แต่…
แม้จะเสแสร้ง แต่นางก็เต็มใจ
ทั้งสองต่างกอดกันและกัน และภายในห้องก็เต็มไปด้วยความนิ่งสงบ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน แต่สำหรับฉินเย่จือมันก็เหมือนกับการกินข้าวคำใหญ่ อาหารอันโอชะแสนอร่อยนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ชามก็ถูกคนอื่นแย่งไปก่อนที่จะได้ลิ้มลองรสชาติ
อาโม่มาเคาะประตู
กู้เสี่ยวหวานตกใจจึงผละออกจากอ้อมแขนของฉินเย่จือเหมือนลูกกวางที่ตื่นตระหนก
*[1] กะหล่ำปลีถูกหมูกิน หมายถึง คนดีมักถูกคนนิสัยไม่ดีทำลายชื่อเสียง