ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 133 แก้แค้นถึงเมื่อใดจึงพอ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ฮั่วฉงขบกรามแน่น มิทราบว่าโลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปากตั้งแต่เมื่อใด คนผู้นั้นเห็นเข้าก็ยิ้มหยัน “ผู้แซ่ลี่มิเอาไหน ต่อมาร่อนเร่ไปถึงหนานฉู่ ติดตามอยู่ข้างกายเจ้าตำหนักเหวย แม้สำนักเฟิงอี้จะเป็นหงส์ปีกหัก แต่ก็ยังเป็นแมลงร้อยขา ตายแล้วตัวยังดิ้น พวกเขาทำให้ข้าล่วงรู้ความลับมากมาย หลายปีที่ผ่านมาเจ้าตำหนักเหวยทุ่มเทสืบค้นร่องรอยจนแน่ใจว่าตั้งแต่ปีรัชศกอู่เวยที่ยี่สิบสี่ กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็ตกอยู่ในกำมือของจักรพรรดิต้ายงหลี่จื้อแล้ว

เจียงเจ๋อผู้นั้นมีนิสัยชอบแอบชอบซ่อนเป็นที่สุด ผู้บงการที่แท้จริงของเรื่องนี้นอกจากเจียงเจ๋อแล้วมิมีทางเป็นผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านหัวหน้าตายในเงื้อมมือของผู้ใด มิต้องถามก็คงทราบ ได้ยินว่าเจียงเจ๋อรักคุณชายยิ่งนัก คุณชายเดามิออกสักนิดจริงๆ หรือว่าผู้ใดคือศัตรูคู่แค้นที่สังหารบิดา”

ดวงตาของฮั่วฉงเหมือนมีเปลวเพลิงปะทุออกมา เขาหันไปจ้องคนผู้นั้นเขม็ง แต่คนผู้นั้นกลับดูเหมือนมิสะทกสะท้าน เขาหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงเบื้องหน้าฮั่วฉง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “ภายในขวดใบนี้คือยาสูตรลับที่เจ้าตำหนักซื้อมาจากราชาพิษ หากคนทั่วไปกินจะมิเป็นอันใด แต่หากคนที่ล้มป่วยหนัก หรือบาดเจ็บกินเข้าไปก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็จะทำให้คนที่กินยานี้จากไปอย่างสงบ

คุณชายเป็นศิษย์รักของเจียงเจ๋อ เพียงหยดสิ่งนี้ลงในน้ำ อาหาร หรือยา ก็ชำระแค้นให้แว่นแค้น ล้างแค้นให้ครอบครัวได้แล้ว คุณชายมิต้องกังวลใจ แม้คนผู้นั้นจะเป็นหมอฝีมือล้ำเลิศ แต่ศาสตร์การใช้พิษลึกล้ำยากหยั่ง ความสามารถในด้านพิษของเซินหรูฮุ่ยใต้หล้าไร้ผู้ใดเทียม แม้แต่หมอเทวดามาเยือนด้วยตนเองก็มิมีทางค้นพบยาตัวนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยาตัวนี้พูดให้ละเอียดแล้วก็หาใช่พิษร้ายไม่ มันเป็นยาบำรุงร่างกายให้แข็งแรงเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่มิเหมาะกับคนป่วยก็เท่านั้นเอง”

คนผู้นั้นเห็นฮั่วฉงยังมิพูดจา แต่เขาทราบว่ามิใช่ฮั่วฉงมิหวั่นไหว จึงเอ่ยต่อว่า “หากคุณชายมิยอมลงมือ ลี่หมิงขอกล่าวเรื่องมิน่าฟังเอาไว้ก่อน ภายในครึ่งปี หากคนผู้นั้นยังมิตาย ข้าจะเปิดโปงตัวตนของคุณชาย ก็มิรู้เหมือนกันว่าถึงยามนั้น เจียงเจ๋อคนนั้นยังจะเมตตาใจอ่อนหรือไม่

แม้แต่ศิษย์รักที่คบหากันมาตั้งแต่เยาว์วัย รักใคร่ดุจพี่น้อง พอเป็นศัตรูกับเขา เขายังมิยอมละเว้น นับประสาอะไรกับท่านที่เป็นบัณฑิตเดียวดายไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง ต่อให้เขาตัดใจฆ่าท่านมิลง นับจากนี้หนทางเป็นขุนนางของท่านก็จบสิ้นแล้ว ท่านมิมีวันได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักต้ายงอีก ถึงยามนั้นเกรงว่าคุณชายคงอยู่มิสู้ตาย มิสู้เดิมพันชีวิตดูสักหนจะดีกว่า

ผู้แซ่ลี่ขอมิปิดบังว่า ข้าตั้งใจจะตายอยู่ก่อนแล้ว หากคุณชายยอมสังหารเจียงเจ๋อ ข้าก็จะมิกระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป จะนำข่าวดีเรื่องนี้ไปบอกกับหัวหน้าฮั่วกับเจ้าตำหนักเหวยในปรโลก มิอยู่บนโลกมนุษย์ต่อให้คุณชายมีชนักติดหลังพะวักพะวนใจ หากคุณชายมิวางใจก็ให้มาหาข้าที่โรงเตี๊ยมผิงอานในเมืองโซ่วชุน ถึงยามนั้นโซ่วชุนคงถูกต้ายงตีแตกแล้ว หากข้าตายต่อหน้าคุณชาย คุณชายก็คงวางใจแล้วกระมัง

เพียงแต่คุณชายอย่าได้คิดสังหารคนปิดปากก่อนงานสำเร็จ ข้าฝากจดหมายไว้ในมือคนสนิทแล้ว หากมิมีของแทนตัวของข้า เวลานี้ในปีหน้า เขาจะเปิดจดหมายแล้วทำตามคำสั่งเสียของข้า เปิดโปงตัวตนของคุณชายให้ใต้หล้าได้รู้ ถึงยามนั้นคุณชายจะนึกเสียใจก็คงสาย

หากคุณชายสังหารเจียงเจ๋อ ข้าจะมอบของแทนตัวกับบอกตัวตนของคนผู้นั้นให้ คุณชายจะปราศจากภัยในภายภาคหน้าตลอดกาล นี่ไฉนมิใช่เรื่องดีงามเรื่องหนึ่ง”

ฮั่วฉงมองขวดหยกนิ่งงัน มิทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ด้านหลังก็มีเสียงขององครักษ์ดังขึ้น “คุณชาย กินอาหารได้แล้วขอรับ”

ฮั่วฉงเก็บขวดหยกเข้าไปในแขนเสื้ออย่างมิทันคิด เขาเงยหน้าขึ้น ลี่หมิงผู้นั้นมิทราบจากไปทางใดแล้ว เขาจึงตอบอย่างเฉยชา “ไปเดี๋ยวนี้ รอข้าสักประเดี๋ยว”

หลังจากนั้นจึงเดินไปที่ริมลำธาร เขามิยื่นมือวักน้ำขึ้นมาแต่กลับจุ่มศีรษะพรวดลงไปในลำน้ำ น้ำใสในลำธารเย็นเฉียบ

ผ่านไปครู่หนึ่งฮั่วฉงก็ยกศีรษะขึ้นมา ลุกขึ้นหันกลับมายิ้มแย้มบอกว่า “น้ำของลำธารสายนี้เย็นนักเชียว”

หยดน้ำดุจเม็ดไข่มุกไหลลงมาตามเส้นผมและกรอบหน้าของเขา ทว่ากลับมิทำให้คนรู้สึกว่าดูเลอะเทอะสักนิด กลับกันทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนเปิดเผยมิถือตัวมากกว่า

องครักษ์ผู้นั้นติดตามเขามาหลายปีแล้ว ทราบว่าบางครั้งฮั่วฉงก็ทำตัวมิรักษาภาพลักษณ์เช่นนี้จึงมิทันสังเกตเห็นความหวั่นไหวในใจของฮั่วฉง เขายิ้มขบขัน เอ่ยว่า “น้ำในลำธารแต่เดิมก็เย็นอยู่แล้ว ยามนี้เพิ่งปลายวสันต์ จะเย็นเฉียบก็ไม่แปลก คุณชายเช็ดน้ำให้แห้งเถิดขอรับ มิฉะนั้นเกิดเป็นหวัดเข้าจะแย่เอา”

ฮั่วฉงยิ้มน้อยๆ พลางใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำ เขายิ้มแย้มอย่างสบายอุราเดินตามองครักษ์ผู้นั้นไปยังวัดนอกผืนป่า บนเตาสนามของกองทัพที่วางอยู่หน้าบันไดวัดมีแผ่นแป้งทอดกับน้ำแกงข้นร้อนควันฉุย นับว่าเป็นอาหารที่อุดมสมบูรณ์มื้อหนึ่งทีเดียว ฮั่วฉงรับประทานอาหารพลางคุยเล่นกับองครักษ์ทั้งหลายโดยมิเผยพิรุธแม้แต่น้อย มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเวลานี้ฮั่วฉงกินอาหารมิรู้รสเลยสักนิด

หลังจากอาหารกลางวัน ทั้งห้าคนก็พักอีกครึ่งชั่วยามก่อนจะออกเดินทางอีกหน ระหว่างทางไร้คำพูดจา เช้าตรู่วันที่สี่ ทั้งห้าคนก็เดินทางถึงหน้าเมืองสวีโจว พวกเขารีบเร่งเดินทางมาตลอดทั้งคืน เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างจึงถูกน้ำค้างเปียกชื้นจนเกือบหมด พวกเขาอยากรีบเข้าเมืองผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ยิ่งนัก เมื่อมองเห็นเมืองสวีโจวตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงอรุณ มิต้องปรึกษาหารือ ทั้งห้าคนก็หวดแส้ เร่งอาชาควบทะยานไปยังประตูเมือง ทว่ายังมิทันถึงประตูเมืองก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นหน้าประตูเมืองมีธงตั้งเรียงราย

ฮั่วฉงนึกฉงน รั้งบังเหียนหยุดอาชาข้างทาง เมื่อเพ่งสายตามองจึงเห็นธงมังกรกับธงหงส์สีเหลืองอร่าม กองทหารราชองครักษ์หลงเซียงสวมชุดเกราะวาววับตั้งขบวนเกียรติยศขององค์หญิงอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา บ่งชัดถึงตัวตนของผู้ที่อยู่ในขบวนรถที่กำลังจะเดินทางออกจากเมือง มินานฮั่วฉงก็เห็นราชรถทองขององค์หญิงฉางเล่อ

ฮั่วฉงประหลาดใจ องค์หญิงฉางเล่อมาเยือนสวีโจวเพราะเจียงเจ๋อป่วยหนัก คำนวณดูแล้วเจียงเจ๋อน่าจะยังมิหายดี เหตุไฉนองค์หญิงจึงจะกลับแล้วเล่า ฮั่วฉงนิ่งงันอยู่ข้างทาง ลืมสนิทว่าเข้าไปถามได้ บทสนทนาริมลำธารกลางพงไพรนั่นเล่นงานเขาหนักหน่วงยิ่งนัก ท่าทางสงบนิ่งผ่อนคลายบนฉากหน้ามิใช่ว่าจะปกปิดได้มิด

ตามธรรมเนียมแล้วองค์หญิงแห่งต้ายงสมควรใช้ราชรถประดับขนไก่ฟ้า มีเพียงองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อที่ได้รับพระราชทานอนุญาตเป็นพิเศษให้ใช้ราชรถทอง นี่คือการแสดงความโปรดปรานของจักรพรรดิต้ายง ฮั่วฉงครุ่นคิดหลายตลบ ในที่สุดเขาก็คิดออกว่าเรื่องในวันนี้เป็นมาอย่างไร

ก่อนเขาเดินทางไปจงหลี เคยทราบข่าวจากองค์รัชทายาทหลี่จวิ้นว่ามีผู้ตรวจการยื่นฎีการ้องเรียนเรื่องที่องค์หญิงฉางเล่อเดินทางออกจากนครหลวงต้ายงมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ฝ่าบาทคงออกพระราชโองการเรียกตัวองค์หญิงกลับเป็นแน่ พอหันไปมองราชรถทองอีกหน หัวใจพลันมีเงามืดปกคลุม

เวลานี้เอง ฮั่วฉงก็มองเห็นโหรวหลันกับเซิ่นเอ๋อร์ขี่อาชากำยำตามอยู่ด้านข้างราชรถขององค์หญิงฉางเล่อ เซิ่นเอ๋อร์สวมชุดสบายๆ สำหรับการเดินทาง ส่วนโหรวหลันสวมอาภรณ์สำหรับวสันตฤดูสีเหลืองอ่อน สภาพดูมิเหมือนจะรีบเร่งเดินทางแม้แต่น้อย นางก้มหน้าคุยกับองค์หญิงฉางเล่อผ่านหน้าต่างที่ห้อยม่านมุกอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาจึงคาดเดาเอาเองว่าองค์หญิงฉางเล่อคงจะทิ้งโหรวหลันไว้ที่สวีโจว

ตอนนี้องค์หญิงฉางเล่อกับโหรวหลันก็มองเห็นฮั่วฉงที่อยู่ริมทางเช่นกัน องค์หญิงฉางเล่อจึงสั่งหยุดราชรถ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉงเอ๋อร์กลับมาแล้ว หากเจ้ามาสายอีกสักหน่อย คงมิทันได้บอกลาข้า”

ฮั่วฉงก้าวเข้าไปคำนับ ถามเสียงเศร้าสร้อย “อาจารย์หญิงจะกลับเมืองหลวงแล้วหรือขอรับ”

องค์หญิงฉางเล่อถอนหายใจแผ่วเบา ดวงหน้างามเกลี้ยงเกลาเผยสีหน้าหม่นหมองบอกว่า “เสด็จแม่ประชวรเล็กน้อยจึงมีพระราชโองการเรียกตัวข้ากลับเมืองหลวง ข้าทิ้งหลันเอ๋อร์ไว้ดูแลบิดาของนาง เพียงแต่ว่านางยังอายุน้อย คงทำสิ่งใดไม่ถนัดนัก หากเจ้าได้อยู่ข้างกายสุยอวิ๋นก็ฝากเจ้าดูแลสักหน่อย แม้สุยอวิ๋นจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ข้าก็ยังมิวางใจ”

เวลานี้เจียงเซิ่นก็ยื่นตัวมาจากอีกฝั่งหนึ่งของราชรถทองแล้วบอกอย่างกระตือรือร้น “พี่ฮั่ว ท่านต้องบอกท่านพ่อนะว่ามิใช่ข้ามิอยากคัดคัมภีร์ซือจิงสิบรอบ แต่เสด็จลุงให้ข้ากลับไปด้วยกัน บอกว่าเสด็จยายคิดถึงข้ามากยิ่งนัก อาจารย์ก็ต้องการให้ข้ากลับไปฝึกวรยุทธ์ ดังนั้นข้าจึงต้องไป อย่างมากหลังจากท่านพ่อกลับเมืองหลวงแล้ว ข้าค่อยนำคัมภีร์ซือจิงที่คัดเสร็จแล้วมามอบให้เขา”

โหรวหลันแต่เดิมร่ำไห้น้ำตาไหลอยู่ พอได้ยินคำพูดของเจียงเซิ่นก็หลุดหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “เซิ่นเอ๋อร์ เจ้าคงไม่คิดจะจ้างคนมาคัดตำราลอกเลียนลายมือของเจ้าหรอกนะ สายตาของท่านพ่อร้ายกาจยิ่งนัก ปิดบังมิได้หรอก”

เจียงเซิ่นฟังจบก็อึ้งไปทันที ดวงตาดำขลับใสกระจ่างคู่นั้นหลุกหลิกไปมามิหยุด คล้ายกับกำลังขบคิดว่าคำพูดของพี่สาวจริงหรือไม่

องค์หญิงฉางเล่อฟังแล้วกลับหัวเราะ “ใช่แล้ว เซิ่นเอ๋อร์ เมื่อก่อนพี่สาวเจ้าเคยพลาดท่ามาแล้ว แต่เดิมต้องคัดคัมภีร์หลุนอวี่เพียงห้ารอบ ผลสุดท้ายกลับต้องคัดเพิ่มอีกสิบรอบ”