ตอนที่ 280-1 คว้าชัยชนะ การท้าทายของวั่งซู
พอใกล้ยามเที่ยง ลมเย็นพระอาทิตย์ส่องแสง หน้าประตูแต่ละบานของสำนักศึกษาหนานซานมีผู้ปกครองมายืนออรอกันอยู่ด้วยความร้อนใจ สำหรับผู้เข้าสอบที่เป็นลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือเหล่านั้น น่ากลัวว่าคนที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าคงเป็นผู้ปกครองที่ไม่มีความมั่นใจเหล่านี้
สำนักศึกษาหนานซานเป็นหนึ่งในสำนักศึกษาที่ดีที่สุดของเมืองหลวง และเป็นสำนักศึกษาที่สอบเข้ายากที่สุดแห่งหนึ่ง จะสอบเข้าได้หรือไม่นั้นนอกจากความสามารถส่วนตัวแล้ว ยังต้องอาศัยดวงเข้าช่วยอีกส่วนหนึ่งด้วย – แต่ละปีสำนักศึกษาหนานซานจำกัดรับลูกศิษย์หนึ่งร้อยคน ต่อให้อาศัยเส้นสายก็ไม่มีทางมีคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งเข้ามาได้ บางทีหากเป็นราชโองการจากฮ่องเต้อาจจะพอได้ แต่ฮ่องเต้พระองค์ใดจะกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำถึงขั้นมาออกราชโองการประเภทนี้ เรื่องการศึกษาไม่มีทางลัดให้เอ่ยถึง หากวันนี้เขามีราชโองการให้คนเข้าศึกษาในสำนักศึกษาได้เป็นกรณีพิเศษ วันหน้าเขาก็คงมีราชโองการให้คนเป็นจ้วงหยวนแห่งต้าเหลียงเป็นกรณีพิเศษได้เช่นกัน เช่นนี้แล้วจะมีการสอบของราชสำนักไปเพื่ออะไร ถึงอย่างไรการสอบสามคนได้หนึ่งคน กับสอบหกคนได้หนึ่งคนก็มีความต่างกันมากอยู่
และที่โชคร้ายยิ่งนักก็คือ ปีนี้เป็นปีที่สอบหกคนได้หนึ่งคน คนที่สมัครสอบเข้ามามีมากถึงหกร้อยห้าสิบเจ็ดคน ที่มาเข้าร่วมสอบมีทั้งหมดหกร้อยห้าสิบสามคน หนำซ้ำนี่ยังผ่านการคัดเลือกมาแล้วรอบหนึ่งอีกด้วย หากคนทั้งใต้หล้าสามารถสมัครเข้าสอบได้ทั้งหมด น่ากลัวว่าธรณีประตูของสำนักศึกษาหนานซานคงถูกย่ำจนแตกไปแล้ว
เฉียวเวยนั่งอยู่บนรถม้า เลิกผ้าม่านชะเง้อมองเข้าไป
ชาติก่อนนางเคยเข้าร่วมการสอบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งนางเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างใน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะได้กลายมาเป็นคนที่รออยู่ข้างนอกเช่นนี้ เมื่อก่อนนางคิดว่าผู้ปกครองเหล่านั้นช่างน่าขัน มีอะไรน่าเป็นกังวลนัก เหตุใดต้องมารอกันด้วย มารอแล้วลูกหลานจะสอบได้ดีหรือ เป็นกังวลแล้วลูกหลานจะไม่ทำผิดแล้วหรือ นับว่าไม่เจอกับตัวคงไม่รู้สึกโดยแท้จริง
ปี้เอ๋อร์พูดปลอบว่า “ฮูหยิน ท่านไม่ต้องกังวลไป จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูจะต้องได้เข้าเรียนอย่างราบรื่นเป็นแน่! การสอบเสินถงคราก่อน ทั้งสองก็สอบได้ดีออกมิใช่หรือ”
จิ่งอวิ๋นนั้นสอบได้ดีจริงๆ แต่เจ้าเด็กวั่งซูนั่น ครึ่งหนึ่งเป็นผลงานของเสี่ยวไป๋ ครึ่งหนึ่งเป็นผลงานของบิดา วันนี้ไม่อยู่ทั้งเสี่ยวไป๋ทั้งบิดา เจ้าหนูจ้ำม่ำนั่นยังจะ “เปลี่ยนร้ายเป็นดี” ได้หรือ เฉียวเวยเป็นกังวลมากทีเดียว
ปี้เอ๋อร์คิดแล้วตาพลันเป็นประกาย “หรือไม่พวกเราไปถามท่านเขยดูดีหรือไม่ ให้ท่านเขยช่วยเป็นหูเป็นตาให้สักหน่อย”
เฉียวเวยจึงกล่าวว่า “เรื่องพวกนี้จะเป็นหูเป็นตาให้ได้อย่างไร เขากำลังสอนลูกศิษย์อยู่ จะให้เขาไม่สนใจนักเรียนวิ่งมาเปิดประตูหลังให้หลานสาวคงไม่เป็นการดีกระมัง ต่อให้เขายินดี อาจารย์ของสำนักก็คงไม่ยินยอม”
“เคร่งครัดเพียงนี้เชียว…” ปี้เอ๋อร์ไม่เคยเข้าเรียนเป็นจริงเป็นจังมาก่อน ที่พอรู้อักษรกับเขาบ้างก็เพราะเคยรับใช้เฉียวอวี้ซีกับสวีซื่อมาก่อน แต่เรื่องที่เฉียวอวี้หลินเข้าเรียนนั้นนางพอรู้อยู่ คราแรกได้ยินว่าต้องเข้าร่วมการสอบเช่นกัน แต่สวีซื่อให้ของขวัญกับอาจารย์ เฉียวอวี้หลินเลยผ่านเข้าไปได้อย่างสบายๆ จนถึงวันนี้ปี้เอ๋อร์ก็ยังไม่รู้ว่าที่เฉียวอวี้หลินสอบเข้าสำนักศึกษานั้นได้เป็นเพราะความสามารถของเขาเองหรือเป็นเพราะของขวัญที่สวีซื่อนำไปมอบให้ “ฮูหยิน อันที่จริงเหตุใดจะต้องวุ่นวายเพียงนี้ บิดาของเด็กทั้งสองเป็นอัครเสนาบดีคนปัจจุบัน ท่านลุงลูกพี่ลูกน้องก็เป็นถึงฮ่องเต้ ท่านย่าเป็นองค์หญิงเชื้อพระวงศ์ แค่เอาฐานะของเขาออกมากดดันหน่อย ก็น่าจะเข้าได้แล้วมิใช่หรือ”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “ตอนนั้นหมิงซิวยังสอบเข้าไปเองเลย ตอนนั้นองค์หญิงเจาหมิงยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ ก็ไม่เคยได้ยินว่าเขาเข้าไปได้โดยไม่ต้องสอบ”
ปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว “เช่นนี้ก็ไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ได้ วั่งซูกับหลิวเกอร์จะไม่เท่ากับหมดหวังแล้วหรือ”
ก็ใช่นะสิ วั่งซูตอนเรียนหนังสืออยู่ในหมู่บ้านก็เละไม่เป็นท่า หลิวเกอร์ถึงแม้จะเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้านไม่น้อย แต่เดี๋ยววันนี้ปวดท้อง พรุ่งนี้ปวดหัว สามวันตกปลา สองวันตากแห จึงไม่ได้เรียนอะไรสักเท่าไรเช่นกัน แค่พอจะท่องกลอนได้หลายบท เอาไว้ทำให้คนแก่ดีใจก็เท่านั้น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เฉียวเวยก็ยังสมัครสอบให้เด็กทั้งสอง เด็กทั้งสามกินด้วยกัน เล่นด้วยกัน เรียนก็ย่อมต้องเรียนด้วยกัน ลองสอบดูก่อน หากเกิดได้ขึ้นมาเล่า ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็เปลี่ยนไปเรียนสำนักอื่นก็เท่านั้น
เฉียวเวยในเวลานี้ไม่รู้เลยว่าตนเป็นห่วงผิดคนเสียแล้ว วั่งซูน้อยที่หมดโอกาสชนะ เวลานี้กำลังแบกม้าซีหนานวิ่งตุบตับๆ ไปยังเส้นชัย ส่วนจิ่งอวิ๋นที่มั่นใจว่าสอบเข้าได้แต่กลับหยุดชะงักอยู่ตรงรั้วกั้นที่จุดเริ่มต้น
ว่ากันเรื่องทักษะการขี่ม้าแล้ว เขาย่อมสู้เด็กน้อยจากชนเผ่าซยงหนีว์เหล่านั้นไม่ได้ ดังนั้นหากเดินทางอ้อม เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแน่นอน แต่หากไม่ใช้ทางอ้อม ก็จะต้องข้ามรั้วพวกนี้ไปอย่างนั้นหรือ
เส้นทางนี้กว้างประมาณสามเมตร หนึ่งแถวมีรั้วสองอัน ความกว้างของแต่ละอันอยู่ที่หนึ่งเมตรยี่สิบถึงหนึ่งเมตรสามสิบเซ็นติเมตร ระหว่างรั้วกั้นมีความกว้างแต่เพียงครึ่งเมตร คนยังพอเดินผ่านได้ แต่ม้าออกจะอันตรายเกินไป
จิ่งอวิ๋นกระโดดลงจากหลังม้า ลูบรั้วกั้นตรงหน้า รั้วนี้สร้างขึ้นจากไม้ก็จริง แต่กระดานที่วางขวางอยู่ตรงกลางกลับหล่อขึ้นจากกระดาษ…
“พี่ชายๆ ข้ามาแล้ว!” ทางนั้นด้านนั้นวั่งซูโบกมือน้อยๆ ของตน กำลังจะวิ่งเข้ามายกม้าของพี่ชายกับหลิวเกอร์ไปให้ด้วย
จิ่งอวิ๋นเหลือบมองผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์ที่พุ่งทะยานกันไปข้างหน้า สามคนนั้นใกล้จะถึงเส้นชัยแล้ว น้องสาววิ่งมาถึงฝั่งนี้ไม่มีปัญหา วิ่งกลับไปก็ไม่มีปัญหา ปัญหาคือแค่รอบเดียวไม่พอ แต่หากรอบสองก็กลับไปไม่ทัน ด้วยความเร็วของผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์ ทันแค่เขาหรือหลิวเกอร์คนใดคนหนึ่งไปถึงเส้นชัยเท่านั้น
จิ่งอวิ๋นมองกระดาษขาวบนรั้วไม้แล้วดวงตาพลันสั่นไหว เอ่ยกับหลิวเกอร์ว่า “ปิดหูม้าไว้!”
หลิวเกอร์ปิดหูม้าอย่างเชื่อฟัง
จิ่งอวิ๋นเองก็ปิดหูม้าตัวเองเช่นกัน เขาหันไปพูดกับน้องสาวว่า “วั่งซู ผลักรั้ว!”
“อ้อ!”
วั่งซูกางแขนน้อยๆ ของตน ยื่นมือออกไปข้างหน้าแล้ววิ่งตะบันเข้าไปผลักรั้วไม้ทั้งสองข้างจนล้มลง
ไม้กระดานที่วางพาดอยู่บนรั้วทำขึ้นจากกระดาษ มองดูก็เป็นแค่ไม้ไม่กี่ชิ้นกับกระดาษไม่กี่แผ่นเท่านั้น
จิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ขี่ม้าผ่านกองกระดาษขาวกันไปคนละด้านอย่างสบายๆ
ทั้งสองไปถึงเส้นชัยได้ไม่เท่าไร องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ก็พุ่งทะยานเข้ามาราวกับลูกธนู ทั้งๆ ที่เขาเห็นอยู่ว่าเส้นทางนี้ไม่มีคน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในขณะที่กำลังจะถึงเส้นชัยนั้น จู่ๆ ก็มีม้าจงหยวนสองตัวโผล่ออกมาจากทางรกชัดเส้นนั้น บนม้ามีเด็กตัวผอมแห้งสองคนขี่อยู่ ซึ่งก็คือพี่ชายน้องชายของแฝดสามนั้น สีหน้าองค์ชายน้อยจากซยงหนีว์จึงดูไม่ดีขึ้นมาทันที เขาวิ่งอ้อมมาตั้งนาน อีกนิดเดียวก็จะได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว จะให้คนมากระตุกหนวดไปเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เส้นทางรกชัดสายนั้นอยู่ตรงกับเส้นชัย องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ต่อให้วิ่งเร็วจนม้าขาแทบขาด ก็ยังทำได้เพียงมองชัยชนะของตนถูกเจ้าเด็กสองคนนี้แย่งเอาไปเท่านั้น
ทว่า ต่อให้ไม่ได้ที่หนึ่ง ได้ที่สามก็ยังดี
เขายิงธนูได้ที่หนึ่ง ขี่ม้าได้ที่สาม ส่วนเด็กสองคนนี้ยิงธนูได้ที่สาม ขี่ม้าได้ที่หนึ่ง ดังนั้นเมื่อเอาทั้งหมดมารวมกันแล้ว พวกเขาสามคนก็ยังได้ที่หนึ่งในการสอบสายบู๊ร่วมกันอยู่ดี
แต่ที่องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์คาดคิดไม่ถึงเลยก็คือ ในขณะที่เขาลอบดีใจอยู่ในใจนั้น เด็กหญิงคนนี้เอามือไพล่หลัง เดินฮัมเพลงสบายๆ ออกมาจากทางเล็กๆ สายนั้น
นั่นไม่ใช่ตุ๊กตาน้อยของแฝดสามผู้นั้นหรือ
ดูเหมือนนางจะเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวในสนามสอบ เหตุใดนางจึงเดินออกมาคนเดียว ทั้งยังเดินเสีย…สบายอกสบายใจเสียด้วย ม้าของนางเล่า
ในใจองค์ชายน้อยแห่งซยงหนีว์เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา สัญชาตญาณสั่งให้เขาหันไปมองทางเพิงพักม้า จึงได้เห็นว่าในเพิงแห่งนั้นไม่รู้มีม้าอยู่สามตัวตั้งแต่เมื่อไร!
สองตัวในนั้นเป็นม้าที่พี่น้องแฝดชายสองคนนั้นเพิ่งจูงเข้าไป แล้วอีกตัวหนึ่งเล่า! คงไม่ใช่ของเด็กหญิงคนนั้นหรอกกระมัง! นางคงไม่ได้ไปถึงก่อนคนแรกกระมัง! นางมาถึงได้อย่างไร!
พูดให้ชัดก็คือ ทั้งสามคนนี้มาถึงได้อย่างไร
องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์พลิกตัวลงจากหลังม้า เดินไปยังทางออกของทางเดินเส้นเล็กนั้น เขาเห็นรั้วไม้ทั้งหมดถูกผลักล้มอยู่กับพื้น จึงอึ้งงันไปทันที…
คุณชายน้อยตระกูลลิ่นขุดแรงเฮือกสุดท้ายของตนออกมาใช้ ในที่สุดก็ตามอูซ่านกับเฟ่ยเหลียนจากซยงหนีว์ทันเสียที ในยุคนี้ไม่ได้มีวิทยาการการวัดด้วยเลเซอร์ที่แม่นยำ อาศัยเพียงสายตาของอาจารย์คุมสอบเท่านั้น ทั้งสามเข้ามาเกือบจะพร้อมกัน จึงได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับห้าร่วม
การที่เขาตามเด็กสองคนจากซยงหนีว์จนทัน คุณชายน้อยตระกูลลิ่นรู้สึกว่าตนเองเก่งมากแล้ว เพราะหากดูจากการสอบเข้าเรียนของหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีคนจงหยวนคนใดที่เอาชนะผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์ได้ในเรื่องการขี่ม้า ทุกครั้งจะเป็นผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์ที่มาถึงเส้นชัยก่อนและดื่มชาจนหมดไปครึ่งถ้วยแล้ว ผู้เข้าสอบจากจงหยวนถึงได้กระหืดกระหอบตามกันมา เวลานี้ตนตามมาทันได้ถึงสองคน นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ
ผู้เข้าสอบที่ชื่อจิ่งอวิ๋นนั้น คิดว่าคงยังอยู่ท้ายขบวนเป็นแน่
คุณชายน้อยตระกุลลิ่นเดินจูงม้าเชิดหน้าไปทางเพิงพัก ในขณะที่กลับไปถึงส่วนพักผ่อนนั้น ก็มีมือน้อยๆ ข้างหนึ่งส่งส้มผลหนึ่งมาให้ “อาจารย์เอามาแจก เอารึไม่”
“ขอบคุณมาก” คุณชายน้อยตระกูลลิ่นใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อแล้วรับส้มไป เขากวาดตามองอีกฝ่ายทีหนึ่งก่อนจะกระโดดเหยงพร้อมร้องลั่น!
จิ่งอวิ๋นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด “เจ้าเป็นอะไรไป”
คุณชายน้อยตระกูลลิ่นพูดติดอ่างว่า “เจ้าๆๆๆๆๆ… เจ้าไม่ใช่คนที่ชื่อจิ่งอวิ๋นหรอกหรือ”
จิ่งอวิ๋นถามว่า “เจ้ารู้ชื่อข้าได้อย่างไร”
คุณชายน้อยตระกูลลิ่นยิ่งติดอ่างหนักขึ้น “เจ้าๆๆๆ… เจ้าใช่… ใช่คนที่ตอนสอบเสินถง… ได้เป็นๆๆๆ… ทั่นฮวาน้อยหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นยิ่งงงหนักกว่าเดิม “เจ้ารู้กระทั่งเรื่องนี้?”
คุณชายน้อยตระกูลลิ่นมองเขาแล้วหันไปมองม้าข้างในเพิง ตาเบิกโตจนลูกตาแทบจะถลนออกมา “เจ้าๆๆๆ… เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไร”
จิ่งอวิ๋นจึงตอบว่า “เร็วกว่าพวกเจ้านิดหน่อย”
คุณชายน้อยตระกูลลิ่นเลยได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังกัมปนาท
…
เรื่องที่เด็กน้อยสามคนเป็นกลุ่มแรกที่มาถึงเส้นชัยไม่นานก็แพร่กันไปในหมู่ผู้เข้าสอบ ทุกคนไม่มีใครอยากจะเชื่อ เส้นทางที่ไม่อาจข้ามผ่านได้ถึงขั้นถูกเจ้าเด็กสามคนชนล้มเละเทะจนผ่านมาได้ อันที่จริงวิธีการนั้นง่ายดายมาก แต่ไม่มีใครเคยคิดที่จะทำเช่นนี้
การสอบด่านนี้ มีเคล็ดลับคล้ายคลึงกับการสอบหัวข้อที่สี่ของการสอบเสินถง
คุณชายน้อยตระกูลลิ่นจำหัวข้อนั้นได้อย่างแม่นยำ – บนทะเลมีเรือใหญ่ลำหนึ่งลอยอยู่ ด้านหนึ่งของกาบเรือมีบันไดเชือกห้อยไว้ บันไดนั้นมีส่วนหนึ่งประมาณหนึ่งจั้งโผล่พ้นผิวน้ำ กระแสน้ำจะขึ้นสูงหกชุ่นทุกครึ่งชั่วยาม ต้องผ่านไปนานเท่าไร บันไดอันนั้นถึงจะโผล่พ้นผิวน้ำมาเจ็ดฉื่อ
ในตอนนั้นผู้เข้าสอบจำนวนไม่น้อยเขียนคำตอบว่าสองชั่วยามครึ่ง เหตุผลเพราะหนึ่งจั้งมีสิบฉื่อ หนึ่งฉื่อมีสิบชุ่น ส่วนที่โผล่พ้นผิวน้ำคือหนึ่งจั้ง เช่นนั้นก็เท่ากับหนึ่งร้อยชุ่น ครึ่งชั่วยามน้ำขึ้นหกชุ่น หนึ่งร้อยลบไปเจ็ดสิบแล้วหารด้วยหก ผลลัพธ์ที่ได้ก็ควรจะเป็นระยะเวลาที่ต้องใช้
อันที่จริงคำถามข้อนี้ไม่มีคำตอบ นั่นเพราะเวลาน้ำขึ้นเรือก็ขึ้นตามน้ำไปด้วย