ตอนที่ 281-2 บดขยี้ ชัยชนะ

สายตาทุกคนจึงหันไปมองทางเฟ่ยเหลียน

ผู้เข้าสอบคนหนึ่งร้องขึ้นว่า “ดูนั่นเร็ว! แจกันถูกยกขึ้นมาแล้ว!”

ทุกคนหันไปมองแจกันในมือเฟ่ยเหลียนกันอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้เห็นว่ามาค่อยๆ “ลอย” ขึ้นมาจากพื้น

แต่ไม่นานทุกคนก็สังเกตเห็นบางอย่าง!

เพราะเฟ่ยเหลียน…เฟ่ยเหลียนก็ “ลอย” ขึ้นมาด้วย!

นี่มันอะไรกัน?

เฟ่ยเหลียนเองก็ตาค้างไปเช่นกัน เดิมทีเขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่ตนเองมีแล้วแต่ก็ยังยกเจ้าแจกันนี้ไม่ขึ้น เขารู้ว่าตนหมดสิ้นความหวังแล้ว แต่ในขณะที่เขากำลังจะยอมแพ้อย่างสิ้นหวังนั้น แจกันก็ลอยขึ้นมา

แวบแรกเขานึกดีใจ คิดในใจว่าตนได้สร้างเรื่องอัศจรรย์เข้าให้แล้ว แต่ชั่วขณะต่อมา ตัวเขาเองก็ลอยขึ้นเหนือพื้นตามแจกันไปกับเขาด้วย…

ผลแพ้ชนะของสนามนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัย ผู้เข้าสอบชาวซยงหนีว์ถูกเด็กหญิงชาวจงหยวนคนหนึ่งบดขยี้จนจมดิน เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกินขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การยกแจกันของสำนักศึกษาหนานซาน เพราะถึงอย่างไรการขี่ม้า ยิงธนู มวยปล้ำ ยกแจกันก็เป็นหัวข้อถนัดของชาวซยงหนีว์มาตลอด พวกเขาแทบจะเหมาที่หนึ่งในการสอบเหล่านี้ ปีนี้เริ่มจากแพ้เรื่องทักษะการขี่ม้าอย่างย่อยยับ แล้วก็มาแพ้ในการยกแจกันอีก เรียกได้ว่าเป็นการสอบที่ยับเยินที่สุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว

ทางด้านนี้วั่งซูได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ อีกด้านหนึ่ง คุณชายน้อยตระกูลลิ่นก็ทำผลงานพลิกกลับมาได้ดีอย่างงดงามเช่นกัน การที่เขาสอบได้เป็นปั้งเหยี่ยนในการสอบเสินถงเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าตัวเขามีความสามารถไม่ธรรมดา ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะมาเจอกันชาวซยงหนีว์ที่แข็งแกร่ง ผลงานการยิงธนูเข้าเป้าสองดอกของเขาคงทำให้เขาได้ที่หนึ่งในการสอบสายบู๊ไปแล้ว การสอบสายบุ๋นยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากคำถามการแปลไม่กี่ข้อเหล่านั้นแล้ว ข้ออื่นเขาทำถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นขอเพียงได้ที่หนึ่งในการเลือกสอบอีกหนึ่งหัวข้อ เขาก็จะได้ที่หนึ่งสองประเภท ทำให้มีโอกาสลุ้นเป็นจ้วงหยวนน้อยในการสอบครั้งนี้ค่อนข้างสูง

คุณชายน้อยตระกูลลิ่นร่วมสอบทั้งดีดฉิน หมาก เขียนอักษรและภาพวาด ได้ที่หนึ่งมาทั้งหมดสามประเภท

บนยกพื้นสูง อธิการสามท่านกับอาจารย์สี่ท่านนั่งล้อมโต๊ะกันอยู่ บนโต๊ะมีภาพเขียนอักษรวางอยู่สองภาพ

เด็กรับใช้ในห้องเรียนบอกว่า “ท่านเหวินกล่าวว่าตัวอักษรฝูทั้งสองตัวนี้เขียนได้ดียิ่งนัก ยากที่จะตัดสินได้ จึงให้ข้านำมาขอความเห็นจากอธิการทั้งสามและอาจารย์ทุกท่านขอรับ”

อาจารย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนเป็นอาจารย์ที่มีประสบการณ์มายาวนานที่สุดของสำนักศึกษา นอกจากอาจารย์ซุนที่ฝึกสอนทักษะการต่อสู้ ไม่ถ่องแท้ในด้านอักษรวรรณคดีนักแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนเป็นยอดบัณฑิตขงจื้อแห่งเมืองหลวงทั้งสิ้น

“อาจารย์ทุกคนมีความเห็นเช่นไร” อธิการถามขึ้น

อาจารย์ซย่าเอ่ยว่า “ตัวอักษรทางด้านซ้ายมีลายเส้นเรียวสวย หนักแน่นยิ่งใหญ่ ส่วนทางด้านขวาดูสง่างาม ลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ ด้วยอายุอย่างพวกเขาเขียนได้เช่นนี้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว แต่ตามความเห็นข้า ข้าเห็นว่าตัวอักษรทั้งสองยังมีมาตรฐานที่ต่างกันอยู่ ตัวอักษรทางซ้ายรูปลักษณ์งดงาม ตัวอักษรทางด้านขวาดูมีนัยแฝงที่ลึกซึ้ง ข้าจึงให้อันหลังชนะอยู่เล็กน้อย”

อาจารย์ต้วนเอ่ยสำทับว่า “ถูกต้อง ตัวอักษรทางซ้ายมองแวบแรกเห็นว่าเรียวงามเป็นระเบียบ แต่เส้นตรงนี้ลงน้ำหนักมากเกินไป เขาคงฝึกคัดตามรูปแบบของอาจารย์เขียนอักษรมาไม่น้อย ถึงได้ฝึกจนเขียนได้ตัวอักษรที่ตรงตามแบบแผนเช่นนี้ ส่วนตัวอักษรอีกตัว… ข้ากลับรู้สึกว่าเขาฝึกด้วยตนเอง ไม่เคยลอกเลียนจากใครมาก่อน”

อธิการก็เห็นจริงเช่นนั้น ตัวอักษรทางซ้ายประหนึ่งดอกจ้วนฮวาที่ตั้งใจสลักให้สวยงาม ตัวอักษรทางด้านขวาเหมือนดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่ตามเนินเขา อันแรกอาจจะดูวิจิตรบรรจงกว่า แต่อันหลังต่างหากที่ดูมีชีวิตโดยแท้จริง

อธิการดึงแถบปิดชื่อออก “ลิ่นคุน จีจิ่งอวิ๋น? ที่แท้ก็เป็นภาพอักษรของคุณชายน้อยตระกูลลิ่นนี่เอง มิน่าถึงได้งดงามเช่นนี้ แต่จีจิ่งอวิ๋นผู้นี้เป็นบุตรจากตระกูลใดกัน เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นหู เฉียวจิ่งอวิ๋นในการสอบเสินถงเป็นอะไรกับเขา”

รองอธิการเจียงเป็นคนที่ชอบเรื่องซุบซิบที่สุดในหมู่อาจารย์ทั้งหลาย เรื่องพวกนี้เขาไปสืบมาจนรู้ชัดหมดแล้ว จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อธิการ ท่านลืมแล้วหรือว่าท่านอัครเสนาบดีแซ่จีน่ะ”

อธิการเลยตกใจ “เขาเป็นบุตรของอัครเสนาบดี?”

รองอธิการเจียงเอ่ยต่อว่า “ท่านอธิการคงไม่คิดว่าอาจารย์ฉินจะช่วยคนนอกขอสิทธิ์เข้าสอบแทนผู้อื่นกระมัง เฉียวจิ่งอวิ๋นก็คือจีจิ่งอวิ๋น เขาเป็นบุตรที่พลัดพรากไปของท่านอัครเสนาบดี เวลานี้ได้กลับมาอยู่ในตระกูลแล้ว กลับมาอยู่ตระกูลจีแล้ว”

อธิการพลันกระจ่างแจ้งแก่ใจ “จีจิ่งอวิ๋นก็คือเฉียวจิ่งอวิ๋น มิน่าเล่าเด็กคนนี้ถึงได้ผ่านด่านทดสอบหกประตูได้ ราชสีห์ไม่ออกลูกเป็นสุนัขนี่เอง! เขาใช่ผู้เข้าสอบเมื่อเช้าที่ผลักรั้วจนล้มลงหรือไม่”

รองอธิการเจียงยิ้มพลางพยักหน้า “เขานั่นเอง”

ครานี้อธิการไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี “ใช่สิ เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นเป็นอะไรกับเขาหรือ”

รองอธิการเจียงตอบว่า “เด็กหญิงน้อยคนนั้นเป็นน้องสาวฝาแฝดของเขา”

อธิการตกใจไปอีกครั้ง “เป็นบุตรของอัครเสนาบดีทั้งคู่เลยหรือ…”

“ท่านอธิการ! ท่านอธิการ!” เด็กรับใช้ในห้องเรียนคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

อธิการมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าดุดัน “เรื่องอะไรถึงได้กระวีกระวาดเช่นนี้”

เด็กรับใช้วิ่งมาโดยไม่หยุดพัก ยังไม่ทันได้หอบหายใจเลยด้วยซ้ำ “สนามสอบตะวันออก…สนามสอบตะวันออกเกิดเรื่องแล้ว…”

อธิการพลันขมวดคิ้ว “สนามสอบตะวันออกไม่ใช่สนามที่เลือกสอบหรอกหรือ จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้”

เด็กรับใช้แทบไม่ทันได้หายใจ “เด็กหญิงน้อยผู้นั้น…นาง…นางทำองค์ชายน้อยจากซยงหนีว์…ตกเวทีจนหายไปแล้ว!”