ตอนที่ 282-2 การสอบ (1)
เล่นไปสิบแปดตา แพ้สิบเจ็ดตา ตาสุดท้ายเขาวางแข่งกับจิ่งอวิ๋น ตานี้จิ่งอวิ๋นใช้ความพยายามทั้งหมดที่มี นับว่าทำให้ท่านอาที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้ชนะได้ในที่สุด จากนั้นท่านอาผู้นี้ก็ลืมผลการสอบทั้งสิบเจ็ดตาก่อนหน้านี้ไปจนหมด…
ตอนสอบเฉียวเวยเป็นกังวลเรื่องนั้นเป็นกังวลเรื่องนี้ พอสอบเสร็จนางกลับสบายใจขึ้นมาก พยายามเต็มที่ก็ดีแล้ว ส่วนผลจะเป็นเช่นไรนั้น แล้วแต่สวรรค์จะบัญชาก็แล้วกัน
พวกเขากลับกันไปถึงจวน จีเหล่าฮูหยินคอยมาหนึ่งวันเต็มๆ ข้าวยังไม่ยอมกินดีๆ สักมื้อ ในที่สุดเด็กน้อยทั้งหลายก็กลับมากันเสียที นางไม่ได้เป็นห่วงจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู เพราะถึงอย่างไรเด็กสองคนนี้ก็เคยเข้าเรียนเมื่อตอนอยู่ชนบทมาก่อน แต่หลิวเกอร์เพิ่งได้ออกนอกบ้านเป็นครั้งแรก ข้างกายไม่มีหญิงรับใช้คอยติดตาม หกล้มหกท่าไปจะทำอย่างไร ฉี่รดกางเกงจะทำอย่างไร หิวจะทำอย่างไร ไม่ยอมกินข้าวจะทำอย่างไร
“ท่านย่า” หลิวเกอร์ทำความเคารพอย่างเรียบร้อย
จีเหล่าฮูหยินดึงตัวเขามากอด ถามว่าวันนี้ทำอะไรมาบ้าง กินข้าวรึยัง ได้เข้าห้องสุขารึไม่ มีหกล้มหรือกระแทกถูกอะไรหรือไม่
หลิวเกอร์ตอบอย่างแก่แดดแก่ลมว่า “กินแล้วขอรับ ข้ายังพาพวกเขาสองคนไปห้องสุขาด้วย”
จีเหล่าฮูหยินพลันยินดี “นี่ค่อยเหมือนเป็นท่านอาหน่อย! หลิวเกอร์โตแล้วจริงๆ ว่าง่ายแล้ว รู้ประสาแล้ว รู้จักดูแลวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นแล้ว!”
หลิวเกอร์เองก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเช่นนั้น!
สนุกสนานมาทั้งวัน เด็กทั้งสามเล่นด้วยกันอยู่ที่เรือนลั่วเหมย ตอนเฉียวเวยผลักประตูเข้าไปเรียกให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกลับบ้านชิงเหลียนนั้น ก็เห็นว่าทั้งสามนอนแผ่สามสลึงหลับกันอยู่บนพรมไปแล้ว
เฉียวเวยอุ้มหลิวเกอร์ขึ้นเตียง ช่วยถอดเสื้อนอกกับถุงเท้ารองเท้าให้แล้วจึงเอาผ้าห่มห่มให้เขา ก่อนจะเรียกจีหมิงซิวมาให้ช่วยอุ้มบุตรกลับเรือนกันไปคนละคน
ตกดึก เฉียวเวยนอนอยู่ในอ้อมแขนของสามีตน “ท่านว่าพวกเขาจะสอบติดหรือไม่ ต้องลองไปถามลุงเขยดูหรือไม่”
จีหมิงซิวระบายยิ้มเอ็นดู “ไม่มั่นใจในลูกตนเองเพียงนี้เชียวหรือ”
เฉียวเวยตอบว่า “นี่ข้าไม่ได้เป็นห่วงวั่งซูกับหลิวเกอร์หรอกหรือ ข้ารู้ว่าจิ่งอวิ๋นต้องสอบเข้าได้แน่”
จีหมิงซิว “หากเจ้าเป็นห่วงจริงๆ ก็ลองไปถามลุงเขยดูสิ”
เฉียวเวยทำปากยื่น “ช่างเถอะ ข้าไม่ไปถามดีกว่า ข้าจะรออย่างใจเย็น ถึงอย่างไรอีกสามวันก็รู้ผลแล้ว”
“ที่พูดก็ถูก” จีหมิงซิวเอ่ยเสียงนุ่ม “คนโตกับคนรองจะเข้าเรียนกันแล้ว คนที่สามยังไม่เห็นเงาเลย ควรพยายามสักหน่อยหรือไม่”
เฉียวเวยพึมพำว่า “ข้าว่าท่านไม่ได้อยากได้คนที่สามหรอก แค่หาข้ออ้างมาซุกซนไม่หยุดเท่านั้น”
จีหมิงซิว “ใครให้ภรรยาเย้ายวนเช่นนี้เล่า สามีย่อมอดไม่ไหว”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “เคยมีผู้ใดบอกกับสามีหรือไม่ ว่าสามีเองก็เย้ายวนมากเช่นกัน”
พูดจบนางก็พลิกตัว
จีหมิงซิวพลันเลิกคิ้ว “ภรรยาชอบอยู่ด้านบนหรือ ทว่าน่าเสียดาย…”
ยังไม่ทันพูดจบเขาก็พลิกตัวบ้าง
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายอย่างต่อว่าต่อขาน
เขาพูดอย่างมีนัยยะลึกซึ้งว่า “เรื่องเช่นนี้ ให้เป็นหน้าที่สามีจะดีกว่า”
“ว่าด้วยเรื่องกำลังแล้ว ดูเหมือนข้าจะไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าท่าน” เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ จบก็ฉวยเอาผ้าคาดศรีษะที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนออกมาอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน แล้วมัดข้อมือเขาเอาไว้กับหัวเตียง
จีหมิงซิวมองนางอย่างล้อเลียน “ที่แท้ภรรยาก็ชอบเช่นนี้นี่เอง”
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่นานสามีก็จะชอบเช่นกัน”
จีหมิงซิวเลิกคิ้วขึ้นเรียบๆ
ทันใดนั้นเองตัวนางก็หมุมติ้ว แทบจะในชั่วขณะเดียวกัน มือของนางก็ถูกมัดเอาไว้ นางขยับข้อมืออย่างไม่อยากเชื่อ
จีหมิงซิวยิ้มบางๆ “ผ้าไหมเทียนฉาน ดึงไม่หลุดหรอก”
เฉียวเวยเงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าผ้าที่ผูกอยู่บนข้อมือนางไม่ใช่ผ้าที่นางใช้เมื่อครู่ แต่เป็นเชือกสีเงินเส้นเรียวเล็ก อีตานี่…เตรียมตัวมาชัดๆ!
จีหมิงซิวเอาผ้าของเฉียวเวยโยนลงพื้น “คิดจะเล่นลูกไม้กับนายน้อยอย่างข้า เจ้าสำนักเฉียวยังอ่อนหัดอยู่เล็กน้อย”
ในคืนนั้น เจ้าสำนักเฉียวก็ถูกลงทัณฑ์อย่างน่าอนาถ
…
ช่วงหลายวันที่รอผลการสอบออก เฉียวเวยกลับไปที่เมืองซีหนิวครั้งหนึ่ง นางไปที่หรงจี้เพื่อเยี่ยมเถ้าแก่หรงก่อน
กิจการของหรงจี้ดีวันดีคืนจนเดี๋ยวนี้ต้องจองกันส่วงหน้าแล้ว ในโถงใหญ่นั่งกันเบียดเสียด จำนวนเด็กในร้านเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว พ่อครัวก็รับมาใหม่ถึงสามคน ห้องที่เดิมเคยเป็นห้องเก็บของก็เปลี่ยนเห็นห้องครัวที่สอง
พื้นที่ทางด้านหลังเถ้าแก่หรงก็ซื้อมาแล้วสร้างเป็นบ้านหลังเล็ก แล้วย้ายห้องบัญชีของเถ้าแก่หรงกับเฉียวเวยไปอยู่ที่นั่น เพราะเหตุนี้ ห้องทั้งหมดบนชั้นสองจึงกลายเป็นห้องส่วนตัวสำหรับลูกค้าไป
เหยาชิงยังคงไม่ไปจากหรงจี้ เมื่อเดือนก่อนเขาเริ่มทำอาหารแล้ว เขาทำอาหารได้ทั้งเร็วทั้งรสชาติดี จึงเป็นที่ชื่นชอบของพ่อครัวทั้งหลายอย่างมาก
เสี่ยวลิ่วได้เป็นหัวหน้าเด็กในห้องโถง หากอยู่ในยุคปัจจุบันก็คือผู้จัดการห้องโถงใหญ่นั่นเอง
เถ้าแก่หรงนั่งอยู่ในห้องบัญชีที่ตนสร้างขึ้นใหม่ หยิบเมล็ดแตงโมมาแทะกินอย่างสบายใจ เฉียวเวยยืนอยู่ตรงข้ามเขา แต่เขากลับไม่เหลือบตาขึ้นมองสักนิด
เฉียวเวยก็ไม่เกรงใจ ดึงเก้าอี้มานั่งลงเอง เสร็จก็มองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “โอ๊ะ นี่พี่หรงเป็นอะไรไป หน้าตาบูดบึ้งเพียงนี้ ใครทำพี่หรงพวกเราโกรธหรือ”
เถ้าแก่หรงถุยเปลือกเมล็ดแตงโมงออกมาแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าเป็นใครกัน”
เฉียวเวยยิ้ม “พี่หรงก็ช่างลืมคนง่ายเสียจริง ข้าเพิ่งไปได้ไม่กี่เดือนเท่านั้นก็จำข้าไม่ได้เสียแล้วหรือ”
เถ้าแก่หรงในที่สุดก็หันไปมองเฉียวเวยสักที เขาแค่นลมหายใจออกมาทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เจ้าหน้าตาเหมือนเถ้าแก่รองของที่นี่อยู่บ้าง”
เฉียวเวยหัวเราะออกมา ยื่นมือไปหยิบเมล็ดแตงโมที่อยู่ในถาด เถ้าแก่หรงพลันถลึงตาใส่ จะตีมือเฉียวเวยแต่ถูกเฉียวเวยดึงหลบไปได้อย่างง่ายดาย
เฉียวเวยกระเทาะเมล็ดแตกโมแล้ววางลงตรงหน้าเถ้าแก่หรงพร้อมส่งยิ้มหวาน “ให้จ๊ะ พี่หรง”
เถ้าแก่หรงทำเสียงหึ “อย่าคิดว่าแกะให้ข้าเมล็ดสองเมล็ดแล้วข้าจะให้อภัยเจ้านะ!”
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเป็นการขอโทษพี่หรงเลย อย่างน้อยก็ต้องคุกเข่าสักสามวันสามคืน ถึงจะทำให้พี่กรงหายโกรธได้”
“เจ้าก็รู้นี่!”
เฉียวเวยถอนหายใจ “ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว พอข้าไปก็นึกเสียใจทันที แต่เวลานั้นอยู่ระหว่างทางแล้ว กลับมาไม่ได้ สถานที่ข้าไปก็อยู่ไกลแสนไกลถึงในทะเลโน่น ติดต่อกับเจ้าไม่สะดวก ถึงได้ขาดการติดต่อไปเลยเสียหลายเดือน แต่ในใจข้าคิดถึงเจ้าแน่นอน ข้ากลับมาถึงคนแรกที่มาเยี่ยมก็คือเจ้าเลยนะ!”
เถ้าแก่หรงปรายตามองเฉียวเวยอย่างเหนื่อยหน่าย “จริงหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างจริงจังเหลือแสนว่า “ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อไรกัน”
เถ้าแก่หรงพยายามให้ฟังดูห่างเหิน “เจ้ายังไม่ได้ไปหาชุยกงกง?”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความรังเกียจ “ชุยกงกงเป็นใครกัน เขาจะเทียบกับพี่หรงอย่างเจ้าได้อย่างไร ข้ากับเขาล้วนทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น กับพี่หรงต่างหากถึงจะจริงจังจริงใจ ทุกครั้งที่ข้าเจรจาการค้ากับชุยกงกง ในหัวคิดถึงแต่เจ้าทั้งสิ้น พี่หรงเจ้าต้องเชื่อข้านะ คนอื่นล้วนเป็นเพียงเมฆลอย พวกเราสองคนต่างหากที่สวรรค์ตั้งใจกำหนด!”
ในที่สุดสีหน้าเถ้าแก่หรงก็ไม่บูดบึ้งเท่าเดิมอีก “ช่วงหลายเดือนที่เจ้าไม่อยู่… ได้ไปหาคนอื่นลับหลังข้าหรือไม่”
เฉียวเวยยกมือขึ้น “ข้าขอสาบานต่อฟ้า ไม่มีแน่นอน!”
เถ้าแก่หรงเอ่ยหน้าดุว่า “ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ การที่ข้ายอมให้ชุยกงกงนับว่าเป็นขีดสุดของข้าแล้ว หากเจ้ากล้าไปหาใครมาอีก…”
เฉียวเวยรับประกันเต็มที่ว่า “พี่หรง พี่วางใจได้ ข้ารับประกันว่าชีวิตนี้จะมีเจ้าเพียงคนเดียว”
“เช่นนั้นชุยกงกงเล่า” เถ้าแก่หรงถามเสียงเรียบ
เฉียวเวยตอบโดยไม่มีลังเล “เขานับได้เพียงครึ่งคนเท่านั้น!”
เถ้าแก่หรงทำเสียงหึ ดึงเปิดลิ้นชักแล้วหยิงกล่องผ้าไหมกล่องหนึ่งออกมาวางกระแทกลงข้างมืออีกฝ่าย “ให้!”
“นี่คืออะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
เถ้าแก่หรงตอบว่า “เงินตอบแทนพิเศษของเจ้า”
“เงินตอบแทนพิเศษของข้า?” เฉียวเวยเปิดกล่องด้วยความยินดี พอเห็นเป็นตั๋วเงินปึกหนา ในใจก็ถึงกับร้องว้าว