ตอนที่ 278-2 ขอลูกอีกสักคน
เฉียวเวยตอบอย่างองอาจ “ท่านอย่าเห็นว่าข้าเหมือนคนไม่มีเหตุผล ความจริงข้าเปิดกว้างยิ่งนัก ข้ารู้ว่าบุรุษยุคโบราณอย่างพวกท่านไม่เคยมีสำนึกเรื่องคู่ครองหนึ่งเดียวตลอดชีวิต สามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องที่พบเห็นเป็นปกติ หากท่านต้องตาแม่นางคนใดเข้าอยากรับเข้าบ้าน ข้าก็จะไม่คัดค้าน”
จีหมิงซิวมองเฉียวเวยแล้วเอ่ยอย่างแฝงความนัย “ที่แท้ภรรยาของข้าใจกว้างถึงเพียงนี้ แต่ ‘บุรุษยุคโบราณ’ หมายความว่าอย่างไร”
เฉียวเวยอ้าปาก “หมายถึง…”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “เป็นสำนวนแถวบ้านเกิดของภรรยาหรือ แต่ข้าเคยไปเยือนบ้านเกิดของภรรยามาแล้ว คนที่นั่นเหมือนจะไม่ได้พูดกันเช่นนี้นะ”
เฉียวเวยลูบจมูก แววตาวูบไหว จากนั้นจึงปิดหน้า ทำท่าหาวออกมา “ง่วงนักเชียว ข้าไปนอนก่อนล่ะ! ท่านค่อยๆ เขียนไป! ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว!”
กล่าวจบก็จะหมุนตัวจากไป แต่ถูกจีหมิงซิวจับแขนไว้ “ดูท่าภรรยาจะเคยไปเยือนสถานที่ที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ หรือไม่ก็รู้จักกับยอดคนท่านใดเข้า”
เฉียวเวยตอบอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “ตั้งแต่เกิดข้าก็อยู่ในเมืองหลวงตลอด ท่านก็ไม่ใช่จะไม่รู้ ข้ารู้จักผู้ใด ไม่รู้จักผู้ใด ท่านล้วนรู้ทั้งหมด นายน้อยหมิงอยากจะสืบอดีตของคนผู้หนึ่งจะสืบไม่กระจ่างได้หรือ”
นางไม่เชื่อว่าหมิงซิวไม่เคยสืบเรื่องของนาง แม้นางจะเปลี่ยนไปสารพัด แต่จะอย่างไรเขาก็คงคิดไม่ถึงหรอกว่าตนเองเป็นคนยุคปัจจุบันที่ดวงวิญญาณข้ามห้วงเวลามา
จีหมิงซิวยิ้มเย็น “ภรรยาไม่ตอบความจริงเช่นนี้ สามีจะลงโทษอย่างไรดี”
นางกำลังสอบสวนความผิดเขาอยู่แท้ๆ เหตุไฉนทำไปทำมากลายมาเป็นคนถูกสอบสวนความผิดเสียเองเล่า
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นว่า “ลงโทษเจ้า…มีลูกให้นายน้อยคนนี้อีกสักคนดีหรือไม่”
เฉียวเวย ‘ดียิ่ง!’
…
วันต่อมาอาเขยฉินนำข่าวมาบอกว่าได้สิทธิสอบเข้าเรียนมาไว้ในมือแล้ว ทั้งหมดสามคน เจ้าซาลาเปาน้อยคนละสิทธิ เนื่องจากสำนักศึกษาหนานซานประการแรกไม่รับศิษย์หญิง ประการที่สองไม่รับเด็กอายุต่ำกว่าสิบปี ดังนั้นกล่าวได้ว่าอาเขยฉินทุ่มเทความคิดไปไม่น้อยเพื่อให้ได้สิทธิมา
แต่เดิมอาเขยฉินไม่ค่อยมีตัวตนในตระกูลจีนัก แต่เพราะเรื่องนี้ทำให้ทุกคนดีใจกันยกใหญ่ พากันชมว่าอาเขยก็มีความสามารถ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เก็บงำประกายไม่ยอมเผยออกมาก็เท่านั้น
แต่เดิมจีเหล่าฮูหยินไม่เห็นด้วยนักที่จะส่งเด็กๆ ไปตากแดดตากฝนข้างนอก นางสงสารหลานยิ่งนัก กลัวว่าเด็กน้อยอายุเพียงเท่านี้จะถูกผู้อื่นรังแก แล้วก็กลัวว่าร่ำเรียนข้างนอกจะลำบาก ปรนนิบัติไม่ถี่ถ้วนเท่าภายในจวน เฉียวเวยจึงปรับทัศนคติท่านแม่เฒ่ายกหนึ่ง บอกว่าเด็กน้อยต้องการเพื่อนเล่น หากอยู่แต่ในบ้านตลอด ย่อมไม่ใช่กำลังเรียนหนังสือ แต่กำลังเป็นเจ้านาย อาจารย์ย่อมไม่กล้าตีไม่กล้าดุด่า เรียนได้ดีก็ช่าง เรียนได้ไม่ดีก็ช่าง จะมองเห็นระดับที่แท้จริงของเด็กได้อย่างไร มีแต่ปล่อยไว้กับเด็กคนอื่นๆ จะเป็นล่อหรือเป็นอาชาจะได้รู้กันให้ชัดๆ ยิ่งไปกว่านั้นการได้สัมผัสกับโลกภายนอกก็ดีต่อนิสัยของเด็กๆ ด้วย
จีเหล่าฮูหยินคิดถึงนิสัยของหลิวเกอร์ จากนั้นคิดถึงนิสัยของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู นางจึงรู้สึกว่าเลี้ยงไว้ในบ้านให้เบื่อหน่ายไม่สู้ปล่อยให้ไปฝ่าฝันข้างนอก หลังจากนั้นจึงไม่คัดค้านอันใดอีก
วันสอบคือสามวันให้หลัง เนื้อหาของการสอบแตกต่างกันไปตามแต่ละปี แต่ส่วนใหญ่ก็มีสามหมวด หมวดที่หนึ่งสอบความรู้ทางบุ๋น อีกหมวดคือสอบความสามารถทางบู๊ ส่วนอีกหมวดหนึ่งเป็นการสอบทางเลือก
ดูจากการสอบปีที่ผ่านมา การสอบทางบุ๋นเนื้อหาหลักหนีไม่พ้นสี่ตำราห้าคัมภีร์พวกนั้น ขอเพียงท่องตำราได้ดี โอกาสผ่านก็ไม่น้อย การสอบทางบู๊จะทดสอบคุณสมบัติร่างกายกับทักษะขี่ม้ายิ่งธนูของผู้เข้าสอบ การสอบหมวดสุดท้ายหรือการสอบทางเลือกค่อนข้างจะยืดหยุ่น คล้ายกับคำถามเพิ่มเติมของยุคปัจจุบัน จุดประสงค์หลักคือการให้ผู้เข้าสอบแสดงความสามารถ ตัวอย่างเช่นพิณหมากภาพอักษรเป็นต้น
เฉียวเวยแอบไปหาอาเขยฉินจนได้ข้อสอบทางบุ๋นของปีกลายกับปีก่อนหน้ามาหลายชุด ความสามารถทางภาษากับการคำนวณของจิ่งอวิ๋นล้วนไม่มีปัญหา แต่คำถามเกี่ยวกับการแปลภาษาครึ่งหน้าสุดท้ายหมายความว่าอย่างไร
“สำนักศึกษาหนานซานทันสมัยถึงเพียงนี้เชียวหรือ เริ่มมีการสอบภาษาต่างประเทศแล้วด้วย”
อาเขยฉินหัวเราะ “พวกนี้เป็นคำถามแจกคะแนนให้กับผู้เข้าสอบเผ่าซยงหนีว์ ผู้เข้าสอบของจงหยวนไม่ต้องทำ ต่อให้ไม่ทำไม่กี่ข้อนี้ คะแนนของผู้เข้าสอบจงหยวนก็นำหน้าผู้เข้าสอบเผ่าซยงหนีว์ไปไกลลิบ”
เฉียวเวยงุนงงเล็กน้อย “สำนักศึกษาหนานซานมีนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วยหรือ”
“นักอะไรนะ” อาเขยฉินไม่เข้าใจ
เฉียวเวยยิ้ม “หมายถึงผู้เข้าสอบจากเผ่าซยงหนีว์”
อาเขยฉินตอบอย่างอ่อนโยน “เผ่าซยงหนีว์ชื่นชมวัฒนธรรมของจงหยวน ทุกปีจึงส่งคนมาศึกษาเล่าเรียนโดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ชายแดนสองแคว้นอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด นโยบายจึงเข้มงวดอยู่บ้าง แต่ยามนี้สองแคว้นเป็นมิตรกันแล้ว นโยบายคงผ่อนปรนมากขึ้น แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ความสามารถเช่นจิ่งอวิ๋นน่าจะเข้าเรียนได้”
นางไม่เป็นห่วงจิ่งอวิ๋นหรอก นางเป็นห่วงหลิวเกอร์กับวั่งซูต่างหาก คนหนึ่งบอบบางมิอาจต้องลม ตัวอักษรก็ยังจำไม่ค่อยได้ แต่ประเดี๋ยวก็ต้องส่งไปสนามสอบแล้ว จะทำอย่างไรดีเล่า
แต่ไม่ว่าเฉียวเวยจะเป็นห่วงอย่างไร วันที่ยี่สิบเอ็ดก็มาเยือนตามกำหนดการ
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์แสนสวยตัวใหม่แล้วออกจากบ้านอย่างดีอกดีใจ
วั่งซูชอบการสอบที่สุดแล้ว การสอบหนแรกนางได้ลูกคิดทองคำมาหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นการสอบแต่ละหนนางล้วนทำคะแนนได้เยี่ยมยอด ท่านบัณฑิตเฒ่าบอกว่านางสอบได้คะแนนดีที่สุดของทั้งชั้นเรียน ดีกว่าพี่ชายเสียอีก ทุกครั้งอาจารย์ล้วนให้รางวัลนางเป็นลูกกวาดหนึ่งถุง
หลิวเกอร์ไม่เคยเข้าสอบมาก่อน เขาได้ยินวั่งซูคุยโม้ให้ฟัง ในใจก็เต็มไปด้วยความอิจฉาและความคาดหวัง เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่รอคอยตนเองอยู่จะเป็นการแข่งขันอันโหดร้าย
ในหมู่เจ้าตัวจ้อยทั้งสามมีเพียงจิ่งอวิ๋นที่ทราบชัดเจนว่ากำลังจะไปทำสิ่งใด เขาต้องพาน้องสาวที่พึ่งไม่ได้กับท่านอาที่พึ่งไม่ได้ยิ่งกว่าไปด้วย จิ่งอวิ๋นรู้สึกถึงภาระหนักอึ้งที่อยู่บนบ่า
จีหมิงซิวมาส่งเฉียวเวยกับเจ้าตัวน้อยทั้งสามที่สนามสอบ ก่อนจะลงจากรถม้า จีหมิงซิวลูบศีรษะจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู “พยายามเต็มที่ก็พอ สิ่งอื่นไม่ต้องคิด”
วั่งซูตบหน้าอกเล็กๆ ของตนแล้วบอกว่า “ข้าจะต้องสอบได้คะแนนดีมากๆ แน่นอน! หนก่อนข้าก็เป็นคนแรกที่ออกมา! หนนี้ข้าก็ต้องเป็นคนแรกที่ออกมาอีก!”
เฉียวเวยปิดตา หนก่อนเจ้าเป็นคนแรกที่ตกรอบ…
จีหมิงซิวยิ้มอย่างรักใคร่ เขาหยิกแก้มของลูกสาว จากนั้นก็หยิกแก้มของหลิวเกอร์ น้ำเสียงจริงจังขึ้นหนึ่งส่วน “เจ้าเป็นท่านอา อย่าสอบได้แย่กว่าหลานทั้งสองคนเล่า เข้าใจหรือไม่”
หลิวเกอร์หวาดกลัวพี่ใหญ่ จึงตอบเสียงแผ่วว่าเข้าใจแล้ว
เฉียวเวยจัดเสื้อผ้าให้จีหมิงซิว “ท่านไปประชุมเถิด”
จีหมิงซิวกุมมือของนาง “ข้าเลิกประชุมแล้วจะมารับพวกเจ้า”
เฉียวเวยยิ้มพลางพยักหน้า “ได้”
เฉียวเวยพาเจ้าตัวน้อยทั้งสามลงจากรถม้า
การสอบเข้าเรียนของศิษย์ใหม่แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าการสอบเสินถง แต่ก็คึกคักยิ่งนัก บนลานกว้างนอกสำนักมีคนเบียดอยู่เต็มไปหมด ทอดสายตามองไปมีแต่เงาคนดำทะมึนเป็นผืน เห็นแต่ศีรษะคน
หลิวเกอร์เพิ่งเคยเห็นคนมากมายเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขาตกใจจนหุบปากไม่ลง
เฉียวเวยแขวนป้ายไว้บนลำคอของทั้งสามคน ผู้ปกครองเข้าไปในสำนักศึกษาไม่ได้ ดังนั้นประเดี๋ยวพอผ่านประตูบานนี้ไป พวกเขาต้องพึ่งตัวเอง เด็กบ้านอื่นล้วนเป็นคุณชายน้อยอายุสิบปีหรือสิบกว่าปี มีแต่เด็กบ้านตนที่ยังเป็นเด็กน้อยตัวจ้อย…
เจ้าเด็กตัวจ้อยทั้งหลายบอกลาเฉียวเวยแล้วจูงมือกันเดินเข้าไป ทั้งสามคนยังสูงไม่ถึงโต๊ะด้วยซ้ำ
จู่ๆ เห็นบนโต๊ะมีป้ายเล็กๆ สามแผ่นปรากฏขึ้นมา อาจารย์ที่เฝ้าประตูก็ตกใจสะดุ้งโหยง ชะเง้อซ้ายชะเง้อขวา ลุกขึ้นมาเท้ามือบนโต๊ะมองจากด้านบนลงไปด้านล่าง จึงมองเห็นเด็กน้อยตัวกระจ้อยหน้าตาราวกับหยกแกะสลักสามคน
วั่งซูตัวน้อยยิ้มจนตาหยี “คารวะท่านอาจารย์!”