ตอนที่ 2,468 : ลูกผู้ชายเสียชีพไม่เสียสัตย์!
“ซูหลี่ได้รับสืบทอดมรดกจากปีศาจ เลยถูกจิตมารครอบงำกลายเป็นครึ่งมารครึ่งมนุษย์?”
“ยามเป็นมนุษย์ทุกอย่างก็ปกติดี แต่เมื่อมารร้ายครอบงำจิตใจก็กลับกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร?”
หลังเค่อเอ๋อเล่าเรื่องราวให้ฟัง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับซูหลี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นให้สหายผู้นี้
เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องนี้มันอันตรายขนาดไหน!
ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มาก!
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตอนซูหลี่ขาดสติเป็นมารร้ายจะพลั้งเผลอทำร้ายคนใกล้ชิดให้ปวดปร่าใจ เอาแค่ยามซูหลี่ขาดสติเข่นฆ่าผู้คนไม่ต่างเครื่องจักรสังหาร…ถ้าหากไปพบพานเข้ากับยอดฝีมือที่เหนือกว่าเล่า?
ถึงตอนนั้นหากซูหลี่รอดชีวิตมาได้ก็นับว่าเป็นโชคดีอย่างมหาศาล!
นอกจากนี้การที่ซูหลี่ยังพอจะครองสติได้ไม่ถูกมารร้ายครอบงำจิตใจจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปจนหมดสิ้น ก็ต้องนับว่าเป็นเรื่องที่โชคดียิ่งกว่า!
“ไม่คิดเลย…หลายปีที่ผ่านกลับมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับซูหลี่…”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามเค่อเอ๋อต่อว่า “เค่อเอ๋อ เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…สตรีในชุดขาวที่มีนามว่าเริ่นหยวนเจี๋ยนั่นช่วยขจัดจิตมารให้ซูหลี่ ดังนั้นซูหลี่เลยยอมกลายเป็นทาสกระบี่ให้นางงั้นเหรอ?”
“อื้อ”
เค่อเอ๋อพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวต่อว่า “ข้าเองก็บอกพี่ซูหลี่ไปแล้วว่าหากพี่ซูหลี่คิดกำจัดสตรีนามเริ่นหยวนเจี๋ยผู้นั้นข้าสามารถช่วยได้…ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้นางถอนคำพูดเรื่องทาสกระบี่หรือจะให้ฆ่าเริ่นหยวนเจี๋ยทิ้งก็ตามที…”
กล่าวถึงประโยคท้ายประโยคสองตากระจ่างของเค่อเอ๋อก็เผยประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง
นางรู้จนไม่อาจรู้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่เทียนของนางกับซูหลี่นั้นเป็นอย่างไร…
นางยังรู้อีกด้วยว่าหากเป็นพี่เทียน ก็ไม่พ้นต้องทำแบบนางแน่นอน
“แต่พี่ซูหลี่กลับปฏิเสธข้า”
“เพียงกล่าวว่า…ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ เสียชีพไม่เสียสัตย์!”
กล่าวถึงจุดนี้เค่อเอ๋อก็เผยสีหน้าจนปัญญาออกมา
“เจ้านั่นมันเป็นคนแบบนี้ล่ะ…เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”
ได้ยินคำพูดของเค่อเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกัน เขาเองก็รู้ดีว่าซูหลี่เป็นคนแบบนี้ เพราะตอนนั้นกระทั่งเพื่อสหายอย่างเขาแล้ว ซูหลี่ยังไม่หวั่นหวาดความตาย ถึงขั้นกล้าเลือกจะละทิ้งอนาคตและอพยพครอบครัวหนีออกจากบ้านเกิดเมืองนอน!
นับประสาอะไรกับคราวนี้เริ่นหยวนเจี๋ยผู้นั้นได้มีบุญคุณช่วยซูหลี่เอาไว้ จนทำให้ซูหลี่หลุดพ้นจากจิตมารได้?
“เจ้านั่น…คงไม่บ้าถึงขั้นไปรับปากคนอื่นว่าจะเป็นทาสกระบี่อะไรนั่นไปชั่วชีวิตหรอกนะ?”
พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวั่นใจ เร่งหันขวับไปมองร่างทั้ง 3 ที่ลอยอยู่ไกลตาทันที
ตรงนั้น ปรากฏร่างเริ่นหยวนเจี๋ยที่กำลังพาซูหลี่ไปรู้จักกับชายชราชุดเทาคนหนึ่ง
ชายชรุดเทาผู้นี้แลดูไม่ธรรมดาเหมือนตาเห็นนัก ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนหันไปมอง อีกฝ่ายก็หันกลับมามองสบตาเขาทันที
‘ชายชราผู้นั้น…’
เพียงมองสบตากันปราดเดียว ต้วนหลิงเทียนก็เห็นถึงความไม่ธรรมดาจตากชายชราชุดเทาผู้นั้นทันที
‘กระทั่งเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ที่ข้าฆ่าไปก่อนหน้า…เกรงว่าจะไม่ร้ายกาจเท่า!’
เรียกว่าหลังสบตากันปราดเดียว ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมาในใจอย่างไม่รู้ตัว
‘หมายความว่า..ชายชราผู้นั้นอาจเป็น เซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์งั้นเหรอ?’
คิดถึงเรื่องนี้สองตาต้วนหลิงเทียนก็หดหยีลงเล็กน้อย
ตอนที่มาถึงที่นี่ครั้งแรก เขาเองก็ได้กวาดตามองสำรวจเซียนอมตะเสเพลทั้งหมดที่อยู่ที่นี่แล้ว รวมถึงชายชราผู้นั้นด้วย
อย่างไรก็ตามชายชราชุดเทาผู้นั้น เพียงลอยร่างสงบคล้ายไม่นำพาเรื่องราวใดๆแต่แรก อีกทั้งยังแลดูไม่โดดเด่นอะไรทำให้เขาไม่เห็นความพิเศษอะไรเลย…
ทว่าตอนนี้ในขณะที่ชายชรากำลังคุยกับซูหลี่และเริ่นหยวนเจี๋ยแท้ๆ แต่กลับสัมผัสได้ถึงการมองไปของเขา! กระทั่งหันกลับมาสบตาเขาได้ทันที ย่อมเผยให้เขาเห็นถึงความไม่ธรรมดา!!
ยังทำให้เขาตระหนักได้รางๆ
ชายชราผู้นี้กว่า 9 ใน 10 สมควรเป็นเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์!
“ไม่ถึงขนาดนั้นพี่เทียน…”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เค่อเอ๋อได้แต่ส่ายหัวไปมาค่อยพูดว่า “ฟังจากที่พี่ซูหลี่บอก…ดูเหมือนพี่ซูหลี่จะรับปากเริ่นหยวนเจี๋ยคนนั้นเอาไว้ว่าจะเป็นทาสกระบี่ให้นาง 100 ปี…กล่าวได้ว่าหลังจากนี้อีก 100 ปีพี่ซูหลี่จะได้รับอิสรภาพกลับคืน”
“ร้อยปีงั้นเหรอ ถ้างั้นก็ไม่เป็นอะไรมาก…”
ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ด้วยเขากลัวจริงๆว่าซูหลี่จะวู่วามไปรับปากอีกฝ่ายไว้ว่าจะเป็นทาสกระบี่ชั่วชีวิตอะไรแบบนั้น!
ถึงแม้ในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ จะไม่อาจใช้การสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าเพื่อพิสูจน์ความจริงได้
อย่างไรก็ตามด้วยลักษณะนิสัยของซูหลี่ที่รู้คุณคนไม่ต้องอาศัยการสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ซูหลี่ก็ไม่มีทางผิดคำพูดแน่นอน
“อย่างไรก็ตามเริ่นหยวนเจี๋ยนั่น…ท่าจะเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ…”
ตอนนี้เองเฟิ่งเทียนหวู่ที่ลอยอยู่อย่างเงียบงันด้านข้างพลันหันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “พี่ใหญ่ต้วน ท่านรู้หรือไม่ว่าคราวนี้ผู้ที่ได้รับสืบทอดมรดกจากต้าหลัวจินเซียนเป็นใคร?”
“หืม? คงไม่ใช่ซูหลี่หรอกนะ?”
อยู่ๆได้ยินเฟิ่งเทียนหวู่กล่าวถามเรื่องนี้ออกมา ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปเล็กน้อย
แต่พอได้ยินคำถามด้วยน้ำเสียงดังกล่าวของเทียนหวู่ เขาพลันฉุกใจคิดอะไรได้ขึ้นมา
“เป็นพี่ซูหลี่จริงๆ!”
เฟิ่งเทียนหวู่พยักหน้ารับ ค่อยหันไปมองเค่อเอ๋อด้านข้างพลางยิ้มกล่าวว่า “กล่าวไปคราวนี้ที่ไฉนพี่ซูหลี่สามารถรับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนได้ทั้งหมดต้องขอบคุณพี่เค่อเอ๋อคนเดียว…หากไม่ใช่เพราะพี่เค่อเอ๋อช่วยฝ่าด่านทดสอบทั้งหมด เกรงว่าพี่ซูหลี่คงยากที่จะมีโอกาสได้รับสืบทอดมรดกของต้าหลัวจินเซียน”
“เค่อเอ๋อ!?”
ต้วนหลิงเทียนถึงกับตกตะลึงแล้วจริงๆ ถึงแม้เขาจะตระหนักได้ว่าตอนนี้พลังของเค่อเอ๋อไม่อ่อนด้อยแน่นอน แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเค่อเอ๋อจะร้ายกาจถึงขั้นช่วยให้ซูหลี่ได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนได้
“กล่าวได้ว่าคราวนี้ซูหลี่มีวาสนากับมรดกต้าหลัวจินเซียนจริงๆ”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนหันมามอง เค่อเอ๋อก็พูดต่อออกมา “ก่อนหน้านี้พวกเราเองก็อยู่เบื้องหน้ามรดกต้าหลัวจินเซียนเหมือนกัน…แต่สุดท้ายมรดกต้าหลัวจินเซียนกลับเลือกพี่ซูหลี่เป็นผู้สืบทอด”
“เรื่องนี้กล่าวได้ว่า…เป็นพวกเราไร้วาสนากับมรดกต้าหลัวจินเซียนเอง”
“แต่เป็นธรรมดาที่ผลจะออกมาเป็นแบบนี้ เพราะในบรรดาพวกเรามีเพียงพี่ซูหลี่คนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกกระบี่…และต้าหลัวจินเซียนที่ทิ้งมรดกไว้คราวนี้ก็เป็นเซียนกระบี่เช่นกัน”
วาจาประโยคท้ายๆ ขณะที่กล่าวออกมาเค่อเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองก่านหรูเยี่ยนพี่สาวของนาง ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสววรรค์มู่อีอี และก็เฟิ่งเทียนหวู่…
ก่อนหน้านี้ภายในมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน ทั้งหมดได้มาถึงห้องสืบทอดมรดกแล้ว เรียกว่ามรดกต้าหลัวจินเซียนห่างเพียงแค่เอื้อมมือสำหรับทุกคน!
อย่างไรก็ตามสุดท้ายมรดกต้าหลัวจินเซียนก็ไม่เลือกผู้ใด แต่เลือกซูหลี่ที่ขึ้นไปลองเป็นคนสุดท้าย
“ซูหลี่ได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนครั้งนี้จริงๆ!?”
“อีกทั้ง…ยังเป็นมรดกเซียนกระบี่?”
หลังจากได้รับคำยืนยันจากเค่อเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกโล่งใจนัก ในที่สุดใบหน้าก็คลี่ยิ้มสดใสออกมาได้อีกครั้ง
ปรากฏว่าเขาเองก็ยังติดใจไม่น้อย
ด้วยอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนได้รับมรดกต้าหลัวจินเซียนไปครอง
เพราะสุดท้ายแล้วหากเขาไม่ได้มาถึงล่าช้า ก็มีโอกาสหลายส่วนที่เขาจะได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียน!
ตอนนี้พอได้รู้ว่ามรดกต้าหลัวจินเซียนที่เขาคลาดไป กลับตกอยู่ในมือของซูหลี่ ความสงสัยสุดท้ายในใจของเขาก็มลายหายไปทันที
อย่างน้อย น้ำอุดมก็ไม่ไหลไปนาคนนอก…
(น้ำอุดมในที่นี้เป็นเหมือนปุ๋ยที่ทำให้พืชผลในนาเจริญงอกงาม…หมายความว่าผลประโยชน์ยังอยู่ในกลุ่มของตัว ไม่หลุดลอยไปถึงมือคนนอก คล้ายๆเรือล่มในหนองทองจะไปไหน)
“จะว่าไป…ดูเหมือนเริ่นหยวนเจี๋ยคนนั้นจะมีความเป็นมายิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
สองตาต้วนหลิงเทียนที่หันไปมองร่างสตรีในชุดขาวไกลๆทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง
ตอนนี้เองซูหลี่ก็ลอยอยู่ข้างๆนาง
“หืม? มรดกต้าหลัวจินเซียนในการเปิดออกของแดนลับต่างสวรรค์เปิดครานี้ เป็นมรดกของต้าหลัวจินเซียนที่เป็นเซียนกระบี่งั้นรึ?”
ชายชราในชุดเทาพอได้รับทราบเรื่องราวจาก เริ่นหยวนเจี๋ย ว่ามรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนคราวนี้ที่ปรากฏขึ้นในแดนลับต่างสวรรค์ เป็นมรดกของต้าหลัวจินเซียนที่เป็นเซียนกระบี่ สองตามันก็หดหยีลงทันใด
“ใช่แล้วค่ะท่านบรรพบุรุษ”
ต่อหน้าชายชราในชุดเทา เริ่นหยวนเจี๋ยแลดูเคารพเชื่อฟังอีกฝ่ายอย่างถึงที่สุด ราวกับกำลังอยู่ต่อหน้าพุทธองค์ที่ศรัทธา!
“เช่นนั้นเจ้า…ได้รับสืบทอดมรดกนั่นมาหรือไม่?”
ชายชรามองถามเริ่นหยวนเจี๋ยออกมาอีกครั้ง และสองตายังเผยประกายวาดหวังเป็นอย่างมาก
หากแต่เริ่นหยวนเจี๋ยพลันส่ายหัวไปมา
ทันใดนั้นประกายวาดหวังในแววตาผู้ชราก็หม่นแสงลง ถูกความผิดหวังเข้ามาแทนที่
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใดได้ไป?”
ชายชรากล่าวถามออกมาอีกครั้ง
“เป็นมัน”
ตอนนี้เองเริ่นหยวนเจี๋ยก็หันไปมองซูหลี่ข้างๆพลางกล่าวตอบ
ในแววตาของนางยังเผยให้เห็นถึงความอิจฉาไม่น้อย
“เจ้าหนุ่มนี่รึ?”
มองไปยังซูหลี่อีกครั้ง เรียกว่าสายตาของชายชราได้บังเกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดินจากก่อนหน้าเลยทีเดียว
เพราะสุดท้ายตอนแรกมันคิดไปว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นทาสกระบี่ของเริ่นหยวนเจี๋ยเท่านั้น
แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าทาสกระบี่ของเริ่นหยวนเจี๋ยจะเป็นผู้ที่ได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียน!!
“ใช่ค่ะ”
เริ่นหยวนเจี๋ยพยักหน้า “พลังฝีมือของมันเดิมทีอ่อนด้อยกว่าข้ามาก…แต่หลังจากที่มันรับสืบทอดมรดกของต้าหลัวจินเซียนไปแล้ว พลังฝีมือของมันไม่เพียงตามข้าได้ทัน กระทั่งยังก้าวล้ำเหนือข้าไปอีกด้วย!”
ได้ยินคำของเริ่นหยวนเจี๋ยสองตาชายชราที่ใช้มองซูหลี่ก็กลายเป็นร้อนแรงพลางถามออกมาด้วยคำถามที่เหนือความคาดหมายอยู่บ้าง “พ่อหนุ่ม…เนื่องจากเจ้าได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนไปแล้ว จนพลังฝีมือเจ้ามิได้อ่อนด้อยกว่าเริ่นหยวนเจี๋ยอีกต่อไป…ไฉนเจ้ายังยอมกระทำตามคำพูดว่าจักเป็นทาสกระบี่ของนางอยู่อีกเล่า?”
“ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ ข้ายอมตายไม่ยอมผิดคำพูด…”
ได้ยินคำถามของชายชรา ซูหลี่เพียงกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เรียกว่าทันทีที่ซูหลี่กล่าวตอบออกมาแบบนี้ กระทั่งเริ่นหยวนเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านไปเล็กน้อย
“ประเสริฐ! ประเสริฐยิ่ง! ช่างเป็นคนหนุ่มที่ยึดถือสัจจะนัก!!”
ได้ยินคำตอบของซูหลี่ชายชราอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมาอย่างไร้ความลังเล จากนั้นค่อยหันไปมองเริ่นหยวนเจี๋ยกล่าวว่า “นังหนูหยวนเจี๋ยครั้งนี้ข้าขอจัดการเรื่องนี้เอง…หลังจากนี้เป็นต้นไปซูหลี่จักมิใช่ทาสกระบี่ของเจ้าอีกต่อไป!”
“เรื่องนี้เจ้ายอมรับได้หรือไม่?”
ชายชรากล่าวถามออกมา
“ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ท่านบรรพบุรุษจะตัดสิน”
แม้เริ่นหยวนเจี๋ยจะผงะไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็เร่งพยักหน้าเห็นด้วยกับชายชราอย่างเชื่อฟัง
“คุณหนู ท่าน…”
เห็นฉากดังกล่าวซูหลี่อดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วเป็นปม
“ซูหลี่…”
ไม่รอให้ชายชราต้องกล่าวอะไร เริ่นหยวนเจี๋ยชิงกล่าวออกมาด้วยตัวเอง “ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเจ้าที่ผิดคำพูด แต่เป็นข้าที่เลือกปลดปล่อยเจ้าจากการเป็นทาสกระบี่ด้วยตัวเอง…ดังนั้นเจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดหรือติดค้างอะไรในใจหรอก”
“แบบนี้มัน…”
ซูหลี่มองไปยังเริ่นหยวนเจี๋ยด้วยสีหน้าราวกับพึ่งเคยพบเจอเริ่นหยวนเจี๋ยเป็นครั้งแรก
เพราะตอนที่ได้พบกันครั้งแรก ซูหลี่รู้ได้ทันทีว่านางไม่ใช่คนใจดี
‘ดูเหมือนว่าที่นางยอมทำแบบนี้ ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ข้าสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนรวมถึงชายชราจากวังเซียนหยวนคนนี้เป็นแน่’
ซูหลี่เองย่อมคาดเดาเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
“ดี!”
ชายชราพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ ค่อยหันมามองซูหลี่เอ่ยถามว่า “ซูหลี่ข้าคิดชวนเจ้าให้เข้าร่วมกับวังเซียนหยวนของพวกเรา…เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
‘ดั่งที่คิด…’
ซูหลี่ที่ตระหนักได้แต่แรกว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายอะไรแบบนั้นแน่ พอได้ยินคำถามของชายชราจึงรู้ได้ทันทีว่าตัวเองเดาถูก
ที่ชายชราผู้นี้เอ่ยปากบอกให้เริ่นหยวนเจี๋ยปลดปล่อยตัวจากฐานะทาสกระบี่
ทั้งหมดเป็นเพราะอีกฝ่ายคิดชักชวนให้เข้าร่วมกับวังเซียนหยวน!
ประหนึ่งคิดผูกมัดตัวเองไว้กับเรือลำที่เรียกว่าวังเซียนหยวน!!