ตอนที่ 2,471 : ศักยภาพของซูหลี่!
“เจ้าก็อย่าได้คิดมากอีกเลย ข้าเชื่อว่าหากอาวุโสกระบี่ที่ 13 ในปรโลกกำลังเฝ้าดูเจ้าอยู่ ท่านย่อมไม่คิดตำหนิเจ้าแน่นอน”
สัมผัสได้ถึงความหดหู่และปวดปร่าใจของซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวปลอบสหายออกมาอย่างเป็นห่วง
“เฮ่อ…พูดง่ายทำยาก ข้ายังไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ลงได้”
ซูหลี่ระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน ความรู้สึกผิดในใจยากนักจะลบเลือน
“อย่างไรเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าคิดมากแค่ไหนมันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี…อีกทั้งข้าเชื่อว่าอาวุโสกระบี่ที่ 13 ต้องไม่ยินดีแน่หากเห็นเจ้าจมอยู่ในห้วงทุกข์และความรู้สึกผิดแบบนี้ หากเจ้าอยากทำให้อาวุโสกระบี่ที่ 13 หมดห่วง เช่นนั้นเจ้ามีแต่ต้องใช้ชีวิตให้ดี”
ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาอีกครั้ง
“ข้ารู้”
ซูหลี่พยักหน้าค่อยกล่าวต่อว่า “ต้วนหลิงเทียน กล่าวไปคราวนี้ที่ข้าได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียน ล้วนต้องยกความดีความชอบให้ภรรยาเจ้าทั้งสิ้น…นางลำบากออกแรงช่วยเหลือข้าเพราะเห็นแก่ที่ข้าเป็นสหายของเจ้า”
“พอๆ ระหว่างพวกเรายังจะต้องมาพูดเรื่องนี้ด้วยรึไง จะเกรงใจไปทำอะไร…”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว “จริงอยู่ที่เค่อเอ๋อมีความดีความชอบ…แต่ทำไมเจ้าไม่คิดดูเล่า? ว่ามีคนตั้งเยอะแยะมากมายห่างมรดกต้าหลัวจินเซียนเพียงแค่เอื้อม แต่สุดท้ายมรดกต้าหลัวจินเซียนนั่นก็เลือกเจ้า”
กล่าวถึงประโยคท้าย ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเบาๆ
“ทั้งหมดเพราะในห้องสืบมรดกมีข้าคนเดียวที่เป็นผู้ฝึกกระบี่มากกว่า…พอดีกับต้าหลัวจินเซียนที่ทิ้งมรดกนี้ไว้เป็นเซียนกระบี่ ข้าเลยได้รับมันไป…”
ขณะที่ซูหลี่พูดถึงจุดนี้ก็ หยุดลงค่อยมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าได้ยินอาวุโสจื่อกล่าวแล้ว ว่าเจ้าพึ่งจะมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน ว่าแต่ไฉนเจ้าถึงได้พึ่งมาเล่า? หากเจ้ามาเร็วกว่านี้…มรดกต้าหลัวจินเซียนคงไม่ตกมาถึงมือข้าหรอก”
“เพราะยังไงเจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่…ข้าเชื่อว่ามรดกต้าหลัวจินเซียนต้องรีบเลือกเจ้าก่อนข้าแน่นอน”
ซูหลี่กล่าว
“เรื่องนี้…บางทีอาจเป็นเพราะโชคชะตาล่ะมั้ง…”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวว่า “อันที่จริงพอข้าลองมองย้อนกลับไป ข้ารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดีมากกว่าที่ข้าไม่ใช่คนที่ได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนคราวนี้ไป…เพราะสุดท้ายแล้วข้าเองก็ได้รับมรดกจากคนอื่นมาก่อน ถ้าเกิดข้าดันไปรับมรดกต้าหลัวจินเซียนขึ้นมาไม่พ้นข้าก็ต้องไปเข้าร่วมกับขุมพลังของค้าหลัวจินเซียนผู้นั้น ถึงตอนนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นข้าทำผิดต่อผู้อาวุโสที่ข้ารับสืบทอดมรดกมาแต่แรกหรือไร?”
ในใจต้วนหลิงเทียนได้ยึดถือเซียนกระบี่ฟงชิงหยางที่ทิ้งยอดใจกระบี่เอาไว้เป็นอาจารย์มาแต่ไหนแต่ไร
นอกจากฟงชิงหยางแล้ว เขาย่อมไม่คิดรับใครอื่นเป็นอาจารย์
“เจ้าก็เป็นเหมือนเคย…ใจกว้างตลอด”
ซูหลี่ยิ้ม
“เหอะๆ เจ้าว่าข้าใจกว้างเหรอ? เจ้าไม่รู้อะไรซะแล้วจะบอกให้ตอนแรกที่ข้าได้รู้ว่ามีคนรับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนตัดหน้าข้าไป ข้ายังอดไม่ได้ที่จะหดหู่ใจไปสักพัก! จนเมื่อตอนหลังมาได้รู้ว่าที่แท้เป็นเจ้านี่เองที่ได้รับสืบทอดมรดกต้าหลัวจินเซียนไป ความเสียดายสุดท้ายในใจข้าถึงจะหายไป”
“เพราะอย่างน้อยๆมรดกต้าหลัวจินเซียนที่ข้าพลาดไป ก็ไม่ได้ตกไปอยู่ในมือคนนอก”
ต้วนหลิงเทียนยิ้ม
“เช่นนั้นแบบนี้หมายความ…เป็นข้ามองเจ้าผิดไปเองเหรอ?”
ซูหลี่กล่าวตบ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
หลังหัวเราะกันไปพักหนึ่งระหว่างต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ก็ไม่ได้คุยเรื่องหนักอะไร เพียงพูดถึงเรื่องทั่วๆไปและเบาหัวทั้งนั้น
“จริงสิต้วนหลิงเทียน จะว่าไปก่อนที่ข้าจะเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์ ข้าได้เจอลูกสาวเจ้าด้วย…ไม่คิดเลยว่าวันเวลาจะผ่านไปเร็วแบบนี้ ข้ายังรู้สึกเสมือนผ่านไปพริบตาเดียวเท่านั้น ไม่คิดเลยเจ้ากลับมีลูกสาวโตขนาดนี้แล้ว…”
ซูหลี่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ค่อยมองต้วนหลิงเทียนที่เป็นฝั่งเป็นฝาแล้วด้วยความอิจฉา
“หือ? นี่เจ้าได้เจอซือหลิงด้วยรึ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันที ก่อนที่จะยิ้มกล่าวอวดต่อว่า “โทษที แต่ข้าไม่ได้มีแค่ลูกสาวเท่านั้น…ข้ายังมีลูกชายอีกคน!”
“อวดเข้าไป! ว่าแต่ข้ารู้แล้วว่าลูกสาวเจ้าชื่อต้วนซือหลิง แล้วลูกชายเจ้าชื่ออะไรรึ?”
ซูหลี่สบถออกมาด้วยความอิจฉาเล็กน้อย ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้
“ต้วนเนี่ยนเทียน”
พอนึกถึงลูกชายขึ้นมา สีหน้าต้วนหลิงเทียนอดเผยความห่วงหาอาทรออกมาไม่ได้
ความห่วงหาอาทรดังกล่าวไม่เพียงมีให้แต่ลูกชายเท่านั้น ยังมีภรรยาอย่างลี่เฟย บิดามารดาและญาติสนิทมิตรสหายคนอื่นๆอีกมากมาย
ตั้งแต่ครอบครัวและสหายของเขาหายตัวไปในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้พบบเจอทุกคนอีกเลย
‘หลังออกจากแดนลับต่างสวรรค์ข้าต้องกลับไปที่ภูมิภาคเบื้องล่างก่อน…ต้องตามหาท่านพ่อท่านแม่กับเสี่ยวเฟยเอ๋อกับลูกให้พบ จากนั้นค่อยไประนาบเหยียนหวง’
ต้วนหลิงเทียนวางแผนในใจ
“เนี่ยนเทียนรึ?”
สองตาซูหลี่เผยประกายขึ้นมา กล่าวออกด้วยร้อยยิ้มมีเลศนัย “หากข้าเดาไม่ผิด…ไม่ว่าจะชื่อของหลานสาวหรือหลานชายตัวน้อยข้า ล้วนไม่ใช่เจ้าเป็นคนตั้งสินะ?”
“หือ? เจ้ารู้ได้ไง?”
ต้วนหลิงเทียนสะดุ้งไปเล็กน้อย เพราะชื่อลูกชายกับลูกสาวเขาไม่ได้เป็นคนตั้งเองจริงๆ
“เหอะๆ…ความหมายของชื่อลูกเจ้าทั้งคู่ชัดออกขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นมารดาทั้งคู่ตั้งให้แน่นอน หรือไม่ใช่?”
ซูหลี่ยิ้ม
“ก็ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ายอมรับ ก่อนที่แววตาจะเหม่อคิดไปด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
กล่าวไปในระดับหนึ่งความหมายของชื่อลูกชายและลูสาวเขาก็เผยให้เห็นถึงความรักของภรรยาที่มีต่อเขา
ทั้งสองสนทนากันอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนที่ซูหลี่จะกล่าวลาต้วนหลิงเทียน “ต้วนหลิงเทียนหากไม่มีอะไรผิดพลาดตลอดร้อยปีหลังจากนี้ข้าคงอยู่ที่วังเซียนหยวน…”
“หากพวกเราคิดเจอกันก็คงต้องลำบากเจ้าไปหาข้าแล้วล่ะ…ไม่งั้นกว่าเราจะได้เจอกันอีกทีก็เห็นต้องเป็นที่ระนาบเทวโลกเท่านั้น…”
ขณะกล่าวถึงประโยคนี้ ใบหน้าซูหลี่ก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอันเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ
ระนาบเทวโลก หรือแดนสวรรค์นั้นมีทั้งสิ้น 81 แดน
แดนสวรรค์แต่ละแดนล้วนกว้างใหญ่ไพศาล การหาใครสักคนในระนาบเทวโลกทั้งมวลย่อมไม่ต่างอะไรจากควาญหาเข็มในกองฟาง
ดังนั้นซูหลี่ไหนเลยจะไม่รู้ว่าการจะได้เจอกันกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้งบนนั้นหมายความว่าอะไร?
นั่นหมายความว่าหากจะได้พบเจอกันอีกครั้ง ก็จนกว่าที่ทั้งคู่จะมีใครคนหนึ่งหรือทั้งสองคนมีนามกระเดื่องเลื่องลือไปทั้งระนาบเทวโลกทั้งมวลถึงจะหากันจนเจอ!
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่จะมีนามกระเดื่องเลื่องลือในระนาบเทวโลกได้ มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดไหน!
ในระนาบเทวโลกไม่พ้นมีชนชั้นอัจฉริยะมากมายดั่งหมู่เมฆ คิดจะโดดเด่นขึ้นมาเหนือใครไหนเลยจะทำได้ง่ายดาย
“ไม่ต้องห่วง ข้าไปแน่”
ต้วนหลิงเทียนแย้มยิ้มกล่าวว่า “เวลาที่ข้าเหลืออยู่ในระนาบโลกียะคงมีอีกไม่มากแล้ว…แต่ไม่ต้องห่วงก่อนที่ข้าจะขึ้นไปยังระนาบเทวโลก พวกเราต้องได้เจอกันอีกแน่”
“แบบนั้นก็ดี…ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอเจ้ามาเยือน”
ซูหลี่พยักหน้า
“จริงสิ ซูหลี่…”
ทันใดนั้นคล้ายต้วนหลิงเทียนพึ่งจะนึกได้ถึงเรื่องบางอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา “ว่าแต่เจ้าได้รับมรดกต้าหลัวจินเซียนไปแบบนี้ พลังฝึกปรือของเจ้าสูงขึ้นมากขนาดไหนรึ?”
นี่เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนก็สงสัยมาอยู่ตลอด และอยากรู้ไม่น้อย
เพราะทันทีที่เห็นซูหลี่เป็นครั้งแรกวันนี้ เขากลับสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของซูหลี่
เขาตระหนักได้ชัดเจนว่าพลังวิญญาณของซูหลี่กล้าแข็งกว่าเขามาก กระทั่งทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย…
ต้องทราบด้วยว่าในระนาบโลกียะและแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ ผู้ที่จะทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายเพราะพลังวิญญาณดังกล่าว มีเพียงแต่ต้องเป็นตัวตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์ขึ้นไปเท่านั้น
แน่นอนว่าที่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายนั้นทั้งหมดเป็นเพราะพลังวิญญาณเหนือกว่าทั้งสิ้น แต่สิ่งเดียวที่จะสร้างภัยคุกคามให้เขาได้ก็มีแต่เซียนอมตะเสเพลที่บ่มเพาะร่างวิญญาณควบแน่นเท่านั้น
เนื่องจากเซียนอมตะเสเพลทั่วไปไม่อาจใช้ทักษะวิญญาณหรืออำนาจจิตอะไรเล่นงานเขาได้!
“ความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้ กล่าวไปสมควรเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์”
“อย่างไรก็ตามข้าไม่ใช่เซียนอมตะเสเพล 6ทัณฑ์…พูดไปในระดับหนึ่งข้าได้กลายเป็น เซียนอมตะ ที่แท้จริงไปแล้ว กระทั่งลำบากเพียงแค่ห้วงคิดเดียววข้าก็สามารถขึ้นสู่ระนาบเทวโลกได้ทันที!”
ซูหลี่กล่าวตอบ
และสถานการณ์ของซูหลี่ตอนนี้ ก็เหมือนกันกับพวกเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวจิน!
หลังจากได้รับสืบทอดมรดกของระนาบเทวโลกแล้วก็สามารถขึ้นสู่ระนาบเทวโลกได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์อะไร กระทั่งสามารถรอดพ้นกฏเกณฑ์ของระนาบโลกียะได้อีกด้วย
“เซียนอมตะ…พลังเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 6ทัณฑ์!”
พอได้ฟังต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าตัวเดาถูก
“อย่างไรก็ตามแม้ตอนนี้ข้าจะมีพลังทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์…แต่เป็นเพราะข้ายังไม่เชี่ยวชาญเวทย์พลังสวรรค์หรือวรยุทธ์เซียนอมตะใดๆ หาไม่แล้วความแข็งแกร่งของข้าสมควรไม่อ่อนด้อยไปกว่าเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์”
ซูหลี่กล่าวสืบต่อ และวาจาที่กล่าวก็เต็มไปด้วยความมั่นใจนัก
“หือนี่เจ้ายังไม่มีเวทย์พลังจากระนาบเทวโลกทั้งไม่มีวรยุทธ์เซียนอมตะอะไร…แต่พลังเจ้าก็เทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์แล้วงั้นเหรอ!?”
ต้องกล่าวเลยว่าต้วนหลิงเทียนตกใจกับคำพูดของซูหลี่ไม่น้อย!
เพราะเดิมทีเขาหลงคิดว่าที่ซูหลี่มีพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์นั้น เป็นเพราะอาศัยเวทย์พลังสวรรค์กับวรยุทธ์เซียนอมตะแล้ว
แต่เขาไม่คิดเลย
ว่าตอนนี้ซูหลี่ยังไม่เชี่ยวชาญเวทย์พลังสววรรค์ใดๆ และยังไร้วรยุทธ์เซียนอมตะ!
“ถ้างั้นหมายความว่า…คราวนี้วังเซียนหยวนตกได้สมบัติล้ำค่ามาแล้วจริงๆ!”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ด้วยพลังฝีมือในปัจจุบันของซูหลี่ เพียงแค่ทุ่มเทเวลาบ่มเพาะฝึกปรือเวทย์พลังสวรรค์สักบทสองบท หรือกระทั่งวรยุทธ์เซียนอมตะสักอย่างสองอย่าง น่ากลัวว่าจะไม่ใช่แค่ทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 9ทัณฑ์ กระทั่งอาจจะยังเหนือกว่าเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์!
ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ
ตัวตนของซูหลี่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของระนาบโลกียะแต่อย่างใด สามารถอยู่ในระนาบโลกียะได้นานตราบเท่าที่ต้องการ ไม่มีเวลาจำกัดเหมือนครึ่งก้าวเซียนอมตะเช่นเขา!
เซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ จะอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์เมื่อเวลา 1,000 ปีเวียนมาบรรจบ
หากล้มเหลวในการข้ามผ่านหายนะย่อมหมายถึงการตายตก แต่ถ้าหากข้ามผ่านได้สำเร็จก็หมายความว่าต้องลาจากระนาบโลกียะและขึ้นไปยังระนาบเทวโลกภายในเวลาอันสั้น
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงกล่าวว่าวังเซียนหยวนตกได้สมบัติล้ำค่าเข้าให้แล้วจริงๆ!
“อย่างไรข้าก็มีคำสัญญาที่ต้องอยู่ปกป้องวังเซียนหยวนอีกร้อยปี…เมื่อครบกำหนดร้อยปีข้าไม่คิดกลับไปดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าที่ระนาบเซียนอีก แต่จะขึ้นสู่ระนาบเทวโลกที่ระนาบเหยียนหวงทันที”
ซูหลี่กล่าว
“เอาล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ต้วนหลิงเทียนเช่นนั้นข้าไปก่อน…หลังจากนี้ไม่กี่ปีค่อยพบกันที่ระนาบเหยียนหวง”
ซูหลี่กล่าวลาต้วนหลิงเทียน
จะอย่างไรเริ่นหยวนเจี๋ยกับเซียนหยวนจื่อก็รอคอยอยู่ คงไม่ดีหากจะให้อีกฝ่ายรอนานไปกว่านี้ แม้ปากเซียนหยวนจื่อจะกล่าวบอกไว้ก่อนแล้วว่าให้ซูหลี่ใช้เวลาสนทนากับต้วนหลิงเทียนได้เต็มที่ แต่คนอย่างซูหลี่ย่อมไม่คิดให้ผู้ใดเสียเวลารอคอยนานเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นมันกับต้วนหลิงเทียนก็ได้รำลึกความหลัง รวมทั้งสนทนาถึงเรื่องราวที่ผ่านมาจนแทบไม่เหลืออะไรให้พูดแล้วอีกด้วย
“เจ้าไปเถอะ ไว้เจอกันใหม่ที่ระนาบเหยียนหวง”
มองไปยังสหายที่กำลังจะจากไป ใบหน้าต้วนหลิงเทียนฉายรอยยิ้มอ่อนโยนให้ความรู้สึกราวสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
หลังซูหลี่เหินร่างไปรวมกลุ่มกับพวกเซียนหยวนจื่อและเริ่นหยวนเจี๋ยแล้ว เซียนหยวนจื่อก็หันมายิ้มให้ต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าวออกเสียงดัง “น้องหลิงเทียนหลังจากนี้ไม่กี่ปีข้าจะรอเจ้าอยู่ที่วังเซียนหยวนในระนาบเหยียนหวง…ข้าจะเตรียมสุราเลิศรสที่เก็บเอาไว้อย่างดีให้เจ้า ถึงตอนนั้นไม่เมาไม่เลิกรา!”
“ขอท่านพี่จื่ออย่าได้กังวล ข้าไปแน่!”
ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบออกไปด้วยรอยยิ้ม
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
จากนั้นเสียงแหวกสายลม 3 สำเนียงพลันดังขึ้น พวกเซียนหยวนจื่อทั้ง 3 ก็อันตรธานหายไป…