ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 143 หนึ่งระบำงามล่มเมือง (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

หลี่เสี่ยนชมชอบหญิงงามและดนตรี ครั้นยินนามแม่นางหลิ่วพลันปรีดา เรียกตัวเข้ามาในตำหนักอิ๋นอัน สนทนาด้วยเล็กน้อยจบจึงสั่งให้ระบำ นักดนตรีหวาดกลัวบารมีท่านอ๋องจนมิอาจบรรเลงเพลงได้ ท่านอ๋องตั้งใจจะประหารคน แม่นางหลิ่วกลับเอ่ยว่า “ผู้น้อยระบำมิจำเป็นต้องพึ่งดนตรี” จากนั้นจึงร่ายรำไร้เสียงคีตา แม่ทัพและเหล่าทหารต่างเคลิบเคลิ้ม

…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกโฉมสะคราญแซ่หลิ่ว

อวี๋หลุนมองแผ่นหลังของหลิ่วหรูเมิ่งลับหายไปจากสายตา ความโศกเศร้าคับแค้นบีบรัดดวงใจ อารมณ์แล่นเข้าโจมตีหัวใจจนสลบไปอีกหน เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็นอนอยู่ในกระโจมว่างเปล่าหลังหนึ่งแล้ว หูได้ยินเสียงคนสองคนโต้เถียงกัน เป็นเสียงของซั่งเฉิงเยี่ยกับติงหมิง

ซั่งเฉิงเยี่ยพูดอย่างโมโห “พี่ติง ผู้ที่มาขอตัวคนอยู่ด้านนอกเป็นถึงจยาจวิ้นอ๋องแห่งต้ายง บุตรชายแท้ๆ ของฉีอ๋องหลี่เสี่ยน หากล่วงเกินเขา การเจรจาสงบศึกก็มิมีความหวังแต่อย่างใดแล้ว”

ติงหมิงตอบอย่างเย็นชา “ผู้น้อยสัญญากับแม่นางหลิ่วแล้วว่าจะปกป้องชีวิตของซ่งอวี๋ คนต้ายงบอกว่าจะฟันโจรถ่อยที่รบกวนคณะทูตหนานฉู่ใต้การคุ้มกันของพวกเขาเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น หากเขาตกอยู่ในมือคนต้ายง ไฉนมิใช่ไร้ทางรอดแน่นอน ใต้เท้าเพียงบอกคนต้ายงว่าเกิดเรื่องขัดแย้งภายในคณะทูต พวกเขาก็คงมิเข้ามาตรวจค้นแล้ว”

ซั่งเฉิงเยี่ยคล้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปเนิ่นนานจึงตอบว่า “ก็ได้ เอาเช่นนั้นก็แล้วกัน ความจริงซ่งอวี๋ก็เป็นสหายเก่าของข้า แม้ยามนี้เขาจะมิสนใจการใหญ่จนน่าชังไปบ้าง แต่ก็เพราะความรักทำร้าย เอาเช่นนี้เถิด ข้ายังมียาบำรุงชั้นดีอยู่จำนวนหนึ่ง ประเดี๋ยวข้าจะให้คนส่งมา พี่ติงลองดูหากมีประโยชน์ก็ทาให้เขาเสีย หากเขาหายดีขึ้นเร็วหน่อยจะได้รีบส่งเขาออกไปเร็วหน่อย”

ติงหมิงเหมือนจะพอใจยิ่งนัก เอ่ยตอบว่า “ใต้เท้าเห็นแก่ไมตรีเก่าก่อน ผู้น้อยย่อมมิเห็นต่าง แต่ผู้น้อยรู้ศาสตร์การแพทย์เพียงผิวเผิน คงต้องขอให้ใต้เท้าชี้แนะ”

ซั่งเฉิงเยี่ยตอบว่า “ข้าต้องไปอธิบายเรื่องนี้กับจยาจวิ้นอ๋อง ใต้เท้าเซี่ยงผู้เป็นอุปทูตรู้ศาสตร์การแพทย์อย่างลึกซึ้ง พี่ติงขอคำชี้แนะจากเขาได้”

ซ่งอวี๋ที่อยู่ด้านในกระโจมยิ้มหยันจางๆ เขาคบหากับซั่งเฉิงเยี่ยมาหลายปีย่อมทราบนิสัยของเขา เมื่อหลายปีก่อนเขาอาจเป็นเพียงลูกหลานตระกูลขุนนางผู้โง่เขลา แต่ยามนี้เขาผ่านการฝึกปรือจนกลายมาเป็นขุนนางใหญ่ผู้ใจเหี้ยมอำมหิตแล้ว นับว่าตนเองมีคุณงามความชอบในเรื่องนี้มากอยู่ทีเดียว แม้ติงหมิงจะมีสติปัญญาเหนือผู้อื่น ทว่าเมื่อต้องรับมือกับบุตรหลานตระกูลขุนนางผู้ถนัดในการตีหน้าเสแสร้งเป็นที่สุดเหล่านี้ เขาก็ยังไร้เดียงสาเกินไป

เป็นดังคิด หลังจากเสียงฝีเท้าของติงหมิงเคลื่อนไกลออกไป มินานอวี๋หลุนก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้น เขาฝืนหยัดร่างกายขึ้นมาจับจ้องประตูกระโจม คนเหล่านั้นเดินมาถึงหน้ากระโจมแล้ว ผู้ที่เปิดกระโจมเข้ามาก็คือซั่งเฉิงเยี่ยดังคาด

ซั่งเฉิงเยี่ยเดินเข้ามาในกระโจม เห็นดวงตาเย็นยะเยือกเฉยชาคู่นั้น หัวใจพลันสั่นสะท้านอย่างห้ามมิได้ แม้ทราบว่าคนผู้นี้บาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ไม่มีทางลงมือทำอันตรายตนได้ แต่เขาก็ยังมิกล้าก้าวเข้าไปหา เพียงเอ่ยขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “สหายซ่ง มิใช่ว่าข้ามิไยดีมิตรภาพยามเก่าก่อน เพียงแต่จยาจวิ้นอ๋องแห่งต้ายงลาดตระเวนค่ายมาถึงที่แห่งนี้พบว่าในค่ายเกิดเรื่อง มิทราบว่าผู้ใดปากมากบอกจยาจวิ้นอ๋องว่าคนที่บุกค่ายยังมีชีวิตอยู่ จยาจวิ้นอ๋องผู้นั้นอายุน้อยหยิ่งยโส โมโหยิ่งนักที่ปล่อยให้เจ้าบุกเข้ามาในค่ายที่ทหารต้ายงคุ้มกัน ดังนั้นจึงเรียกร้องให้ข้าส่งตัวเจ้าไปให้จงได้ ข้ามิได้ต้องการผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่นางหลิ่วจริงๆ”

อวี๋หลุนนึกสงสัยในใจ ตนเองได้ข่าวก็เร่งเดินทางมาเหอเฝยโดยแทบมิได้หยุดพักม้า ตลอดทางมิได้ส่งข่าวให้พี่น้องคนใดรู้ น่าจะไม่มีคนทราบว่าเขามาอยู่ที่นี่ จยาจวิ้นอ๋องผู้นั้นเหตุไฉนจึงเรียกร้องจะเอาตัวเขาไปให้จงได้

ครุ่นคิดจบรอบหนึ่งก็คิดว่าบางทีตนเองอาจจะคิดมากเกินไป จยาจวิ้นอ๋องผู้นั้นแม้อายุน้อยแต่สองปีที่ผ่านมาก็สร้างชื่อจนเลื่องลือทั่วเจียงไหว ผู้คนกล่าวกันว่าเด็กหนุ่มมักเลือดร้อน การเรียกร้องเช่นนี้อาจมิมีความหมายพิเศษอันใด

อวี๋หลุนครุ่นคิดในใจว่าหากตนเองไปถึงค่ายทัพของต้ายงก็อาจขอพบท่านอาจารย์ได้ หากอ้อนวอนขอร้องเขา บางทีเขาอาจเห็นแก่ความผูกพันในอดีตช่วยเหลือหรูเมิ่ง แต่เดิมถึงต้องตายอวี๋หลุนก็มิเคยคิดอ้อนวอนขอร้องเจียงเจ๋อเพราะเขาแค้นเจียงเจ๋ออยู่ ทว่าเมื่อเห็นท่าทางใจสลายของหลิ่วหรูเมิ่ง เขาก็มิอาจดันทุรังกำความยึดติดจากอดีตไว้อีกต่อไป พอคิดเรื่องนี้ตกแล้วเขาจึงมิได้ขัดขืนอันใด เพียงมองซั่งเฉิงเยี่ยอย่างเฉยชาแล้วหลับตาลง

ซั่งเฉิงเยี่ยเกิดโทสะขึ้นในใจ สายตาที่มองซ่งอวี๋จึงเย็นชาขึ้นอีกหลายส่วน คนผู้นี้แต่เดิมเป็นสหายรักของตนเอง ยามมีเรื่องหนักใจประการใดตนเองล้วนหารือกับเขา คนผู้นี้มักจะพูดเปรียบเปรยเอ่ยลอยๆ ถึงบางสิ่งที่ดูเหมือนธรรมดา แต่กลับทำให้ตนขบคิดคำตอบของปัญหามากมายออกอยู่เสมอ ส่วนตนจะตัดสินใจอย่างไร เขามิเคยสนใจ ตนจึงไม่มีความรู้สึกว่าถูกผู้อื่นควบคุมแม้แต่น้อย นี่เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากยามเผชิญหน้ากับบรรดาที่ปรึกษาของบิดาอย่างสิ้นเชิง

ทว่าจู่ๆ คนสนิทที่เดิมคิดจะพึ่งพิงเป็นแขนขากลับหายตัวไปอย่างกะทันหันเมื่อสองปีก่อน ยามนั้นเพื่อป้องกันมิให้เขาพูดสิ่งที่มิสมควรพูด ท่านพ่อเคยส่งคนออกไปลอบตามหาเขา ทว่าไร้ผลอย่างสิ้นเชิง คิดมิถึงว่าหนนี้จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นในค่าย แล้วยังทำท่าเสมือนตัดขาดมิตรภาพกับตนอีก พอนึกขึ้นมาว่าคนผู้นี้ถึงขั้นพูดจาเข้าข้างลู่ช่าน ซั่งเฉิงเยี่ยก็แข็งใจ สั่งเสียงเย็นชาว่า “พาเขาออกไปข้างนอก ส่งให้องครักษ์คนสนิทของจยาจวิ้นอ๋อง จำไว้ อย่าปล่อยให้ข่าวเล็ดลอดออกไป”

องครักษ์สกุลซั่งสองคนนี้ก้าวเข้ามาหิ้วปีกอวี๋หลุน เพราะเขาบาดเจ็บหนักอย่างที่สุด ทั้งสองคนจึงมิได้กระทำรุนแรงเกินไปนัก ทว่าแม้เป็นเช่นนี้อวี๋หลุนก็เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ถูกหิ้วปีกเดินมาได้เพียงสิบกว่าก้าวก็ตกอยู่ในสภาพเกือบสลบ

มิทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด เขาจึงได้สติขึ้นมาอีกหน เขารู้สึกว่าในปากกับกระพุ้งแก้มยังเหลือกลิ่นหอมจางๆ ร่างกายเหมือนจะมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นมามาก พอลองขยับดูหนหนึ่ง แม้จะยังเจ็บปวดยากทานทน แต่ตรงบาดแผลก็รู้สึกเย็นสบาย

นี่คือยาทาแผลสูตรลับของค่ายลับที่เขาเคยใช้ในสมัยก่อน อวี๋หลุนโล่งอก ทราบว่าตนเองปลอดภัยแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าตนเองนอนอยู่ในห้องนอนที่สะอาดและสวยงามห้องหนึ่ง เขาฝืนหยัดตัวขึ้น ขณะที่กำลังจะเปล่งเสียงถาม ประตูก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ บุรุษอาภรณ์สีเขียวใบหน้าสุขุมคมคาย สีผิวดำคล้ำเล็กน้อยยกถ้วยยาเดินเข้ามา

อวี๋หลุนนิ่งอึ้ง จวบจนกระทั่งคนผู้นั้นยิ้มน้อยๆ เดินมาถึงข้างเตียงส่งถ้วยยามาตรงหน้า เขาถึงจับแขนเสื้อของคนผู้นั้น แผดเสียงร้องไห้จ้าเหมือนเด็กน้อยที่ได้รับความอยุติธรรมแล้วจู่ๆ ก็เห็นคนในครอบครัว คนผู้นั้นถอนหายใจแผ่วเบา ยื่นมือออกมาตบหลังของเขาเบาๆ ถ้วยยาในมือมิขยับสักนิด ยาสักหยดก็มิหกออกมา

ไม่ทราบว่าร่ำไห้อยู่นานเท่าใด สุดท้ายเสียงร้องไห้ของอวี๋หลุนก็เงียบลง เขาสะอื้นถามว่า “พี่รอง ท่านมาได้อย่างไร”

ที่แท้คนผู้นี้ก็คือเต้าหลีผู้เป็นอันดับสองในหมู่แปดหัวหน้าแห่งค่ายลับ ยามนี้ไห่อู๋หยามิได้ดูแลกิจการเท่าใดแล้ว เต้าหลีเป็นผู้ดูแลที่แท้จริงของตระกูลไห่ เรียกได้ว่างานยุ่งจนหัวหมุน คิดไม่ถึงว่าจะมาที่เหอเฝย ในหมู่แปดหัวหน้าแห่งค่ายลับ เต้าหลีเด็ดขาดไร้หัวใจ ตัดสินใจเด็ดขาดเหนือกว่าผู้อื่น ก่อนหน้านี้อวี๋หลุนสนิทกับเขาที่สุด แล้วเขาก็นับถือศิษย์พี่คนนี้ที่สุด

ในครานั้นที่เขาดื้อดึงจะออกจากค่ายลับ เต้าหลีกำลังล่องเรือออกทะเล มิอยู่ที่จงหยวน หากยามนั้นเต้าหลีออกหน้าเกลี้ยกล่อมก็มิแน่ว่าอวี๋หลุนจะตัดสินใจแน่วแน่ได้ถึงเพียงนั้น หลายปีนี้เขาจงใจหลีกเลี่ยงการติดต่อกับเต้าหลี เพราะกลัวเขาจะเกลี้ยกล่อมตนเองให้หวนคืนค่ายลับ คิดมิถึงว่ายามที่ท้อใจที่สุด การได้พบพี่ชายที่นับถือที่สุดจะทำให้ข่มกลั้นความโศกเศร้าเจ็บปวดใจมิได้อีกต่อไป จนร่ำไห้อย่างเศร้าโศกออกมาเสียหนึ่งยก

เต้าหลีถอนหายใจยาวเอ่ยว่า “อวี๋หลุน เจ้าดันทุรังเกินไปแล้ว เรื่องนี้แต่เดิมมีหนทางอื่นให้แก้ไข ไยต้องทิ้งชีวิตง่ายดายเช่นนั้น ไป๋อี้แจ้งพวกเราหกคนแล้ว ยามนี้ในหมู่แปดหัวหน้าแห่งค่ายลับมีเพียงเจ้าที่ระเหเร่ร่อนอยู่ในยุทธภพ แล้วจะให้พวกเราวางใจได้เช่นไร เรื่องนี้พวกเราหารือกันมาแล้ว เจ้าไปขออภัยท่านอาจารย์เถิด หลายปีนี้เจ้าทำเขาเสียใจเกินไปแล้ว”

อวี๋หลุนนิ่งเงียบ แม้ก่อนเข้ามาในกองทัพต้ายงเขาจะเตรียมใจมาแล้ว แต่พอนึกขึ้นมาว่าหลิ่วหรูเมิ่งบุคลิกลักษณะคล้ายหลิ่วเพียวเซียงในวันวานมากยิ่งนัก ในใจก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เต้าหลีเห็นเขานิ่งเงียบ จึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ “เจ้ามิต้องกังวล พวกเราจะช่วยเจ้าอีกแรง วันนี้ทูตหนานฉู่เข้าเมืองไปแล้ว เจ้าสลบไปนานมาก หลังจากท่านอาจารย์ได้พบแม่นางหลิ่ว เจ้าค่อยไปขอร้อง ดื่มยาเสียก่อน มิฉะนั้นถึงเวลาเจ้าคงไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะอ้อนวอนท่านอาจารย์”