เล่ม 1 ตอนที่ 280-2 คว้าชัยชนะ การท้าทายของวั่งซู

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 280-2 คว้าชัยชนะ การท้าทายของวั่งซู

คุณชายน้อยตระกูลลิ่นเดิมทีก็แพ้ที่ข้อนี้ เขาคิดเช่นเดียวกับผู้เข้าสอบคนอื่นๆ อันที่จริงทุกคนเคยได้ยินหลักการที่ว่าน้ำขึ้นเรือสูง แต่ในเวลานั้นทุกคนมัวแต่ทุ่มสมองคำนวณหาคำตอบ ไม่มีใครนึกสงสัยเลยว่าตัวคำถามเองอาจจะไม่สมเหตุสมผลตั้งแต่แรก

คุณชายน้อยตระกูลลิ่นเจอกับตัวแต่กลับไม่ฉลาดขึ้น ครั้งนี้เขาแพ้ที่สมองเขาไม่ยอมคิดพลิกแพลง

แน่นอนว่า ที่คุณชายน้อยตระกูลลิ่นทอดถอนใจนั้นเพราะเขาไม่รู้ว่าวั่งซูกับม้าซีหนานของนางไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการนี้ด้วยซ้ำ

อธิการและเหล่าอาจารย์ที่ยืนอยู่บนแท่นพากันนิ่งเงียบ

พวกเขาอายุอานามเท่านี้กันแล้ว พวกเขายอมรับเลยจริงๆ ว่าแม่ตุ๊กตาน้อยผู้นั้นเล่นเอาพวกเขาตกใจมาก พวกเขาอยู่กันมานานเพียงนี้เคยเห็นแต่คนขี่ม้า ไม่เคยเห็นม้าขี่คนมาก่อน อยู่ห่างมาตั้งไกลเพียงนี้ พวกเขายังรับรู้ได้ถึงความสับสนงงงวยของม้าตัวนั้น…

“พวกเขา…ถือว่าทำผิดกฎกระมัง?” อาจารย์ซุนกระแอมไอก่อนเอ่ยขึ้น

รองอธิการเจียงเอ่ยว่า “ไม่มีกฎว่าห้ามผลักรั้ว แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ให้คนอื่นแตะต้องม้าของตน พวกเขาขี่…ยก…อะแฮ่ม สรุปก็คือพวกเขาพามันข้ามไปกันเอง”

นับว่าเฉียดเส้นผ่านไปได้

ผลคะแนนการสอบยิงธนูกับขี่ม้าของการสอบสายบู๊สรุปรวมออกมาได้อย่างรวดเร็ว

วั่งซู: ยิงธนูที่สาม ขี่ม้าที่หนึ่ง

จิ่งอวิ๋น: ยิงธนูที่สาม ขี่ม้าที่สอง

หลิวเกอร์: ยิงธนูที่สาม ขี่ม้าที่สอง อยู่อันดับเดียวกับจิ่งอวิ๋น

คุณชายน้อยจากซยงหนีว์: ยิงธนูที่หนึ่ง ขี่ม้าที่สี่

คุณชายน้อยตระกูลลิ่น: ยิงธนูที่สอง ขี่ม้าที่ห้า

อูซ่าน: …

เฟ่ยเหลียน: …

ผู้เข้าสอบทุกคน: …

เมื่อรวมการสอบทั้งสองรายการ ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบสายบู๊คือวั่งซู อันดับที่สองคือจิ่งอวิ๋น หลิวเกอร์ องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ ส่วนคุณชายน้อยตระกูลลิ่นอยู่อันดับที่ห้าชั่วคราว

ซึ่งนี่เป็นจุดที่การสอบสายบู๊ดุเดือดกว่าสายบุ๋น เพราะการสอบสายบุ๋นสามารถได้คะแนนเต็มกันหลายคน แต่การสอบสายบู๊กลับมีที่หนึ่งเพียงคนเดียว

แต่ไหนแต่ไรมาอันดับหนึ่งในการสอบสายบู๊อยู่ในมือผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์ องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์รู้ว่าความรู้สายบุ๋นของตนสู้ชาวจงหยวนไม่ได้ แต่ขอเพียงการสอบสายบู๊เขาได้ที่หนึ่ง เขาก็ยังมีโอกาสสูงที่จะได้อันดับหนึ่งในผลคะแนนรวม แต่กระนั้นในเวลานี้ อันดับหนึ่งที่เขามั่นใจหนักมั่นใจหนาได้หลุดมือไปแล้ว

อูซ่านที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปลอบว่า “องค์ชายน้อย ท่านไม่ต้องกังวลไป ถึงแม้ท่านจะไม่ได้อันดับหนึ่งในการสอบสายบู๊ แต่ข้าอูซ่านขอรับประกันกับท่านว่า ผลการสอบสายบุ๋นของท่านจะต้องไม่แพ้ให้ใครในจงหยวนแน่”

องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ขมวดคิ้ว “เจ้ามั่นใจเพียงนี้เชียว”

อูซ่านตบหน้าอกเอ่ยว่า “ข้าทำข้อสอบทุกข้อแล้ว อีกทั้งยังมั่นใจเป็นที่ยิ่งว่าข้าตอบถูก ในข้อสอบมีหลายข้อที่เป็นการแปล ชาวจงหยวนทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้ ดังนั้นองค์ชายน้อย คะแนนสอบสายบุ๋นของท่านจะต้องติดอันดับสูงแน่นอน ต่อจากนี้ท่านเพียงแค่ต้องได้ที่หนึ่งอีกสักอย่างในการสอบ ท่านก็จะได้เป็นจ้วงหยวนน้อยอย่างไร้กังวล”

องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ยังไม่เข้าใจภาษาฮั่นอย่างถ่องแท้สักเท่าไรนัก แต่จ้วงหยวนน้อยหมายถึงอะไรเขาพอเข้าใจอยู่ ได้ยินว่าการสอบของราชสำนักทุกสมัย ผู้เข้าสอบจากทั่วแคว้นมีนับหมื่นคน คนที่ได้ที่หนึ่งเท่านั้นถึงจะได้ชื่อว่าเป็นจ้วงหยวน ดังนั้นในใจของเขา คำว่าจ้วงหยวนจึงเท่ากับการได้ที่หนึ่ง

เขาจะต้องเป็นจ้วงหยวนให้ได้

การสอบสายบู๊จบสิ้นลงก็ถึงเวลาอาหารกลางวันซึ่งจัดเตรียมโดยสำนักศึกษา

บนสนามหญ้ายังคงมีโต๊ะยาวตัวเล็กที่ใช้ตอนสอบสายบุ๋นอยู่ ทุกคนตามหาที่นั่งของตนแล้วเข้าไปนั่ง

บ่าวของโรงอาหารยกอาหารเข้ามา ชั่วขณะที่มองเห็นอาหาร บรรดาผู้เข้าสอบก็พากันหน้ามุ่ย ไหนบอกว่าเป็นสำนักศึกษาที่ดีเลิศที่สุดอย่างไร เหตุใดอาหารกลางวันถึงให้กินสิ่งนี้

หมั่นโถวสีขาวใสสองลูก ข้าวต้มขาวหนึ่งชามเล็ก ผักดองจานเล็กคืออาหารทั้งหมดที่ผู้เข้าสอบจะได้รับ

ทุกอาชีพล้วนต่ำต้อย มีเพียงบัณฑิตที่สูงส่ง ฐานะของบัณฑิตนับว่ามีเกียรติมาก ค่าตอบแทนของเหล่าอาจารย์ก็นับว่าดีเลิศ สำนักศึกษาหนานซานที่มีอาจารย์ชั้นยอดมากมายเพียงนี้ ค่าเล่าเรียนย่อมสูงจนคนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้

ดังนั้นผู้เข้าสอบที่สามารถมานั่งอยู่ ณ ที่นี้ได้โดยมากล้วนเป็นคุณชายจากตระกูลชั้นสูงทั้งสิ้น จะเคยกินอาหารที่น่าเศร้าเช่นนี้เมื่อไรกัน

ทุกคนพากันขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ

คุณชายน้อยตระกูลลิ่นแน่นอนว่าก็นึกรังเกียจเช่นกัน แต่ไม่นานเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างหมายมั่น สำนักศึกษาไม่มีทางเอาอาหารหมูมาให้พวกเขากินอย่างไร้เหตุผล (ในสายตาคุณชายน้อยตระกูลลิ่น อาหารเหล่านี้ก็เหมือนกับอาหารหมู) จะต้องตั้งใจทดสอบน้ำอดน้ำทนของพวกเขาแน่นอน

คุณชายน้อยตระกูลลิ่นไม่ได้คิดอะไรมาก เดิมทีวันนี้โรงอาหารทำกับข้าวที่น่าอร่อยหอมฉุยเอาไว้แล้ว แต่พอได้ยินว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งยกม้าทั้งตัวขึ้น พ่อครัวแม่ครั้งทั้งหลายเลยโยนกระทะตะหลิวทิ้งแล้วรีบไปที่ริมทะเลสาบ แต่กลายเป็นว่าตอนไปถึงทะเลสาบ เด็กหญิงเข้าเส้นชัยไปแล้ว พอกลับไปที่โรงอาหาร กับข้าวในกระทะก็ดำไหม้ไปหมด ดังนั้นพวกเขาเลยได้แต่ต้มข้าวต้มหม้อใหญ่หลายหม้อ กับทำหมั่นโถวให้มากินคู่กัน

วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไม่เลือกกิน อีกทั้งว่าด้วยใจที่เป็นกลางแล้ว ผักดองกับหมั่นโถวของสำนักศึกษานั้นอร่อยมากทีเดียว หมั่นโถวติดรสหวาน ผักดองเค็มมีกลิ่นหอม ทั้งยังติดเผ็ดน้อยๆ จึงทำให้กินไม่เบื่อ ทั้งสองแหวกหมั่นโถวออกแล้วเอาผักดองใส่ไว้ตรงกลาง พอกัดลงไปในรสหวานมีรสเค็ม ในรสเค็มมีรสเผ็ด พอกินคู่กับน้ำข้าวต้มขาวจึงได้รสชาติที่ล้ำเลิศยิ่งนัก!

พี่สาวน้องชายกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่หลิวเกอร์กลับไม่ขยับตะเกียบสักนิด

“เหตุใดเจ้าถึงไม่กินเล่า” จิ่งอวิ๋นถาม

หลิวเกอร์ทำปากมุ่ย “ข้าอยากกินเนื้อตุ๋นน้ำแดงกับเป็ด”

จิ่งอวิ๋นบอกว่า “เดี๋ยวมื้อเย็นก็มีให้กินแล้ว”

หลิวเกอร์เหลือบมองผักดองกับหมั่นโถวในถาด แต่ก็ยังไม่ยอมขยับตะเกียบ

จิ่งอวิ๋นหยิบขนมกล่องหนึ่งออกมาจากถุงผ้าที่สะพายติดตัว บิออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่ลงไปในข้าวต้ม “อย่างนี้ก็หวานแล้ว เจ้าชิมดูสิ”

หลิวเกอร์ลองชิมดู หวานแล้วจริงๆ เขาเลยกินข้าวต้มทั้งชามลงไปอย่างเอร็ดอร่อย

หลังจากนั้นจิ่งอวิ๋นก็กล่อมให้เขากินหมั่นโถวลงไปอีกครึ่งลูก จิ่งอวิ๋นเองก็กินไม่เยอะนัก หมั่นโถวครึ่งลูก ข้าวต้มหนึ่งชามเป็นอิ่มท้อง หมั่นโถวที่เหลือเลยลงท้องวั่งซูไปทั้งหมด

ตอนบ่ายเป็นการสอบคัดเลือก สถานที่สอบคัดเลือกอยู่ที่สนามฝั่งตะวันออกของการสอบสายบู๊ ที่ตรงนั้นอยู่ห่างจากสถานที่เรียนพอสมควร แต่กลับมีภูเขามีทะเลสาบ ทิวทัศน์งดงามยิ่ง

บนสนามตะวันออกได้แบ่งส่วนการเลือกสอบไว้แล้ว การเลือกสอบทำโดยความสมัครใจ หากทำได้ดีจะมีคะแนนเพิ่ม หากทำได้ไม่ดีหรือไม่สอบก็ไม่มีการหักคะแนน หากของตนคะแนนไม่หาย แต่คนอื่นได้คะแนนเพิ่ม ผลสุดท้ายก็ไม่เป็นผลดีต่อตนเองอย่างมากอยู่ดี ดังนั้นทุกคนเลยมาที่นี่กันหมด

หัวข้อการเลือกสอบมีค่อนข้างมาก ที่พบเห็นได้บ่อยก็อย่างฉินหมากภาพวาด ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ การเลือกสอบไม่จำกัดหัวข้อ หากยินดีทุกคนสามารถเลือกเข้าสอบกี่ประเภทก็ได้ แต่ละประเภทจะมีอาจารย์เฉพาะทางคอยประเมินคะแนน หลังจากการเลือกสอบจบลงแล้ว ประเภทที่ได้คะแนนสูงที่สุดจะนับเป็นคะแนนในการสอบครั้งนี้

เช่นว่าเด็กคนหนึ่งเลือกสอบทั้งฉินหมากอักษรภาพวาด หากสามหัวข้อแรกได้เพียงอันดับสาม แต่วาดภาพกลับได้อันดับสอง เช่นนั้นผลคะแนนการเลือกสอบของเขาก็จะได้อันดับสอง แต่หากทั้งสี่ประเภทได้ที่หนึ่งทั้งหมด เช่นนั้นคะแนนสุดท้ายก็ยังเป็นที่หนึ่งอยู่ดี จะไม่เอาคะแนนซ้ำไปรวมอยู่ในการสอบสายบุ๋นและการสอบสายบู๊

คุณชายน้อยตระกูลลิ่นตัดสินใจร่วมสอบในทุกประเภทที่ไม่ต้องใช้พละกำลัง เขาต้องการได้อันดับที่หนึ่งให้มากที่สุด จะได้ล้ำหน้าทุกคนไปก่อน!

จิ่งอวิ๋นเลือกการเขียนอักษร เพราะเด็กน้อยทั้งสามดึงดูดความสนใจของเหล่าอาจารย์มาได้แล้ว ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปที่ไหนล้วนมีเหล่าอาจารย์คอยมองประเมินด้วยความสนใจ แม้กระทั่งตอนที่จิ่งอวิ๋นฝึกเขียนอักษร อาจารย์คนหนึ่งก็ไปยืนอยู่ด้านข้าง คอยดูเขาเขียนจนเสร็จ ทั้งยังอดเผยสีหน้าชื่นชมออกมาไม่ได้เสียด้วย

จิ่งอวิ๋นเขียนเสร็จ ส่งภาพอักษรไปให้อาจารย์พิจารณาแล้วจึงไปหาหลิวเกอร์

หลิวเกอร์เลือกประเภทหมาก จีซั่งชิงชื่นชอบการเดินหมาก หลิวเกอร์ถูกจีซั่งชิงอุ้มไปวางหมากไปมาตั้งแต่เล็ก เพียงแต่ทักษะการวางหมากนี้น่ะ… ยากจะเป็นที่ชื่มชมอยู่สักหน่อย

องค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ไม่ถนัดทักษะอย่างชาวจงหยวนเหล่านี้ เขาถนัดการขี่ม้ายิงธนูมากที่สุด รองลงมาก็คือมวยปล้ำ ตอนอยู่ที่ซยงหนีว์ เขาเป็นนักมวยปล้ำน้อยที่เก่งกาจมากคนหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า เสด็จพี่รองของเขาผู้เป็นอินทรีย์แห่งทุ่งหญ้าก็มักกล่าวชมเขาเป็นประจำว่าเขาเป็นเด็กที่เก่งในเรื่องนี้ที่สุด

ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงเลือกมวยปล้ำทันทีอย่างไม่มีลังเล

บ่าวติดตามของเขาอย่างอูซ่านไม่ถนัดทักษะการต่อสู้ จึงเลือกประเภทฉิน ส่วนเฟ่ยเหลียนที่ร่างกายกำยำเลือกยกกระถางเหล็ก

เฟ่ยเหลียนเป็นเด็กทรงพลังของทุ่งหญ้าแห่งซยงหนีว์ อย่ามองแต่ว่าเขาเพิ่งอายุสิบเอ็ดปี เขามีพละกำลังอย่างผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว เขากระโดดขึ้นบนแท่นหิน คนที่ขึ้นไปพร้อมกับเขาเป็นผู้เข้าสอบจากจงหยวนคนหนึ่ง ผู้เข้าสอบคนนี้อายุมากกว่าเฟ่ยเหลียนอยู่หนึ่งปีด้วยซ้ำ แต่รูปร่างยังกำยำสู้เฟ่ยเหลียนไม่ได้ เขาร่ำเรียนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กจนมีกำลังภายในแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าตนเองจะแพ้ให้กับเฟ่ยเหลียน

แจกันสัมฤทธิ์ที่เล็กที่สุดหนักห้าสิบจิน

ผู้เข้าสอบชาวจงหยวนเดินผ่านแจกันสามอันแรก ไปใช้สองมือยกแจกันสัมฤทธิ์หนักหนึ่งร้อยจิน

ผู้เข้าสอบที่มุงดูอยู่พากันร้องว้าว

เฟ่ยเหลียนนึกดูแคลน เดินไปตรงหน้าแจกันสัมฤทธิ์หนักหนึ่งร้อยห้าสิบจิน สองมือจับมั่นอยู่บนแจกัน ส่งเสียงตะโกนแล้วออกแรงยกขึ้น!

ผู้เข้าสอบที่มุงอยู่พากันตกใจ

ผู้เข้าสอบชาวจงหยวนวางแจกันลง กัดฟันเดินไปหาแจกันที่หนักหนึ่งร้อยแปดสิบจิน เขาเดินกำลังภายใน ลองอยู่สามครั้ง ก่อนจะยกแจกันสัมฤทธิ์ขึ้นมาได้สำเร็จ!

สำหรับเด็กที่อายุสิบเอ็ดสิบสองปีนั้น การยกแจกันที่หนักเพียงนี้ได้นับว่าอัศจรรย์มากแล้ว

ครานี้เจ้ายอมแพ้แล้วสินะ!

ผู้เข้าสอบชาวจงหยวนคิดว่าตนเองชนะแน่แล้ว ใครจะรู้ว่าในตอนนั้นเฟ่ยเหลียนกลับยกแจกันหนักสองร้อยยี่สิบจินขึ้นได้อย่างสบายๆ ผู้เข้าสอบชาวจงหยวนเลยตาค้างไปทันที

เฟ่ยเหลียนยกสองแขนขึ้น ปรายตามองผู้เข้าสอบบนแท่นหินด้วยความดูแคลน คล้ายมองลูกแกะน้อยที่ไร้เรี่ยวแรงกลุ่มหนึ่ง เขาปัดแผงอกของตน คำรามเป็นภาษาซยงหนีว์ เรียกได้ว่าบ้าพลังถึงขีดสุด

อาจารย์ที่คอยให้คะแนนไม่ชอบความหยิ่งผยองของผู้เข้าสอบจากซยงหนีว์แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อีกฝ่ายแสดงความสามารถให้เห็นตรงหน้าแล้ว เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะหยิ่งผยอง อาจารย์เอ่ยเสียงเรียบว่า “ยังมีใครอยากลองอีกรึไม่”

หากไม่มี ด้วยผลคะแนนนี้ก็เพียงพอให้เจ้าเด็กที่น่ารังเกียจผู้นี้ได้ที่หนึ่งแล้ว

ในขณะที่อาจารย์กำลังจะประทับตราลงคะแนนนั้น เจ้าก้อนเนื้อตัวอวบอ้วนก็ปีนขึ้นบนแท่นหิน แท่นหินนี้สูงเกินไป นางพยายามใช้ขาสั้นป้อมของตนปีนขึ้นไปพลางร้องไอหย่ะๆ หลายครั้ง