ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 145 หนึ่งระบำงามล่มเมือง (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

แม้ข้าจะเอ่ยปากช่วยซั่งเฉิงเยี่ยจากสถานการณ์ลำบาก แต่ความจริงข้าเกลียดชังซั่งเฉิงเยี่ยผู้นี้ยิ่งนัก แม้ข้าจะวางแผนการใช้เขาเป็นหมากเพื่อโน้มน้าวซั่งเหวยจวินให้ทำร้ายลู่ช่าน แต่นั่นมิได้หมายความว่าข้าจะชื่นชมเขา ข้าถึงขั้นอยากจะลากเขามาสับเป็นพันหมื่นชิ้นเสียเดี๋ยวนี้

แต่ในเมื่อเตรียมตัวจะพักรบเหมันต์นี้ ใช้การเจรจาสงบศึกมาฆ่าเวลาสักช่วงก็ไม่เลว คนอย่างหยางซิ่วกับหรงเยวียนจะได้มิก่อเรื่องวุ่นวาย อีกอย่างหนึ่ง วันหน้าพวกเขาสองพ่อลูกย่อมถูกกรรมชั่วตามสนองอยู่แล้ว มิจำเป็นต้องให้ข้ากังวลใจ

มีจยาจวิ้นอ๋องหลี่หลินคอยลับมีดวาบวับรออยู่ทั้งคน หลังจากบุกตีหนานฉู่สำเร็จ เขาต้องสังหารคนตระกูลซั่งทั้งตระกูลอย่างแน่นอน สาเหตุย่อมเป็นเพราะตั้งใจจะประจบคุณหนูลู่ลู่เหมยผู้ที่ตราบจนวันนี้ก็ยังมิทราบว่าหลี่หลินปักใจรักนางแต่เพียงผู้เดียว

จะว่าไปแล้วก็น่าสนใจทีเดียว ข้าบันทึกสิ่งที่ลู่เหมยประสบหลังออกเดินทางจากเจี้ยนเย่นำไปให้หลี่หลินดู ปรากฏว่าเจ้าเด็กที่เย็นชาไร้หัวใจมาตลอดคนนี้ถึงกับอ่านแล้วเช็ดน้ำตาป้อยๆ อยู่ครึ่งวัน ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็มิแปลก หากมิได้ฟังมาจากปากต่งเชวีย ข้าก็คงมิเชื่อเช่นกันว่าดรุณีน้อยผู้อ้อนแอ้นบอบบางคนหนึ่งจะกล้าหาญและทรหดเฉกเช่นนี้ นางพาสืออวี้จิ่นหลบหนีไปจนถึงหมู่บ้านร้าง ระหว่างที่สืออวี้จิ่นบาดเจ็บเพราะครรภ์กระทบกระเทือนจนคลอดยาก ดรุณีน้อยผู้นี้เป็นคนที่วิ่งวุ่นดูแลพี่สะใภ้กับหลานชายตลอดเวลายาวนานถึงเจ็ดแปดเดือน แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากต่งเชวียอยู่มาก แต่นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างยิ่งอยู่ดี

ข้าบอกเล่าสิ่งเหล่านี้ให้หลี่หลินทราบ เพราะหวังว่าเจ้าเด็กคนนี้จะมิลุ่มหลงแต่รูปโฉมงามล้ำของลู่เหมย หรือเพียงหาที่พักใจคนอื่นเพราะต้องยอมวางมือจากโหรวหลัน ข้าหวังว่าเขาจะรักลู่เหมยอย่างแท้จริง ทำเช่นนี้จึงจะไม่ผิดต่อลู่ช่านที่อยู่ในปรโลก ลู่เหมยอ่อนนอกแข็งใน นางอ่อนโยนจิตใจดีงาม หากแต่งงานกับหลี่หลินจริง ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาที่สั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติของเจ้าเด็กคนนี้แล้ว

ข้าถอนหายใจแผ่วเบา เรื่องของผู้อื่นล้วนจัดการง่ายดาย เหตุไฉนเรื่องของลูกสาวข้าเองกลับยุ่งยากถึงเพียงนี้ หลังจากร่างกายของข้าหายดี แต่เดิมคิดจะเดินทางกลับเมืองหลวงทันที ทว่าฝ่าบาทดันสั่งให้ข้าเป็นผู้ตรวจการกองทัพของกองบัญชาการศึกเจียงหนาน การเป็นผู้ตรวจการกองทัพก็เท่ากับว่าไม่มีโอกาสแม้แต่จะเคลื่อนไหวอย่างอิสระ นี่ยังพอทำเนา อย่างไรเสียงานของกองทัพข้าก็มิจำเป็นต้องกังวลใจ เพียงนั่งกินนอนกินเบี้ยหวัดอยู่ในกองบัญชาการศึกเท่านั้น

สิ่งเดียวที่ทำให้ข้าปวดหัวก็คือการแต่งงานของโหรวหลัน แม้ฝ่าบาทจะมิได้แสดงเจตนาชัดแจ้ง แต่สองปีที่ผ่านมาก็มีคนมาเกลี้ยกล่อมข้าไม่น้อย แม้จะยังมิได้ตรัสออกมาชัดๆ แต่เจตนาชัดเจนอย่างยิ่ง ฝ่าบาทหวังว่าข้าจะตกลงกับงานมงคลที่ฟ้าเป็นใจครั้งนี้

แต่ข้าไม่อยากจะให้หลันเอ๋อร์แต่งงานกับหลี่จวิ้นจริงๆ เพื่อป้องกันมิให้ไทเฮากับฮองเฮาฉวยโอกาสยามข้าไม่อยู่แต่งตั้งหลันเอ๋อร์เป็นพระชายารัชทายาท ข้าจึงตัดสินใจเก็บนางไว้ข้างกาย มิยอมให้นางกลับเมืองหลวง ยิ่งมิให้นางพบหน้ากับหลี่จวิ้น หวังว่าเวลาจะลดทอนความรู้สึกที่นางมีต่อหลี่จวิ้นได้

แต่สาวน้อยคนนี้ดื้อรั้นจริงๆ ปกติตอนอยู่ต่อหน้าข้า นางอ่อนหวานว่าง่าย คอยปรนนิบัติอย่างเอาใจใส่ ช่วยแบ่งเบาภาระจัดการเรื่องกลุ้มใจแทนข้า หลายเดือนที่ผ่านมานางถึงขั้นจัดการเอกสารทั่วไปแทนข้าได้บ้างแล้ว มองมิเห็นความผิดปกติประการใดอย่างสิ้นเชิง แต่ขอเพียงข้าเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานระหว่างนางกับฉงเอ๋อร์ขึ้นมา นางก็จะเงียบไม่พูดไม่จาและไม่ตอบรับอย่างเด็ดขาด

ถึงข้ามิยอมให้นางพบหน้าหลี่จวิ้นมาสองปี แม้แต่จดหมายก็ห้ามส่งหากัน แต่ขอเพียงมีคนบังเอิญเอ่ยถึงหลี่จวิ้น ก็จะเห็นนางหูผึ่งขึ้นมาทันที หากได้ยินว่าฝั่งหลี่จวิ้นมีข่าวดีอันใด นางก็จะเริงร่าทั้งวัน ส่วนข้าอับจนหนทางทำอันใดมิได้ ข้าจะไปขวางไม่ให้นางได้ยินข่าวการศึกฝั่งไหวตงได้หรือ

ความรักอันลึกซึ้งเช่นนี้ทำให้ข้าเห็นแล้วยิ่งสงสาร เฮ้อ หากสาวน้อยคนนี้เอาอย่างสตรีทั่วไป หนึ่งร้องไห้ สองโวยวาย สามจะผูกคอตาย ข้าคงบังคับให้นางตบแต่งกับฉงเอ๋อร์ไปแล้ว คำสั่งของบุพการี นางกล้าขัดขืนหรือไร แต่นางกลับอดทนมาตลอด นอกจากมิยอมรับปากแต่งงาน เวลาที่เหลือล้วนทำตัวเป็นบุตรสาวผู้รู้ความและเชื่อฟังอย่างที่สุด แล้วจะให้ข้าใจเหี้ยมบีบบังคับนางได้อย่างไรเล่า

ข้ากำลังคิดฟุ้งซ่าน ระหว่างที่เหม่อลอยก็ได้ยินเสียงของหลี่เสี่ยนเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าหลิ่วหรูเมิ่งผู้นี้เป็นยอดบุปผาอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน ข้าอยากชื่นชมฝีมือของนางสักหน่อย ถ่ายทอดคำสั่งข้าให้นางเข้ามาแสดงฝีมือในตำหนัก”

ข้าขมวดคิ้ว เหมือนว่าโหรวหลันจะลืมนำรายการของบรรณาการมาให้ข้าดู ข้าหันกลับไปถามเสียงเบา “หลันเอ๋อร์ หลิ่วหรูเมิ่งผู้นี้เป็นผู้ใด เป็นของขวัญที่หนานฉู่ส่งมาด้วยหรือ”

โหรวหลันแววตาไหววูบหนึ่งแล้วตอบเสียงเบา “ท่านพ่อ เจ้าแคว้นหนานฉู่ส่งแก้วแหวนเงินทองมามากมาย แล้วยังมีนักร้องนางระบำอีกด้วย ได้ยินมาว่าหลิ่วหรูเมิ่งผู้นี้เป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน ฝีมือขับร้องระบำเลื่องลือในใต้หล้า คิดว่าเจ้าแคว้นหนานฉู่คงใช้ค่าตอบแทนมากมายซื้อตัวส่งมาที่นี่กระมัง”

ข้าหัวเราะหยัน “หนานฉู่ตกต่ำถึงเพียงนี้แล้ว ไฉนยังมีเหตุผลให้มิล่มสลาย” ปากกล่าวเช่นนี้ แต่ข้ากลับขมวดคิ้ว

หลิ่วหรูเมิ่ง ข้าน่าจะเคยเห็นอักษรสามตัวนี้มาก่อน เพียงแต่จดจำได้มิชัดเจนนัก ความคิดแล่นไวดุจอสนีบาต ทันใดนั้นก็นึกถึงข่าวเกี่ยวกับอวี๋หลุนที่เฉินเจิ่นส่งมาให้ ในนั้นเหมือนจะเคยบอกว่าเขาไปเป็นอาจารย์สอนพิณให้แก่นางคณิกาในย่านเริงรมย์คนหนึ่ง คณิกานางนั้นมีชื่อแซ่ว่าหลิ่วหรูเมิ่ง ข้ามิได้สนใจเรื่องนี้นัก หากมิใช่ว่าข้ามีความสามารถอ่านผ่านตามิลืมเลือนก็คงจะนึกไม่ออก

แต่สองปีนี้อวี๋หลุนไปจากจี้ยนเย่แล้ว เขาคงไม่เกี่ยวพันอันใดกับสตรีนางนี้แล้วกระมัง มิรู้ว่าอย่างไร จู่ๆ ในหัวใจก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ ข้าเอ่ยขึ้นเรียบๆว่า “เหตุไฉนเมื่อคืนรายการของบรรณาการของหนานฉู่ยังส่งมาไม่ถึงข้าอีก”

โหรวหลันแอบตระหนกอยู่ในใจ แต่เอ่ยปากตอบว่า “สองปีนี้ท่านพ่อไม่ชอบข้องแวะเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ ดังนั้นหลันเอ๋อร์จึงมิได้ใส่ใจ เพียงนำรายการของบรรณาการไปเก็บไว้ในตู้เท่านั้น ในเมื่อท่านพ่อต้องการดู หลันเอ๋อร์จะให้คนไปนำมาเดี๋ยวนี้”

ข้าส่ายหน้าตอบว่า “ช่างเถิด รอกลับไปค่อยว่ากัน หลังจากนี้จะประมาทเลินเล่อมิได้ ต้องบอกกล่าวพ่อก่อนทุกครั้งค่อยจัดการเข้าใจหรือไม่”

หลันเอ๋อร์แลบลิ้นน้อยๆ ของตน ตอบว่า “เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”

ทันใดนั้นเองจู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเหมือนชะงักนิ่ง แม้แต่โหรวหลันที่กำลังสนทนากับข้าอยู่ หรือแม้แต่เสี่ยวซุ่นจื่อผู้มิเคยแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวยินดีต่อหน้าผู้คน ดวงตาของทั้งสองคนล้วนจับจ้องตรงไปยังประตูตำหนัก

ข้าแปลกใจจึงหันกลับไปนั่งตรงๆ มองไปยังประตูตำหนัก ทันใดนั้นหัวสมองก็คล้ายมีเสียงระเบิดดังขึ้น ชั่วพริบตานั้นข้าลืมเลือนสิ้นทุกสิ่ง สายตามิอาจขยับได้แม้แต่น้อย

หญิงสาวผู้สวมผ้าแพรสีเงินคลุมศีรษะนางหนึ่งยืนนิ่งพร้อมกับแววตานิ่งสงบอยู่ตรงประตูตำหนักอิ๋นอาน แม้นางจะยืนนิ่งเฉยแต่ความสง่างามอันเป็นเอกในใต้หล้านั่นกลับเผยออกมาให้ประจักษ์ เหมือนจะมีเสียงถอนหายใจแผ่วเบาจนแทบมิได้ยินดังขึ้นเลือนราง

สตรีนางนั้นก้าวมาข้างหน้า ก้าวเท้าดุจเทพธิดาเยื้องกราย ยามเคลื่อนไหวกำไลส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋งคล้ายเสียงคีตาแห่งเหล่าเทพคอยติดตาม เมื่อเดินมาถึงหน้าบันได ชายแขนเสื้อยาวของชุดระบำพลันทิ้งตัวลงเบื้องล่าง สองแขนไขว้กันตรงหน้าอก คุกเข่าลงไปบนพื้น กระโปรงขนนกยูงตัวยาวที่ตัดเย็บอย่างประณีตแผ่ไปรอบตัวของนาง ยามทุกคนได้ยลเส้นผมดำขลับดุจน้ำหมึกและข้อมือขาวผ่องดุจหิมะของนาง ในใจพลันบังเกิดความกระหายอยากชมโฉมคนงามสักหน

สมัยหนุ่มหลี่เสี่ยนเป็นบุรุษเสเพล เขาเคยพบเจอนางระบำและนางขับร้องมานับมิถ้วน ทว่านึกทบทวนดูแล้ว น้อยคนนักจะงามสง่าเทียบเท่าสตรีนางนี้ ดวงตาทอประกายประหลาดใจ หวนนึกถึงชีวิตอันเสเพลในวันวานก็อดนึกสนุกขึ้นมามิได้ เขาหัวเราะลั่นกล่าวว่า “มิต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด เงยหน้าขึ้นมาให้ ข้ายลโฉมเจ้าหน่อยสิ”

สตรีนางนั้นได้ยินก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น ผ้าแพรสีเงินก็ไหลร่วงลงมาอย่างแผ่วเบาเผยให้เห็นดวงหน้างามดั่งหยกสลักกับดวงตาสุกใสเป็นประกายชวนให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมา

หลี่เสี่ยนรู้สึกว่าสีหน้าของสตรีนางนี้มีความทระนงแฝงอยู่ ท่วงท่ากิริยาอันงดงามของนางซ่อนความเป็นตัวเองโดยมิสนใจโลกหล้า หลี่เสี่ยนนึกสนุก ดวงตาจึงทอประกายเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นตำหนักอิ๋นอานก็ถูกแรงกดดันและไอสังหารที่เขาจงใจปล่อยอออกมาห้อมล้อม ปัจจุบันบรรยากาศเช่นนี้จะเผยออกมาในยามที่หลี่เสี่ยนควบอาชา กวัดแกว่งศาสตราวุธต่อสู้เท่านั้น แม้แต่แม่ทัพและองครักษ์ในตำหนักล้วนตัวสั่นและกระสับกระส่ายขึ้นมาเล็กน้อย

คิ้วเรียวดุจกิ่งหลิวของสตรีนางนั้นเริ่มแรกขมวดมุ่นคล้ายจะยอมจำนน ทว่าเมื่อนางบังเอิญเหลือบเห็นแววตาสนุกสนานของหลี่เสี่ยน หัวใจพลันมีเพลิงโทสะลุกโหม เรือนร่างอรชรคล้ายก่อเกิดพละกำลังนับอนันต์ นางยืนนิ่งอยู่กลางห้องโถง แม้นพายุคลั่งเกลียวคลื่นยักษ์ก็มิอาจพัดต้นหลิวเขียวขจีบอบบางให้หักโค่น

หลี่เสี่ยนยิ่งสนใจมากขึ้นอีก ปรบมือสั่งว่า “ดี หลิ่วหรูเมิ่ง สมคำร่ำลือจริงๆ ทหาร เรียกนักดนตรีเข้ามา ข้าอยากชมการร่ายรำอันเป็นเอกในใต้หล้าของเจ้าสักหน่อย”

หลิ่วหรูเมิ่งฟังจบพลันยอบกายคำนับ ตอบเสียงเรียบว่า “ผู้น้อยรับบัญชา”