ตอนที่ 287-1 บังเอิญเจอ จับท่านเขยได้คาหนังคาเขา
ยามเหม่า ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เฉียวเวยเป็นกังวลกับเรื่องเข้าเรียนจึงตื่นเช้ากว่าปกติเล็กน้อย ในตอนนั้นจีหมิงซิวไปประชุมเช้าแล้ว แต่เฉียวเวยยังคงยื่นมือไปคลำข้างกายด้วยความเคยชิน แล้วก็ได้เจอกับความเย็นเฉียบตามคาด
เฉียวเวยล้างหน้าล้างตาเสร็จก็แต่งกายเรียบร้อยเดินออกจากห้องไป
ภายในบ้านเริ่มมีคนทำงานกันแล้ว ควันจากห้องครัวพวยพุ่งขึ้นไม่หยุด อู๋มามากับสาวใช้หลายคนกำลังปัดกวาดอย่างตั้งใจ แต่ละคนยุ่งกันหัวหมุนแต่กลับไม่ส่งเสียงใดๆ เลยสักนิด ภาพทุกอย่างคล้ายความชุลมุนวุ่นวายที่เกิดในละครใบ้ หากไม่ใช่เพราะตื่นแต่เช้า เฉียวเวยคงไม่ได้เห็นภาพเช่นนี้ ตอนกลางวันพวกนางทำงานเสียงดังกันไม่น้อยทีเดียว คิดไม่ถึงว่าตอนเช้าจะมือไม้เบากันเช่นนี้
อู๋มามาหันมาเห็นเฉียวเวยจึงวางไม้กวาดลงแล้วเดินเข้ามากระซิบว่า “ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ รบกวนฮูหยินแล้ว”
เฉียวเวยเลยบอกว่า “ไม่หรอก พวกเจ้าเสียงไม่ดังเลย ข้าตื่นของข้าเอง”
อู๋มามาเลยคลี่ยิ้มด้วยความสบายใจ “ถ้าฮูหยินน้อยไม่มีอะไรจะสั่งการ บ่าวไปทำงานก่อนนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปเถิด” เฉียวเวยพยักหน้า อู๋มามาถอยออกไป
เฉียวเวยเดินไปทางห้องของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู โมงยามนี้ยังเช้าเกินไป แม้แต่จิ่งอวิ๋นก็น่าจะยังไม่ตื่น แต่ที่เฉียวเวยตกใจก็คือ นางเพิ่งเดินไปถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงวั่งซูหัวเราะคิกคัก ช่างร่าเริงยิ่งนัก!
สายตาเฉียวเวยพลันขยับ นางผลักประตูเดินเข้าไป
วั่งซูกอดตุ๊กตาผ้าสีทองตัวหนึ่งกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ศีรษะของตุ๊กตาผ้าถูกนางเล่นจนกลิ้งหายไปแล้ว แขนก็ขาด…
จิ่งอวิ๋นกำลังใส่เสื้อผ้า น้องสาวกลิ้งหลุนๆ มาทางเขาแล้วชนเขากลิ้งต่อไป หลังจากนั้น… เขาก็ลุกขึ้นไม่ไหวอีก…
วั่งซูยังคงกลิ้งต่อไป นางกลิ้งเข้าไปเจอกับอ้อมแขนแข็งแรง นางคิดจะหนีแต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้าตัวขึ้นมา
วั่งซูยิ้มตาหยี “ท่านพ่อ!”
เฉียวเวยเดินเข้าไป มองสามีด้วยความตกใจเล็กน้อย “ท่านยังไม่ไปประชุมเช้าหรือ”
วั่งซูเพิ่งใส่ถุงเท้าไปได้ข้างหนึ่งก็จะวิ่งหนีเสียแล้ว จีหมิงซิวเลยจับตัวนางมา พูดกับเฉียวเวยว่า “อีกเดี๋ยวค่อยไป”
เฉียวเวยนั่งลงบนเตียง มองอีกฝ่ายอย่างกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “นี่ท่านโดดงานหรือ นายน้อยหมิง”
จีหมิงซิวไม่ได้ปฏิเสธ ไปประชุมเช้าวันไหนก็ได้ แต่ลูกชายลูกสาวเขาจะเข้าเรียนวันแรก กลับมีแค่ครั้งเดียว เขาพลาดอะไรมามากเกินไปแล้ว ตอนพวกเขาเกิด ก้าวแรกที่พวกเขาเดินได้ คำแรกที่พวกเขาพูดได้ เขาไม่อยากพลาดวันแรกที่พวกเขาเข้าเรียนไปอีก
วั่งซูทำทิ้งตัวอ่อนไปอ่อนมาอยู่ในอ้อมแขนบิดา ใส่เสื้อผ้าอยู่เป็นนานก็ยังไม่เสร็จ เฉียวเวยเลยจับตัวนางมา คว้าหมับๆ ไม่เท่าไรก็เรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า
สองพี่น้องแต่งตัวกันเรียบร้อยก็ไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องด้านข้าง มีเสียงขรุกขรักๆ ดังมาจากข้างใน เฉียวเวยพิงซบอยู่กับอกจีหมิงซิว ในใจเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ตอนอาหารเช้าขึ้นตั้งโต๊ะ ใต้เท้าเจ้าสำนักที่ยามปกติถ้าตะวันไม่เลียตูดจะไม่ตื่น ถึงกับนั่งเก้าอี้รถเข็นเข้ามา
เฉียวเวยเลิกคิ้วมองผู้มาใหม่พร้อมระบายยิ้ม “โอ๊ะ ไม่หลับอุตุแล้วหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกรอกตาบนใส่ “ข้าหิวข้าว!”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ตอนดึกเพิ่งกินบะหมี่เนื้อชามหนึ่ง รังนกหนึ่งหม้อ กับไข่นกกระทาสองฟองเข้าไป หิวเร็วเพียงนี้เชียว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยเงยหน้า เหลือบตามองฟ้า “ทำไม ไม่ได้หรือไร”
“ได้ๆๆ มา คุณชายรองเชิญด้านใน” เฉียวเวยเบี่ยงตัวเปิดทางให้พร้อมทำท่าเชื้อเชิญ
เพื่อให้รถเข็นเข้าออกได้สะดวก ตรงธรณีประตูจึงมีไม้กระดานวางเอาไว้ ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยเข็นรถเข้าไปได้อย่างสะดวกสะบาย
อาหารเช้าเป็นข้าวต้มขาว ซาลาเปาไข่ปูและเนื้อกุ้ง กับซาลาเปาเห็ดหอมหมูสับ รวมถึงบะหมี่หมูตุ๋นที่ส่งควันฉุยอีกหลายชาม จิ่งอวิ๋นกับจีหมิงซิวกินอาหารทะเลไม่ได้ ใต้เท้าเจ้าสำนักกับวั่งซูกลับกินได้สบายๆ ซาลาเปาไข่ปู่กับเนื้อกุ้งจึงลงท้องพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าเหลืออยู่ลูกสุดท้าย ตะเกียบของวั่งซูก็ยื่นออกไปอย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ นั่นอะไรน่ะ” ใต้เท้าเจ้าสำนักชี้ไปข้างหลังวั่งซูพลางเอ่ยถาม
วั่งซูหันไปมอง ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบคีบซาลาเปาเข้าปาก!
วั่งซู “…”
ทุกคน “…”
พอกินอาหารเสร็จ ทุกคนรอกันอยู่พักหนึ่งไม่เห็นหลิวเกอร์มาเสียที เฉียวเวยเลยให้ปี้เอ๋อร์ไปดูให้ ไม่นานปี้เอ๋อร์ก็กลับมาพร้อมสีหน้าร้อนใจ “หลิวเกอร์กำลังกินข้าวอยู่เจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยพลันขมวดคิ้ว “เหตุใดยังกินข้าวอยู่อีก”
ปี้เอ๋อร์ตอบด้วยความลำบากใจ “อันนั้นก็ไม่กิน อันนี้ก็ไม่กิน พยายามกันอยู่ตลอดเช้า เหล่าฮูหยินเลยบอกว่าหากไม่ไหวจริงๆ วันแรกวันนี้ก็ไม่ต้อง…”
เฉียวเวยพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องอะไร ไม่ต้องไปแล้ว?”
“เหล่าฮูหยินบอกว่าเขายังเล็ก ทั้งยังเพิ่งเสียมารดาไป น่าสงสารมากแล้ว เรื่องเข้าเรียนนี้…” ปี้เอ๋อร์เริ่มพูดต่อไม่ออก นางเป็นคนที่เคยอยู่ในหมู่บ้านกับสามแม่ลูกนี้มาก่อน ไม่ว่าจะฝนตกพายุเข้าอย่างไร เด็กสองคนนี้ก็ไม่เคยกล้าที่จะไม่ไปเข้าเรียน เฉียวเวยก็ไม่มีทางอนุญาตให้พวกเขาไม่ไปเข้าเรียน แน่นอนว่ายกเว้นในกรณีพิเศษ แต่อย่างน้อยก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ผู้สอน ไม่มีทางเอาอย่างหลิวเกอร์ที่บอกจะไม่ไปก็ไม่ไปเสียเฉยๆ
เฉียวเวยวางถ้วยลงบนโต๊ะเรียบๆ “เวลานี้เขากล้าโดดเรียน โตไปก็คงกล้าโดดงาน!”
จีหมิงซิวรีบเขยิบเข้ามาบอกว่า “ตอนข้าเด็กๆ ไม่เคยโดดเรียนนะ”
เฉียวเวย “…”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “ยังจะพูดอีก พวกท่านนั่นแหละที่ตามใจเขา! ทั้งๆ ที่ยังไม่เป็นอะไรสักนิด ทำอย่างกับฟ้าจะถล่มลงมาเสียอย่างนั้น!”
ใต้เท้าอัครเสนาบดีเลยจิบชาไปเงียบๆ
เฉียวเวยบอกว่า “ท่านพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปขึ้นรถก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะตามไป”
ใต้เท้าอัครเสนาบดีเลยจูงคุณชายกับคุณหนูของตนเดินออกจาบ้านชิงเหลียนไปขึ้นรถม้า
ส่วนเฉียวเวยขยับลุกไปยังเรือนลั่วเหมย เวลานี้หลิวเกอร์มีสาวใช้หญิงรับใช้กลุ่มใหญ่รุมล้อม ช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้เขากินข้าว เขาเอาแต่ปิดปากแน่นไม่ยอมกินอะไรสักคำ จีเหล่าฮูหยินก็นั่งอยู่ด้วยความจนใจ
“ฮูหยินน้อย” หรงมามาหันมาเห็นเฉียวเวย
จีเหล่าฮูหยินพลันตาเป็นประกาย “เสี่ยวเวยเจ้ามาได้เวลาพอดีเชียว หลิวเกอร์ไม่ยอมกินข้าว เจ้ารีบเข้าไปดูที เขาไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
เฉียวเวยเหลือบมองหลิวเกอร์ทีเหนึ่ง แล้วเอ่ยกับจีเหล่าฮูหยินว่า “ท่านย่า เรื่องนี้ให้ข้าจัดการก็แล้วกัน ท่านกลับไปกินอะไรที่ห้องก่อนเถิด”
จีเหล่าฮูหยินไว้ใจเฉียวเวย เลยให้หรงมามาประคองตนออกไป
รอยยิ้มเฉียวเวยพลันหุบลง กวาดตามองบ่าวไพร่สาวใช้ในห้องทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียบเรียบว่า “พวกเจ้าก็ออกไปด้วย”
ทุกคนพากันคอหด วางตะเกียบกับถ้วยชามลงแล้วออกไป
หลิวเกอร์หันมองเฉียวเวยอย่างขลาดกลัว
เฉียวเวยเดินไปตรงหน้าเขา มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลิวเกอร์ถูกมองจนตัวน้อยๆ สั่นสะท้านไปหมด
“เหตุใดจึงไม่กินข้าว” เฉียวเวยถาม
หลิวเกอร์หันหนีไม่ยอมตอบ
เฉียวเวยโอ๋ใครไม่เป็น ลูกของตนนางยังไม่เคยโอ๋มาก่อน ยิ่งลูกคนอื่นด้วยแล้วอย่าแม้แต่จะคิดเลย
เฉียวเวยมองหลิวเกอร์อย่างวางอำนาจ “ข้าถามเจ้าอยู่นะ เหตุใดจึงไม่กินข้าว”
หลิวเกอร์นึกกลัว ไม่กล้าไม่ตอบอะไรอีก เลยพูดเสียงเบาว่า “ไม่อยากกิน”
“เพราะอะไรถึงไม่อยากกิน” เฉียวเวยถาม
“ปวด…ปวดท้อง” หลิวเกอร์เอามือกุมท้องเล็กๆ ของตน
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าเจ้าโกหก ข้าตีเด็กเป็นนะ ตอนนี้ปวดหรือไม่ปวด”
หลิวเกอร์เหลือบมองอีกฝ่ายทีหนึ่ง พยักหน้า ก่อนจะตามด้วยส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อไม่ปวดก็ไปเข้าเรียนกับข้าเสียดีๆ” เฉียวเวยหยิบถุงหนังสือของเขามาแล้วยัดใส่อกให้เขา “ตอนนี้ไม่มีเวลามารอเจ้ากินข้าวแล้ว เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่ง ไปกินระหว่างทาง สอง ไม่ต้องกิน ไปทำความเคารพท่านย่าเสีย บอกว่าเจ้าจะไปเรียนแล้ว”
นัยน์ตาหลิวเกอร์มีน้ำตารื้นขึ้นมาเล็กน้อย
เฉียวเวยหันไปมองเขาเรียบๆ “น้อยๆ หน่อยเถอะ ลูกไม้นี้ใช้กับข้าไม่ได้ผลหรอก ถ้าไม่กลัวโดนตีก็ร้องไปเลย”
หลิวเกอร์ที่เตรียมจะอ้าปากร้องไห้จ้าพลันหุบปากฉับทันที เขากอดถุงหนังสือพลางเดินไปที่ห้องด้านข้าง ระหว่างเดินไปก็คอยหันมามองเป็นระยะๆ ทุกครั้งที่หันมาก็จะเห็นสายตา “โหดเหี้ยมอำมหิต” ของเฉียวเวย เล่นเอาตกใจจนแม้แต่ความกล้าที่จะไปฟ้องก็ยังไม่มี
หลิวเกอร์ขึ้นนั่งรถม้าอย่างว่าง่าย
อันที่จริงก็เพียงเพราะตื่นเช้าเกินไป เลยอารมณ์ไม่ดีก็เท่านั้น
เฉียวเวยเอาซาลาเปาสองลูกกับน้ำแกงหวานกาหนึ่งใส่มาให้เขา ถึงแม้การกินอาหารบนรถม้าจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก แต่นิสัยเสียๆ ของเด็กคนนี้จะตามใจเขาไม่ได้
ตอนไปถึงสำนักศึกษา ท้องหลิวเกอร์อิ่มแล้ว อารมณ์เสียยามตื่นนอนก็หายไปแล้ว จึงลงรถม้าไปอย่างอารมณ์ดี
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวไปส่งเด็กทั้งสามถึงหน้าประตู พอไปถึงตรงนั้นจะมีคนเดินนำพวกเขาเข้าไปโดยเฉพาะ
เรื่องของผู้เข้าสอบตัวน้อยทั้งสามแพร่สะพัดไปทั่วสำนักศึกษา หลายคนอยากรู้ว่าพวกเขาเป็นบุตรจากตระกูลใด พ่อแม่หน้าตาเป็นอย่างไร พวกเขาห้าคนพอลงจากรถม้ามาก็ดึงดูดสายตาทุกคนได้ทันที พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าท่านผู้นี้ก็คืออัครเสนาบดีคนปัจจุบัน รู้สึกเพียงว่าอีกฝ่ายช่างดูมีสง่าราศี รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางผึ่งผาย ตัวตรงประหนึ่งต้นไทรต้นไผ่ รูปลักษณ์งดงามประหนึ่งหยก งามสง่าไปทั้งตัวราวกับเป็นเชื้อพระวงศ์ ส่วนสตรีที่อยู่ข้างกายเขาก็งดงามจนล้มบ้านล้มเมืองได้ นางจูงมือบุตรเข้ามา ผิวพรรณผุดผ่อง งดงามประหนึ่งหยก
พอได้เห็นพวกเขา ก็คล้ายได้เข้าใจว่าเหตุใดเด็กทั้งสามจึงงดงาม ทั้งยังดีเลิศเพียงนี้
หลังจากพาเด็กๆ มาถึงหน้าประตูแล้วทั้งสองก็หยุดเดิน
จีหมิงซิวอุ้มบุตรสาวขึ้นมา เอ่ยกำชับว่า “ต้องเชื่อฟังพี่ชายนะ รู้หรือไม่”
วั่งซูพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม “รู้แล้วเจ้าค่ะ!”
จีหมิงซิวพูดอีกว่า “ห้ามรังแกเพื่อนคนอื่นด้วย เข้าใจหรือไม่”
วั่งซูพยักหน้าหงึกหงัก “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”
จีหมิงซิวยังคิดจะบอกว่าให้กินข้าวดีๆ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าบุตรสาวกินเก่งเพียงใด จึงกลืนคำพูดกลับลงไป เปลี่ยนไปเป็นบอกหลิวเกอร์แทนว่า “กินข้าวดีๆ นะ”
จิ่งอวิ๋นไม่มีอะไรต้องให้กำชับ เขาทั้งรู้ความทั้งฉลาด รู้อยู่แล้วว่าตนต้องทำอะไร
จีหมิงซิวลูบศีรษะบุตรชาย “ไปเถิด”
ซาลาเปาน้อยทั้งสามบอกลาผู้ปกครองแล้วจูงมือกันเข้าสำนักศึกษาไป ตอนวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเข้าเรียนที่หมู่บ้านก็มีแต่เด็กโตเช่นนี้ ในตอนนั้นพวกเขาก็มีปฏิสัมพันธ์กับทุกคนได้อย่างดี ดังนั้นเฉียวเวยจึงไม่เป็นห่วงว่าเด็กทั้งสองจะปรับตัวไม่ได้ ส่วนหลิวเกอร์ เดิมทีเขาไม่ใช่เด็กโง่ เพียงแต่ถูกตามใจมาหนักหนาเกินไป หากได้เคี่ยวเข็ญสักหน่อย ทนลำบากสักนิดก็สามารถเปลี่ยนกลับมาได้