ตอนที่ 1149 เคลื่อนทัพโดยเร็ว

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 1149 เคลื่อนทัพโดยเร็ว

หลูหนิงฮว่ายกมือกุมขมับ ดูเหมือนว่านางจะกำชับเสียเปล่าแล้ว ทว่า โชคดีที่คุณหนูใหญ่ไม่ได้ถือสาหลูเหลียวเฉิน

“พี่เหลียวเฉิน ข้ารู้สึกว่าพี่จะใส่ใจพี่หญิงใหญ่ของข้ามากกว่าพี่ชายสามอีกนะ” ไป๋จิ่นเจาแสร้งเหลือบมองไปทางไป๋ชิงฉี

ไป๋ชิงฉีมองไปทางไป๋จิ่นเจาด้วยแววตาเย็นชา สาวน้อยรีบย่นคอหนีทันที

“แน่นอนอยู่แล้ว” หลูเหลียวเฉินมองไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยแววตาเป็นประกาย นับแต่ที่ไป๋ชิงเหยียนปรากฏตัวขึ้นสายตาของนางจับจ้องไปที่ไป๋ชิงเหยียนคนเดียวเท่านั้น “เดิมทีข้าคิดว่าแม่ทัพไป๋ชิงฉีคือคนที่ดูดีที่สุดในกองทัพไป๋แล้ว ทว่า ฝ่าบาททรงดูดีกว่าแม่ทัพไป๋ชิงฉีหลายเท่านัก!”

ไป๋จิ่นเซ่อ “…”

ที่นางเอาแต่บอกก่อนหน้านี้ว่าชอบพี่ชายสามเป็นเพราะพี่ชายสามหน้าตาดีอย่างนั้นหรือ

ไป๋จิ่นหวาไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดออกมาเช่นเดียวกัน หลูเหลียวเฉินทำเช่นนี้จะมัดใจพี่ชายสามได้อย่างไรกัน!

ไป๋ชิงเจวี๋ยปิดปากหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

“แย่แล้ว…” ไป๋ชิงอวิ๋นมองไปทางพี่ชายสามที่สีหน้าเย็นชาของตัวเองพลางกล่าวขึ้น “พี่ชายห้ารูปงามสุดในบรรดาพวกเราพี่น้อง เขาคือคนที่ได้รับถุงเงินจากสตรีตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงมากที่สุดในบรรดาบุรุษทั้งหมด หากเหลียวเฉินพบพี่ชายห้า พี่ชายสามจะทำเช่นไรนะ”

ไป๋ชิงฉียังคงมีสีหน้าเรียบเฉยตามเดิม ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับไป๋ชิงเหยียน “พี่หญิงใหญ่เข้าไปในกระโจมเถิดขอรับ”

หลูหนิงฮว่าปวดศีรษะกับลูกศิษย์ของตัวเองมาก นางดึงร่างของหลูเหลียวเฉินไปยืนทางด้านหลัง จากนั้นทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่คงมีเรื่องอยากสนทนากับคุณชายและคุณหนูท่านอื่นๆ อีกมาก ข้ากับเหลียวเฉินขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของหลูเหลียวเฉินอีกครั้ง สาวน้อยยังคงใช้ดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นมองมาทางนางอย่างอาลัยอาวรณ์ ไป๋ชิงเหยียนจึงกล่าวยิ้มๆ “นิสัยร่าเริงจริงๆ”

“เหมาะสมกับพี่ชายสามมากขอรับ” ไป๋ชิงอวิ๋นกล่าวเสริม

คนที่เหลือพากันเดินเข้าไปในกระโจมใหญ่ยิ้มๆ

ด้านในกระโจมมีเตาผิงวางอยู่หลายเตาอากาศภายในกระโจมจึงอบอุ่นราวกับอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

ไป๋ชิงเหยียนถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกออกพลางเดินไปหยุดอยู่หน้าแผนที่ขนาดใหญ่ “มั่นใจในการบุกโจมตีเมืองคืนนี้หรือไม่”

ไป๋ชิงเหยียนยื่นเตาอุ่นมือให้ชุนจือที่กำลังถือเสื้อคลุมขนจิ้งจอกของนางอยู่ จากนั้นหันไปส่งสัญญาณให้ชุนจืออกไปก่อน

ชุนจือทำความเคารพแล้วเดินออกไปจากกระโจม จากนั้นพาคนไปเตรียมกระโจมที่พักให้ไป๋ชิงเหยียนก่อน

“คืนนี้หรือขอรับ” เว่ยจ้าวเหนียนมองไปทางไป๋ชิงฉีแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น “รีบร้อนเกินไปหรือไม่ขอรับ เสี่ยวไป๋ไซว่เพิ่งมาถึง ควรพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนไม่ดีกว่าหรือขอรับ”

“พวกเราควรเคลื่อนทัพให้เร็วที่สุด! ครั้งนี้ข้าพาทหารหน่วยย่อยสิบห้าหน่วยของกองทัพซั่วหยางมาด้วย พวกเขาถนัดเรื่องโจมตีเมืองมากที่สุด เมื่อยึดเมืองซุ่นหนิงได้ พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังด่านเย่เฉิง เมื่อยึดเต๋อหยาง เล่ออัน หลูเฉวียนและจิงหรงได้ เมืองหลวงอวิ๋นจิงของซีเหลียงต้องตกอยู่ในกำมือของพวกเราแน่นอน” ไป๋ชิงเหยียนวาดเส้นทางลงบนแผนที่

ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองเว่ยจ้าวเหยียนและน้องๆ ของตัวเอง “ระหว่างเดินทางมาที่นี่ข้าได้รับรายงานว่ากองทัพของอาเค่อเซี่ยตั้งค่ายทหารพักแรมอยู่ห่างจากภูเขาหลิวเซียงประมาณสามลิบลี้โดยไม่ยอมเคลื่อนทัพไปที่ใดอีก ข้าคิดว่าเขาคงกลัวว่าจะเจอเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมกับภูเขาหานเหวิน บัดนี้พวกเราต้องดึงดูดความสนใจของอาเค่อเซี่ยให้ได้ หากมัวรอช้าแล้วเขาคิดได้ขึ้นมา พวกเขาคงยอมเสียเวลาเดินอ้อมภูเขาหลิวเซียงไปทางอื่นแน่”

“ขอเพียงข่าวการบุกโจมตีเมืองของพวกเราแพร่ไปถึงหูคนของแคว้นเทียนเฟิ่ง พวกเขาต้องยิ่งคิดว่าต้าโจวกำลังแย่งชิงดินแดนของซีเหลียงกับต้าเยี่ยนอยู่ ที่สำคัญเมืองเหล่านี้ล้วนมีส่วนเชื่อมติดกับถนนในแคว้นซีเหลียง ยิ่งพวกเราลงมือเร็วเท่าใดเทียนเฟิ่งก็ต้องยิ่งเร่งเดินทางกลับแคว้นของพวกเขามากขึ้นเท่านั้น”

ไป๋ชิงฉีพยักหน้าพลางกล่าวขึ้น “เสี่ยวซื่อกับแม่ทัพเสิ่นส่งข่าวมาบอกว่าบรรดาทหารเริ่มทนไม่ไหวอยากออกรบเต็มทีแล้วขอรับ พวกเราเริ่มทำสงครามเลยก็ดีเหมือนกัน ทหารเหล่านั้นจะได้ฮึกเหิมขึ้นขอรับ”

“คืนนี้กองทัพซั่วหยางจะเป็นคนบุกเข้าไปในเมืองก่อน กองทัพใหญ่จงตามไปติดๆ โจมตีเมืองซุ่นหนิงจนพวกนั้นตั้งตัวรับมือไม่ทันให้ได้” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงหนักแน่น

เมืองซุ่นหนิง

ตกกลางคืนหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง แม้ไม่ได้ตกหนักมาก ทว่า ลมกลับพัดแรงไม่หยุด ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยเสียงโหยหวนของลม

สุนัขในเมืองซุ่นหนิงเห่าหอนอย่างต่อเนื่องโดยไม่ทราบสาเหตุจนผู้คนในเมืองต่างปวดศีรษะ เจ้าของสุนัขตวาดให้คนในจวนดูแลสุนัขให้ดี ทว่า ไม่รู้เพราะเหตุใดสุนัขจึงไม่ยอมเชื่อฟังคำของเจ้านายตัวเองแม้แต่น้อย

ค่ำคืนที่น้ำค้างแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง ทหารลาดตระเวนเมืองที่เพิ่งถูกเปลี่ยนเวรถูมือของตัวเองไปมาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย พวกเขาแหวกม่านบุสำลีผืนหนาเข้าไปในห้องด้านใน

“ด้านในอุ่นกว่าด้านนอกมากจริงๆ”

หัวหน้าทหารลาดตระเวนถอดหมวกเกราะของตัวเองออก เขาสั่งให้ทหารเร่งก่อไฟเพิ่มความอบอุ่นในห้องมากขึ้น จากนั้นยกกาน้ำชารินชาให้สหายของตัวเอง “ดื่มชาคลายหนาวกันก่อน!”

“วันนี้สุนัขพวกนั้นเป็นอันใดกันไปหมด เอาแต่เห่าไม่หยุดกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว คงไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นใช่หรือไม่” ทหารคุ้มกันเมืองคนหนึ่งยกถ้วยชาขึ้นจิบ

“สัตว์เดรัจฉานพวกนั้นก็เป็นแบบนี้แหล่ะ ขอแค่มีตัวหนึ่งเห่าขึ้นสุนัขของจวนอื่นก็พากันเห่าตามแล้ว” หัวหน้าทหารลาดตระเวนถูมือของตัวเองไปมาหน้าเตาผิง

“รีบดื่มชาแล้วเข้านอนเถิด กองทัพต้าโจวตั้งค่ายทหารอยู่ไม่ไกลจากพวกเรา ไม่รู้ว่าจะเริ่มทำสงครามกันเมื่อใด พวกเรารีบนอนเอาแรงไว้ก่อนเถิด!”

สิ้นเสียงของหัวหน้าทหารลาดตระเวน เสียงเห่าของสุนัขยิ่งดังขึ้นมากกว่าเดิม

“สัตว์พวกนั้นเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร!” ทหารคุ้มกันเมืองที่กำลังแกะถั่วลิสงกินขมวดคิ้วแน่นพลางก่นด่าออกมา “พรุ่งนี้ข้าจะสังหารพวกมันให้หมด”

ทหารซึ่งประสาทการได้ยินดีกว่าผู้อื่นยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียง เขาเห็นเปลือกถั่วลิสงที่อยู่ในถาดสี่เหลี่ยมสีดำสั่นกระเด็นออกไปจากถาด เสียงดังโครมครามดังขึ้นราวกับกำลังมีคนบุกมายังเมืองซุ่นหนิง

“มีคนโจมตีเมือง มีคนบุกโจมตีเมือง!” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เสียงแตรศึกดังขึ้นในทันที

ทหารคุ้มกันบนกำแพงเมืองตีกลองส่งสัญญาณพลางตะโกนเสียงดังลั่น เหล่าทหารที่เพิ่งถอดชุดเกราะออกรีบสวมชุดเกราะและหมวกของตัวเองอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นพากันหยิบอาวุธของตัวเองวิ่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองทันที

ทหารคุ้มกันเมืองที่กำลังหลับฝันดีรีบสวมชุดเกราะของตัวเองและวิ่งขึ้นไปบนกำแพงเพื่อรับมือกับศัตรูอย่างเคร่งเครียด พวกเขาช่วยกันโยนหินใส่ทหารต้าโจวที่กำลังปีนขึ้นมาบนกำแพงเมือง ทว่า ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย!

พวกเขารู้ตัวช้าเกินไป สายลับของพวกเขาถูกสังหารระหว่างทาง ทหารหน่วยลาดตระเวนของพวกเขาถูกจัดการแล้วเช่นเดียวกัน

สุนัขที่เอาแต่เห่าทั่วเมืองไม่สามารถส่งสัญญาณเตือนพวกเขาได้ เมื่อพวกเขารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของกำแพงเมืองทหารกองทัพซั่วหยางก็ใกล้ปีนขึ้นไปบนกำแพงได้สำเร็จแล้ว ส่วนกองทัพใหญ่ของต้าโจวก็ใกล้บุกถึงหน้าประตูเมืองของพวกเขาแล้ว พวกนั้นบุกมาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ให้เวลาพวกเขาได้เตรียมรับมือแม้แต่น้อย พวกเขาโจมตีเมืองอย่างเงียบเชียบและมุ่งมั่น

ประตูเมืองใหญ่และหนักอึ้งถูกกระแทกอีกครั้ง เวลาที่ธงเฮยฟานไป๋หมั่งถูกปักลงบนกำแพงเมืองซุ่นหนิง เมืองซุ่นหนิงถูกกำหนดให้พ่ายแพ้แล้ว

ทหารคุ้มกันเมืองซุ่นหนิงหนีเอาตัวรอดออกจากเมือง บรรดาชาวบ้านในเมืองซุ่นหนิงต่างหวาดกลัวพวกเขาพากันหลบหนีออกจากเมืองทางประตูทิศใต้โดยไม่แม้แต่จะเก็บสัมภาระของตัวเองเพราะหวังจะหนีออกจากเมืองไปให้ได้ก่อนที่กองทัพต้าโจวจะบุกเข้ามาในเมือง

กองทัพใหญ่ของต้าโจวบุกเข้าไปในเมือง ทหารซีเหลียงที่ยังคงต่อสู้ปกป้องเมืองซุ่นหนิงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

ไป๋ชิงฉีขี่ม้าบุกเข้าไปในเมืองเป็นคนแรก เมื่อเห็นชาวบ้านพากันหอบเงินหนีตายอย่างอลหม่านชายหนุ่มจึงกระชากบังเหียนม้าให้หยุดลงพลางตะโกนขึ้น “เมืองซุ่นหนิงถูกตีแตกแล้ว ผู้ใดยอมจำนนจะไว้ชีวิต!”