ตอนที่ 283-1 การสอบ (2)
เฉียวเวยมีหุ้นอยู่ในหรงจี้สามส่วน ก่อนหน้านี้ตอนช่วยเถ้าแก่หรงดูสมุดบัญชี นางเคยคำนวณคร่าวๆ ว่าสิ้นปีตนจะได้ส่วนแบ่งเท่าไร แต่จำนวนเงินในกล่องมากกว่าที่นางเคยคำนวณไว้ถึงหนึ่งเท่าตัว
เถ้าแก่หรงเห็นนางไม่พูดอะไรสักทีจึงถามว่า “ทำไม น้อยไปหรือ เงินนี้เป็นส่วนแบ่งจากหรงจี้ โรงงานไข่ยังอยู่ในช่วงลงทุน ยังไม่มีกำไร ไว้รอมีกำไร ไม่มีทางน้อยกว่านี้แน่นอน!”
โอ้แม่เจ้า ยังมีโรงงานไข่อีก นางเกือบลืมไปแล้วนะนี่ หากเป็นเช่นนี้อีกไม่กี่ปีนางคงได้กลายเป็นเศรษฐีนีแน่ หากวันใดเกิดจีหมิงซิวไม่เป็นอัครเสนาบดีแล้ว นางยังเลี้ยงดูเขาได้ด้วยซ้ำ!
เฉียวเวยกับเถ้าแก่หรงพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง นางก็เอาของขวัญที่นำกลับมาจากเมืองเฟยอวี๋กับชนเผ่าถ่าน่าออกมา มีทั้งน้ำตาเงือก ผ้าไหมหลงเซียว กับของแห้งและโสมคนอีกจำนวนไม่น้อย เถ้าแก่หรงมองของที่อัดแน่นอยู่เต็มหีบแล้วพูดขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้าใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
เฉียวเวยทำเสียงจึ๊ทีหนึ่ง “ข้าเคยขี้งกกับเจ้าเมื่อไรกัน”
เมื่อไรที่ไม่ขี้งกดีกว่า
เถ้าแก่หรงกรอกตาใส่อีกฝ่ายก่อนจะรับไว้ด้วยความยินดี
เฉียวเวยเอาของทะเลกลับมาฝากเสี่ยวลิ่วกับพวกพ่อครัวเหอด้วย ช่วงปีใหม่นางไม่อยู่ ไม่ทันได้จัดซองแดง เวลานี้จึงชดเชยให้ ทุกคนดีใจกันยิ่งนัก
พ่อครัวเหอให้เฉียวเวยนั่งลง ส่วนเขาจะไปทำอาหารมาเลี้ยงรับรอง
เฉียวเวยยิ้ม “น้ำใจเจ้าข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว แต่วันนี้ข้ายังต้องไปที่หมู่บ้านอีก หากไปช้าเดี๋ยวจะไม่ทันกลับเมืองเสีย”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงไม่กล้ารั้งนางไว้
หลังจากออกมาจากหรงจี้แล้ว เฉียวเวยก็นั่งรถม้าของตนไปที่หมู่บ้านซีหนิว
ปากทางหมู่บ้านยังคงเป็นเช่นเดิม ต้นไม้สูงใหญ่ บ่อน้ำเก่าที่ถูกปิดตาย กับควายตัวหนึ่งที่ไม่รู้บ้านไหนมาผูกไว้ใกล้ๆ
เวลานี้ใกล้จะยามเที่ยงแล้ว ชาวบ้านกลับไปกินข้าวที่บ้านกันหมด ในทุ่งนาไม่เหลือใครอยู่ทำงาน มีแต่สีเขียวชอุ่ม มีนกบินไปมาเป็นระยะๆ
รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปในหมู่บ้าน เฉียวเวยถึงได้เห็นว่าในหมู่บ้านมีความเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง สวีต้าจ้วงสร้างเรือนหลังใหม่ บ้านเอ้อร์โก่วจื่อถึงแม้จะยังไม่สร้าง แต่ก็ย้ายเล้าหมูออกไปแล้ว ดูท่าอีกไม่กี่วันก็คงเริ่มลงมือ
ปี้เอ๋อร์พูดขึ้นว่า “ตะกร้าที่พวกเราใช้ใส่ไข่เยี่ยวม้าพ่อตาของสวีต้าจ้วงเป็นคนทำขึ้นทั้งสิ้น พ่อตาของเขาทำคนเดียวไม่ทันจึงรับลูกศิษย์มาเพิ่มหลายคน เงินจากการขายตะกร้าแต่ละเดือนนับว่าได้ไม่น้อยทีเดียว! ห้องนี้ได้ยินว่าพ่อตาเขาเป็นคนออกเงินสร้างให้”
เฉียวเวย “ต้าจ้วงเป็นคนดีที่ควรได้รับผลตอบแทน เดิมทีเขาไม่รังเกียจที่อีกฝ่ายแต่งงานมาพร้อมกับบิดา เคารพพ่อตาประหนึ่งบิดาแท้ๆ ของตน พ่อตาเขาซาบซึ้งใจ ย่อมต้องพยายามตอบแทนในทุกทาง”
“พี่ต้าจ้วงเองก็มีความสามารถยิ่งนัก เขากับพวกพี่หลัวช่วยกันดูแลลานเลี้ยงสัตว์ ดูสิ อยู่ทางนั้นอย่างไร!” ปี้เอ๋อร์ชี้ไปทางโรงเรือนที่สร้างขึ้นใหม่ด้านหลังหมู่บ้าน
เฉียวเวยมองเห็นแล้ว จึงระบายยิ้มน้อยๆ “ใหญ่มากทีเดียว”
ปี้เอ๋อร์จึงพูดต่อว่า “ไม่ใหญ่เท่าโรงเลี้ยงสัตว์ในบ้านพวกเรา แต่มีสินค้าไปขายในหมู่บ้านแถบนี้ได้มากทีเดียว!”
ลานเลี้ยงสัตว์ในหมู่บ้านเพิ่งเริ่มตั้งไข่ ปริมาณการผลิตบนภูเขาได้มากถึงสองพันแล้ว หากจะส่งขายให้ได้ทั้งหมดน่ากลัวว่าคงต้องอีกระยะหนึ่ง
ระหว่างที่พูดคุยอยู่นั้น พวกนางก็มาถึงบ้านตระกูลหลัว
เด็กน้อยในเสื้อสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังนั่งหยิบอะไรที่พื้นกินอยู่ ไม่รู้เขาหยิบเจออะไร จะจับเอาเข้าปากอย่างใสซื่อ เฉียวเวยรีบกระโดดลงจากรถม้า อุ้มเด็กบนพื้นขึ้นมาแล้วดึงเอาเปลือกส้มในมือเขาออก เปลี่ยนเป็นขนมซานจาให้เขาแทน
เขาทำเสียงโว้ๆ ก่อนจะกินลงไป
เฉียวเวยหยิกแก้มเขาแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “รู้หรือว่าข้าเป็นใคร เจ้าถึงได้กินน่ะ!”
ป้าหลัวได้ยินเสียงเฉียวเวยเลยวางผักที่ล้างไปได้ครึ่งทางลงแล้วเดินเร็วๆ ออกมา นางเอ่ยด้วยความตกใจว่า “เสี่ยวเวย! ข้าก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดข้าถึงได้ยินเสียงเจ้า! มาถึงตั้งแต่เมื่อไร”
เฉียวเวยยิ้ม “แม่บุญธรรม”
ปี้เอ๋อร์หิ้วถุงผ้าห่อใหญ่สองห่อลงมาจากรถม้า “ป้าหลัว พวกเรามาเยี่ยมท่านแล้ว!”
ป้าหลัวดีใจจนทำอะไรไม่ถูก “รีบเข้าข้างในเร็ว!” แล้วจึงพูดกับสารถีว่า “พี่ชายก็เข้ามานั่งด้วยสิ!”
สารถีบอกปัดด้วยความเกรงใจ
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ลงมาเถิด คนกันเองทั้งนั้น”
“ขอรับ ฮูหยิน” สารถีเอารถม้าไปผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามบ้านแล้วจึงเดินเข้าไปด้วย
“เหตุใดจึงไม่พาลูกๆ มาด้วยเล่า” ป้าหลัวถาม
เฉียวเวยตอบกลับว่า “คุณปู่เขาพาตัวออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว”
จีซั่งชิงคงคิดว่าเด็กๆ เหน็ดเหนื่อยกับการสอบ จึงตั้งใจพาเด็กทั้งสามออกไปเดินเล่น
ป้าหลัวมองหลานชายที่ตัวสกปรกมอมแมมแล้วยิ้มอย่างละอายใจ “เดี๋ยวทำเสื้อผ้าเจ้าสกปรกหมด มาข้าอุ้มเอง!”
เฉียวเวยไม่ยอมให้ “สกปรกอะไรกัน นี่ข้าไม่ได้เจอจวิ้นเกอร์มานานแค่ไหนแล้ว ยังจะไม่ให้ข้าอุ้มอีก” เมื่อก่อนจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็เนื้อตัวสะอาดสะอ้านออกไปแล้วกลับมาพร้อมกับตัวเปื้อนโคลนเช่นกัน เพราะเขาอยู่ในวัยที่คลานเล่นอยู่กับพื้น
ป้าหลัวกลัวว่าเฉียวเวยไปอยู่ในเมืองหลวงแล้วจะละเอียดลออเช่นเดียวกับคนเมือง แต่วันนี้ได้ดูแล้ว ตนคงคิดมากไปเอง!
เฉียวเวยชอบจวิ้นเกอร์เพียงนี้ คนเป็นยายอย่างตนยิ่งดีใจ
ป้าหลัวชงชาให้ทั้งสามคน เฉียวเวยอุ้มเด็กน้อยอยู่ จึงวางไว้ที่โต๊ะก่อน ส่วนที่เหลืออีกสองถ้วยป้าหลัวเอาไปส่งให้ปี้เอ๋อร์กับสารถีถึงมือ
ปี้เอ๋อร์พึมพำว่า “ท่านอย่าได้เกรงใจเพียงนี้สิ”
สารถีก็ตกใจเช่นกัน “ขอบคุณป้าหลัวมาก”
ถึงแม้จะเป็นเพียงหญิงสูงวัยในหมู่บ้าน แต่กลับเป็นแม่บุญธรรมของฮูหยินน้อย คนที่มีฐานะเช่นนี้มาส่งชาให้เขาถึงมือ เขาแทบจะรับไม่ไหวเลยทีเดียว
ป้าหลัวเอ่ยด้วยความเสียดายว่า “พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของเจ้าไปเยี่ยมญาติที่ในเมือง หากรู้ว่าเจ้าจะมาข้าคงไม่ให้พวกเขาไป” ถึงอย่างไรก็ไม่ใช้ญาติที่สำคัญอะไรเท่าไรนัก ห่างกันไปไกลแล้ว ก่อนหน้านี้ยามพวกเขาลำบากไม่ได้ไปมาหาสู่กันนัก แต่เวลานี้พอได้ยินเรื่องราวของพวกเขาจึงเริ่มเข้ามาเยี่ยมเยียน ครานี้เพราะบุตรบ้านนั้นครบเดือน อีกฝ่ายส่งข่าวมาบอกจึงจะไม่ไปก็กระไรอยู่ จึงให้หลัวหย่งจื้อกับชุ่ยอวิ๋นไปแทน
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร ข้ามาเยี่ยมท่านกับจวิ้นเกอร์อยู่แล้ว พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ค่อยมาเยี่ยมครั้งหน้า!”