ตอนที่ 284-1 ความจริงขององค์หญิง
การที่โจรป่าหน้าตาดุดันกลุ่มหนึ่งยกเก้าอี้เตี้ยมานั่งอยู่ท่ามกลางยายๆ ป้าๆ กลุ่มใหญ่นับเป็นเรื่องที่น่าตกใจโดยแท้จริง ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ พวกเขายังพูดคุยกันได้เสียด้วย
“ยาย กะละมังเหล็กบ้านเจ้าเหตุใดจึงไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย แค่ใส่น้ำก็รั่วแล้ว ทำข้าเสียแรงเปล่าแบกจากตีนเขาขึ้นไปถึงยอดเขาหมดเลย!”
“ป้า แป้งทอดงาบ้านเจ้าน่ะ ใส่น้ำตาลน้อยเกินไป ไม่หวานเลย!”
“พี่สาว พวกเจ้าโดนหลอกขายแล้วล่ะ ธูปหน้าหลุมศพของตระกูลเจ้ามีแค่ครึ่งบนที่เป็นของดี อีกครึ่งมีแต่ทราย จะจุดยังจุดไม่ติดเลย!”
ยายคนนั้น “…”
ป้าคนนั้น “…”
พี่สาวคนนั้น “…”
…
“นี่ก็สายมากแล้ว ข้าต้องกลับแล้ว” เฉียวเวยมองท้องฟ้าที่ตะวันเริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้วลุกขึ้นบอกลา
ชีเหนียงไปส่งเฉียวเวยออกจากบ้าน เอ่ยพร้อมยิ้มอย่างอ่อนหวานว่า “ฮูหยินไปเถิด ช้าจะจัดการงานในโรงงานให้เอง”
เฉียวเวยคอยหันกลับไปมองประตูใหญ่ที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง “เรื่องคนในครอบครัวของเสี่ยวเวยขอฝากเจ้าด้วย ดีร้ายอย่างไรก็เป็นการค้าที่สุจริต หากพวกเขาทำงานได้ดี โรงงานจะไม่เอาเปรียบพวกเขาแน่นอน”
ชีเหนียงระบายยิ้ม “ฮูหยินวางใจเถิด พวกเขาต้องตั้งใจทำงานแน่”
เหล่าโจรป่าที่ตั้งใจทำงานเวลานี้กำลังถูกท่านยาย ท่านป้า ท่านน้า ท่านพี่วิ่งถือรองเถ้าไล่ตีกันจนกระเจิดกระเจิงไปหมด วิ่งจากตะวันออกไปถึงตะวันตก แล้วก็วิ่งจากตะวันตกกลับมาตะวันออก พอหลบไปได้คนหนึ่งก็มีอีกคนพุ่งเข้ามา คู่ต่อสู้ไม่เพียงกรูกันเข้ามาคนแล้วคนเล่า แต่ยังรุนแรงกันประมาณหนึ่งเสียด้วย ทั้งคว้า ขยำ หยิก ดึง ทึ้ง! ตี ฟาด ผลัก ตบ เตะ! ผรุสวาทด่าทอเขย่าแขนกันให้วุ่น เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ใหม่แห่งโลกของโจรป่าเลยทีเดียว
วันแรกของการทำงานผ่านไปอย่างเผ็ดร้อนและดุดัน
ตอนเฉียวเวยกลับไปถึงบ้านตระกูลจีเพิ่งพ้นเวลามื้ออาหารไป ในขณะที่กำลังคิดจะหาอะไรกินง่ายๆ พอให้อิ่มท้องนั้น กลับเห็นเยียนเอ๋อร์กับฉานเออร์เดินออกมาจากห้องครัวเล็กพร้อมถาดอาหารคนละถาด บนถาดนั้นมีอาหารหน้าตางดงามน่ากินวางอยู่ ดูสมบูรณ์กว่าอาหารในบ้านทั่วไปเสียอีก
“วันนี้เป็นวันอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
เยียนเอ๋อร์กับฉานเอ๋อร์พอเห็นเฉียวเวยก็ย่อเข่าทำความเคารพ “ฮูหยินน้อย”
เยียนเอ๋อร์เอ่ยด้วยความยินดีว่า “คุณหนูใหญ่กลับมาเจ้าค่ะ เวลานี้กำลังพูดคุยกับคุณชายรองอยู่ในห้องแหนะเจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยให้ปี้เอ๋อร์ยกของกลับไปที่ห้อง ส่วนตนเบี่ยงเท้าเดินไปทางห้องของใต้เท้าเจ้าสำนัก เฉียวเวยไม่ได้แปลกใจกับการที่จีหว่านมาเยี่ยมที่บ้านเท่าไรนัก ตั้งแต่วันนั้นที่พวกเขากลับมาถึง จีหมิงซิวก็ส่งข่าวเรื่องน้องชายไปให้จีหว่านแล้ว เดิมทีคิดจะกล่อมน้องชายให้ดีก่อนแล้วค่อยพาน้องชายไปเยี่ยมจีหว่านที่บ้านอีกที แต่ด้วยนิสัยของจีหว่านนางทนรอจนถึงวันนั้นไม่ไหว
จีหว่านตั้งครรภ์เมื่อตอนต้นเดือนสิบ เวลานี้ก็ผ่านมาหกเดือนกว่าแล้ว นางอยู่ในกระโปรงเอวสูงทรงหลัวสีน้ำตาล เสื้อคลุมยาวสีขาวหยกตัดน้ำเงิน ก่อนหน้านี้นางรักการแต่งกายเป็นที่สุด แต่เวลานี้กลับรวบผมเป็นทรงเรียบง่าย ปักปิ่นทองหางนกยูงเพียงหนึ่งเล่ม มองดูเรียบง่ายสบายๆ แต่กลับไม่ยังไม่เสียความสูงสง่าไป
นางเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก ดูจากด้านหลังแล้วแทบมองไม่ออกว่านางกำลังตั้งครรภ์ แต่หากเดินอ้อมมาข้างหน้าจะเห็นว่าใบหน้านางเปล่งประกายอบอุ่นอย่างคนจะเป็นมารดาออกมา จึงง่ายที่เดาออกว่านางกำลังจะเป็นแม่คน
ก่อนหน้านี้เวลาเฉียวเวยได้พบจีหว่านมักรู้สึกว่านางงดงามจนเกินไป แต่วันนี้กลับพบว่าลักษณะของนางคล้ายจะซ้อนทับกับองค์หญิงเจาหมิงที่ในภาพวาดยิ่งนัก
ไม่รู้เป็นเพราะรูปลักษณ์ของนางพาให้คนใจสั่นเกินไปหรือไม่ จีหว่านดึงมือใต้เท้าเจ้าสำนักมาจับ ใต้เท้าเจ้าสำนักถึงกับไม่สะบัดออกเสียด้วย ต้องรู้ก่อนว่าอีตานี่ไม่ชอบให้คนอื่นมาถูกเนื้อต้องตัวที่สุดแล้ว
ยากนักที่เขาจะมีช่วงเวลาที่ว่าง่ายเช่นนี้ เฉียวเวยชะงักอยู่ตรงหน้าประตู หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปรบกวนคู่พี่สาวน้องชายในเวลานี้
เฉียวเวยปิดประตูกลับลงเงียบๆ เยียนเอ๋อร์เดินเข้ามา เฉียวเวยทำท่าบอกว่าอย่าส่งเสียง เยียนเอ๋อร์เลยเอามือปิดปาก เหลือบมองด้านในเล็กน้อยก่อนจะถอยออกไปอย่างรู้งาน
ในขณะที่กับข้าวอุ่นร้อนไปแล้วสองครั้ง จีหว่านก็เดินออกมาจากห้องใต้เท้าเจ้าสำนัก พอเห็นว่าในห้องด้านหน้ามีแสงไฟสว่างอยู่จึงผลักประตูเดินเข้ามา
“พี่หว่าน” เฉียวเวยเอ่ยทักทาย
“เขาหลับไปแล้ว” จีหว่านเอ่ยยิ้มๆ
เฉียวเวยยกเก้าอี้มาให้จีหว่านนั่งลง แล้วจึงส่งตะเกียบไปให้ “เช่นนั้นไว้รอเขาตื่นแล้วค่อยให้คนทำมื้อดึกให้เขากินสักหน่อยก็แล้วกัน”
จีหว่านเอ่ยชมเฉียวเวยอย่างน้อยครั้งจะได้ยินว่า “ลำบากเจ้าที่เป็นพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว”
เฉียวเวยตอบอย่างมีมายาทว่า “สมควรแล้ว” ระหว่างที่พูดก็ตักน้ำแกงไก่มาชามหนึ่ง ปาดเอาน้ำมันตรงผิวน้ำออกไปแล้วยื่นไปให้จีหว่าน
จีหว่านเลยช่วงแพ้ท้องมาแล้ว อาหารการกินอะไรเหมือนคนปกติทุกอย่าง นางยกน้ำแกงขึ้นดื่มอึกหนึ่งก็เห็นว่ารสชาติไม่เลว อร่อยกว่าที่จวนกั๋วกงเสียอีก “ข้าอยากมาหาตั้งนานแล้ว แต่ท่านแม่ของพี่เขยเจ้าน่ะเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้ข้าออกจากบ้าน วันนี้นางออกไปเยี่ยมญาติ ข้าถึงได้หาจังหวะออกมาได้”
ถึงกับแอบหนีออกมาเชียวหรือ จิตใจของพี่สาวผู้นี้ไม่ใช่แค่กล้าหาญธรรมดาๆ เลย!
เฉียวเวยเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวหากกั๋วกงฮูหยินกลับมาแล้วพบว่าท่านหนีออกมาแล้วว่ากล่าวท่าน ท่านจะทำอย่างไร”
จีหว่านลูบท้องที่นูนป่อง ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “แค่โดนว่าไม่กี่ประโยคจะเป็นอะไรไป”
เฉียวเวยตักไข่ตู๋นให้นางช้อนหนึ่ง “ท่านกับพี่เขยแต่งงานกันมาสิบปีถึงได้มีบุตรคนนี้มา กั๋วกงฮูหยินย่อมต้องระมัดระวังเป็นที่ยิ่ง เกรงว่าจะไม่ปล่อยท่านไปง่ายๆ เช่นนั้น”
จีหว่านกินไข่ตุ๋มในชามเสร็จก็บอกว่า “วางใจเถิด ต่อให้นางอารมณ์ร้ายเพียงใดก็กล้าแค่พร่ำบ่นกับพี่เขยเจ้าเท่านั้น ไม่กล้าอาละวาดมาถึงข้าจริงๆ หรอก นางกลัวจะกระทบกระเทือนเด็กในท้อง”
เฉียวเวยลูบท้องอีกฝ่าย ทำเสียงจึ๊ๆ ก่อนเอ่ยว่า “มีป้ายอภัยโทษอยู่นี่นี่เอง”
หลังจากกินข้าวเสร็จท้องฟ้าก็มืดสนิทไปแล้ว เดิมทีจีหว่านคิดจะอยู่รอเจอจีหมิงซิวกับจิ่งอวิ๋นวั่งซูก่อนแล้วค่อยกลับ แต่ก็จนใจที่พวกเขาไม่กลับมาเสียที เลยจำต้องขอตัวกลับไปก่อน
เฉียวเวยออกไปส่งนาง
ระหว่างทาง จีหว่านสอบถามเรื่องของน้องชายกับเฉียวเวยไม่น้อย เฉียวเวยตอบนางทุกคำถาม รวมถึงฐานะแท้จริงของเขาบนเกาะนิรนามก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง
จีหว่านได้แต่ทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าควรยินดีหรือควรสงสาร มีชีวิตรอดมาได้นับเป็นเรื่องดี แต่การมีชีวิตที่อนาถาเพียงนั้น ก็ยังอดรู้สึกสงสารไม่ได้
เฉียวเวยเห็นสีหน้านางดูเหนื่อยล้า จึงหันไปมองทางศาลาในสวนแล้วถามว่า “อยากจะพักสักหน่อยหรือไม่”
จีหว่านพยักหน้า เฉียวเวยเข้าไปนั่งในศาลาด้วย พอคิดถึงเรื่องที่น้องชายต้องประสบพบเจอ นางก็ทอดถอนใจออกมาอีกครั้ง “หากกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าเขาถูกเจ้าคนขี้เหล้านั่นพาตัวไปที่เกาะนิรนาม นี่เรียกว่าได้เจอเรื่องดีหลังจากโชคร้ายแน่หรือ”
คำถามนี้เล่นเอาเฉียวเวยถึงกับตอบไม่ถูก ชีวิตของใต้เท้าเจ้าสำนักหลังจากถูกจับตัวไปนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างแน่นอน เขาถูกพ่อเลี้ยงทำร้าย ถูกมิตรสหายรังแก เดี๋ยวต้องทนหิวเดี๋ยวต้องทนหนาว การที่เขาเติบโตมาได้อย่างชอกช้ำเช่นนี้นับว่าอัศจรรย์มากแล้ว แต่หากเขาไม่ถูกลักพาตัวไป เรื่องอาหารการกินอยู่อาจไม่ต้องเป็นกังวล แต่อาจได้กลายเป็นไม้ตายที่คู่อริใช้ต่อกรกับตระกูลจี
ดังนั้นแบบไหนที่ง่ายกว่า เฉียวเวยก็บอกไม่ได้เช่นกัน
“อีตาขี้เหล้านั้นตายไปแล้วรึยัง” จู่ๆ จีหว่านก็ทำหน้าดุ หากยังไม่ตาย นางจะไปจัดการให้เขาตายเอง! เอาให้เขาตายสักร้อยครั้ง! บังอาจกล้ารังแกน้องชายของนาง คงเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ! แล้วยังพวกนั้นที่ไม่มีลูกแล้วมาซื้อน้องชายของนางไป พอมีลูกก็ทอดทิ้งน้องชายนาง ทางที่ดีอย่าให้นางตามหาตัวเจอเชียว ไม่อย่างนั้นนางจะบีบคอพวกเขาให้ตายให้หมด!
เฉียวเวยตบหลังมือนาง “อย่าได้โกรธเกรี้ยวไป กำลังตั้งครรภ์อยู่นะ”
จีหว่านทำท่าสูดหายใจเข้าลึกๆ
เฉียวเวยพูดต่อว่า “อีตาขี้เหล้านั่นตายไปนานแล้ว ส่วนสองสามีภรรยานั่นก็ป่วยตายไปแล้วเช่นกัน”
อย่างนี้ค่อยพอสบายใจหน่อย! จีหว่านพ่นลมหายใจด้วยความสบายใจ “จะว่าไปเถ้าแก่เนี้ยโรงสุรานั่น ข้าควรขอบคุณในน้ำใจนางสักหน่อย”
เฉียวเวยระบายยิ้มบาง “หมิงซิวขอบคุณนางไปแล้ว”
จีหว่านแหงนหน้ามองพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า เอ่ยกึ่งทอดถอนใจว่า “หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่แล้วได้เห็นน้องชายกลับมา นางจะต้องดีใจมากเป็นแน่”
“วิญญาณองค์หญิงที่อยู่บนสวรรค์ต้องรับรู้แน่” เฉียวเวยเอ่ยปลอบ
จีหว่านพยักหน้า
เฉียวเวยดูลังเลก่อนจะถามว่า “พี่หว่าน หมิงซิวสงสัยว่า ‘การตาย’ ของหมิงเยี่ยเพราะมีคนวางยาเสมือนตายให้เขา คนร้ายน่าจะเป็นคนที่มีโอกาสเข้าใกล้หมิงเยี่ยได้ ท่านมีสงสัยใครในใจหรือไม่”
จีหว่านส่ายหน้า “ข้าคิดไม่ออก”
เฉียวเวยลูบคาง “ตอนนั้นคนที่เข้าถึงตัวหมิงเยี่ยได้มีหลายคนหรือ”