ตอนที่ 290-1 ถูกจับได้
ตกกลางคืน แต่ละเรือนตั้งโต๊ะสำหรับมื้อเย็น ของเรือนสี่ดูจะอุดมสมบูรณ์ที่สุด
ท่านเขยฉินนั่งอยู่ทางด้านขวาของจีซวง ถัดจีซวงไปทางด้านซ้ายคือฉินเฉียว จีซวงคีบห่านย่างให้ฉินเฉียวชิ้นหนึ่งพลางเอ่ยด้วยความสีหน้าเป็นมิตรว่า “พ่อครัวเติ้งเดิมทีเป็นพ่อครัวหลวงอยู่ในวัง แต่เพราะพี่ใหญ่ชอบอาหารที่เขาทำ ข้าเลยไปขอตัวพ่อครัวเติ้งมาจากฝ่าบาท อาหารขึ้นชื่อของพ่อครัวเติ้งก็คือห่านย่าง ห่านย่างที่เขาทำไม่มีกลิ่นสาบสักนิด หนังก็กรอบและมีรสหวานปะแล่มๆ ให้รสสัมผัสดีมาก เจ้าลองชิมดูสิ”
ฉินเฉียวหลุบตาลงชิมคำหนึ่ง
“เป็นอย่างไรบ้าง” จีซวงถามยิ้มๆ
ฉินเฉียวพยักหน้า
ดวงตาคู่งามของจีซวงเลื่อนไปทางท่านเขยฉิน “น้องสาวท่านช่างประหยัดวาจาเสียจริง”
ท่านเขยฉินจึงตอบว่า “นางก็เป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
จีซวงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หามิได้ พูดน้อยก็มีข้อดีเหมือนกัน ถ้าวันๆ เอาแต่พร่ำพูดไม่หยุดอย่างหว่านอวี๋นั่นข้าก็คงรับไม่ไหว”
ท่านเขยฉินเลยระบายยิ้ม
จีซวงเริ่มคีบอาหารให้เขา “ช่วงนี้อากาศแห้ง เจ้ากินหัวไชเท้ามากๆ หน่อย ข้าจำได้ว่ากระเพาะเจ้าไม่ค่อยดี อยู่ข้างนอกอย่าดื่มสุราให้มาก เนื้อก็กินให้น้อย ปลากับกุ้งนี่ข้าไม่ได้ให้คนใส่พริก…”
ท่านเขยฉินจับมือจีซวงไว้แล้วระบายยิ้มอบอุ่น “อย่ามัวแต่เป็นห่วงข้าเลย เจ้าเองก็กินด้วยสิ สองวันนี้ข้าไม่ได้อยู่ที่จวน ลำบากเจ้าดูแลเจ้าห้าแล้ว”
จีซวงตักน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมให้เขาถ้วยหนึ่ง “ลูกของตัวเองจะลำบากอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็ไม่ได้หายไปหลายวัน แค่คืนเดียวเท่านั้น ข้าจัดการได้ แต่คืนนี้เจ้าต้องอยู่เป็นเพื่อนเจ้าห้าให้มากๆ นะ”
ท่านเขยฉินนิ่งไปก่อนจะตอบยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้”
จีซวงเขยิบเข้าไปใกล้เขา เอ่ยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มว่า “อยู่เป็นเพื่อนข้าด้วย”
ฉินเฉียวกินอาหารของตนไปเงียบๆ คล้ายไม่เห็นท่าทีสนิทสนมของสองสามีภรรยากระนั้น
ท่านเขยฉินเหลือบมองฉินเฉียวทีหนึ่ง สีหน้าดูขอโทษขอโพย แล้วจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “น้องยังอยู่ที่นี่เลย ระวังหน่อย”
มือที่วางอยู่บนโต๊ะของจีซวงเลื่อนไปวางตรงต้นขาของท่านเขยฉินแล้วกระซิบบอกว่า “นางไม่ใช่เด็กสาวเสียหน่อย มีอะไรไม่เข้าใจกัน”
ท่านเขยฉินเลยได้แต่ระบายยิ้ม คีบเยื่อไผ่ชิ้นหนึ่งให้จีซวง “กินข้าวก่อนนะ”
ฉินเฉียวกินข้าวในชามไปคำใหญ่หลายคำเสร็จก็วางตะเกียบลง หลุบตาแล้วเอ่ยว่า “ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ขอตัวกลับห้องก่อน”
จีซวงอมยิ้มมองนาง “กินน้อยเท่านี้เองหรือ ยังไม่อิ่มกระมัง”
“อิ่มแล้ว ขอบคุณ…พี่สะใภ้ใหญ่” ฉินเฉียวลุกขึ้นทำความเคารพ
จีซวงส่งยิ้มสดใส “คนครอบครัวเดียวกันอย่าได้เกรงใจเพียงนี้ ข้าเห็นเจ้ากินไปนิดเดียว อีกเดี๋ยวหากหิวขึ้นมาก็สั่งเถาจือให้ทำของว่างมื้อดึกให้เจ้ากินได้นะ”
“เจ้าค่ะ” ฉินเฉียวก้มหน้ารับคำแล้วหมุนตัวออกจากห้องไป
“ท่านพี่ นางเป็นน้องสาวท่านจริงๆ หรือ” จีซวงถามด้วยความสงสัย
ท่านเขยฉินที่กำลังตักน้ำแกงกินอยู่พลันชะงัก “เหตุใดจึงถามเช่นนี้”
จีซวงตอบเสียงขรึมว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่านางกับเจ้าไม่สนิทสนมกันเลยสักนิด”
ท่านเขยฉินบอกยิ้มๆ ว่า “หลิวเกอร์กับหมิงซิวก็ไม่สนิทกันเหมือนกันมิใช่หรือ นางเป็นน้องสาวต่างบิดาของข้า ตอนนางเกิดข้าก็มาเมืองหลวงได้หลายปีแล้ว ได้เจอหน้ากันจริงๆ เพียงไม่กี่ครั้งทั้งยังไม่ได้พูดคุยกันสักเท่าไร นางจะไม่สนิทกับข้าก็นับว่าไม่แปลกอะไร”
จีซวงบ่นว่า “นางไม่สนิทกับเจ้า แต่เจ้าก็ยังดีกับนางเพียงนี้”
ท่านเขยฉินบอกเสียงนุ่มว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เจ้าวางใจเถิด ข้าดีต่อนางเท่าไร มีแต่จะดีต่อเจ้ามากกว่าเท่านั้น”
จีซวงทำเสียงหึ “ดีกับข้าแต่ก็ยังทิ้งข้าให้อยู่คนเดียวทั้งคืน?”
ท่านเขยฉินวางตะเกียบลง จับมือนางแล้วเอ่ยว่า “ซวงเอ๋อร์คนดี เจ้าให้อภัยข้าเถิด อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย แค่ข้าคิดว่าเมื่อคืนทิ้งเจ้ากับลูกให้อยู่ด้วยกันตามลำพังในจวนแล้วลูกร้องไห้ทั้งคืน ใจข้าก็เจ็บปวดราวกับมีเข็มคอยทิ่มแทงแล้ว”
จีซวงร้องอุทานขึ้นมาคำหนึ่ง “เอาล่ะๆ ข้าไม่พูดแล้ว ข้าก็แค่ตัดพ้อนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวโทษเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าดีกับข้าและลูก ไม่มีทางทำเรื่องที่ผิดต่อข้าแน่นอน เพียงแต่ว่า…ถึงอย่างไรข้าก็เป็นสตรีที่เพิ่งคลอดบุตร ทั้งอ้วนทั้งอัปลักษณ์ เจ้าไม่ได้แตะต้องตัวข้ามานานเพียงนั้น ข้าย่อมต้องคิดมากเป็นธรรมดา”
ท่านเขยฉินบอกเสียงเบาว่า “เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะชดเชยให้เจ้าอย่างดีทีเดียว”
มุมปากจีซวงพลันยกขึ้น แอบยิ้มอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานก็หน้าขรึมลงอีกครั้ง นางถามเสียงเรียบว่า “จะชดเชยอย่างไร”
ท่านเขยฉินเขยิบเข้าไปใกล้ใบหูนาง กระซิบที่ข้างหูนางเบาๆ ใบหน้าจีซวงพลันแดงก่ำ ต่อยอีกฝ่ายเบาๆ ให้หลายที “คนบ้า!”
ท่านเขยฉินจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง “แค่เห็นหน้าเจ้า ข้าก็ทำตัวปกติไม่ได้แล้ว”
สตรีนางใดบ้างที่ไม่ชื่นชอบการพูดคำรักหวานหูเช่นนี้ ในใจจีซวงเกิดความหวานล้ำ แต่กระนั้นก็ยังแสร้งทำเป็นเยือกเย็น “เช่นนั้นหากเจ้าเกิดไปเห็นสตรีนางอื่นเข้าเล่า”
ท่านเขยฉินถามกลับว่า “สตรีในจวนเรามีน้อยงั้นหรือ เจ้าเคยเห็นข้ามองพวกนางสักครั้งหรือไม่”
เรื่องนี้ก็จริงอยู่ จีซวงกับสามีของตนแต่งงานกันมานานเพียงนั้น นางไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมองสตรีนางใดมาก่อน เขาไม่ได้เสแสร้ง แต่เพราะเขาไม่ถูกใจสตรีเหล่านั้นจริงๆ หากจะให้บอกว่าชีวิตนี้เขาเคยทำอะไรผิด ก็คงเป็นครั้งที่เขาลุ่มล่ามกับสวินหลันเมื่อวันเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้นกระมัง “หึ เจ้าไม่เคยมองก็จริง แต่เจ้าเคยกอดมาแล้วนะ! กอดแน่นเสียด้วย ดึงยังดึงไม่ออกเลย!”
ท่านเขยฉินถอนหายใจบอกว่า “ซวงเอ๋อร์! นั่นเพราะข้าดื่มไปมาก! ข้ายังคิดว่ากอดเจ้าอยู่เลย”
จีซวงกรอกตาบนใส่อีกฝ่าย “แม้แต่ข้ากับนางก็ยังแยกไม่ออกงั้นหรือ”
ท่านเขยฉินเอ่ยด้วยความน้อยใจ “ข้าดื่มไปมากจริงๆ ตอนหลังข้ากอดกระโถนก็ยังคิดว่าเป็นเจ้าเลย! ตอนตื่นมาข้ายังเกือบเข้าไปจูบแล้ว…”
“เจ้า…” จีซวงเงื้อกำปั้นขึ้น คิดจะต่อยเขาให้สักสองที แต่พอคิดถึงสภาพตอนนั้นของเขาแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
ท่านเขยฉินดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด สายตาจีซวงพลันสั่นไหว เลื่อนตัวไปนั่งบนตักสามี
เขายิ้มอย่างจนใจ “ซวงเอ๋อร์ ถ้ายังทำเช่นนี้อีก ข้าคงกินข้าวดีๆ ไม่ได้แล้วนะ”
จีซวงกอดคอเขาไว้ มองอีกฝ่ายด้วยความหวานล้ำ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินแล้ว”
“ซวงเอ๋อร์…”
พลั่ก—
ประตูถูกผลักเปิด
ฉินเฉียวเดินเข้ามาพอดีเห็นจีซวงที่นั่งอยู่บนตักท่านเขยฉินกำลังเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไปพอดี สายตานางพลันสั่นไหว รีบก้มหน้าลง ปิดประตูถอยออกไป!
ท่านเขยฉินมองผ้าเช็ดหน้าบนโต๊ะแล้วจับตัวจีซวงขึ้นมา “นางลืมผ้าเช็ดหน้าไว้ที่นี่ ข้าเอาไปให้นางก่อนนะ”
จีซวงเลยไม่พอใจอย่างรุนแรง
…