บทที่ 1189 โอบกอดใต้แสงจันทร์

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1189 โอบกอดใต้แสงจันทร์

บทที่ 1189 โอบกอดใต้แสงจันทร์

กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ด้านนอกม่าน ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองหน้าแดงแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกว่าฉากตรงหน้าของตนนั้นน่าตกตะลึง

เกาเหลียนจือในตอนนี้ ถ้านางจำไม่ผิด อายุน่าจะไล่เลี่ยกับกู้หนิงอัน และมีอายุน้อยกว่าตนเอง

หรือว่าคนสมัยโบราณจะแก่แดดเกินกว่าที่นางคาดคิด

อายุยังน้อย แต่ดูช่ำชองเหลือเกิน

หลังจากกู้เสี่ยวหวานหายจากอาการตกตะลึงก็รู้สึกว่าเขินอายขึ้นมา ดีที่ฉินเย่จืออยู่ข้างนอก ถ้าไม่อย่างนั้น…

กู้เสี่ยวหวานไม่แม้แต่จะคิดเรื่องนี้ หลังจากสั่งให้อาจั่วออกไปแล้ว นางก็ยกโลกเล็ก ๆ ทั้งใบนี้ให้ถังซ่านจู่กับเกาเหลียนจือสองคน

คนสองคน วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ถ้าฟังในทางกลับกัน กู้เสี่ยวหวานไม่ได้มีอะไรที่ชอบแบบนั้น

ฉินเย่จือไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเขาเห็นกู้เสี่ยวหวานออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ในใจก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย

คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ทั้งสองคนนั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านใบเขียวชอุ่มซ้อนเป็นพุ่มชั้น ๆ ล้อมรอบทั้งสองคนจนมองเห็นพวกเขาไม่ค่อยชัด

อาจั่วยืนอยู่ที่ประตูห้อง และฟังการเคลื่อนไหวรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง

เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ภายในบ้านตระกูลเหลียงจึงเงียบสนิท นอกจากเสียงกรนเป็นครั้งเป็นคราวแล้ว ก็ไม่มีเสียงใด

ทั้งสองคนนั่งอยู่บนกิ่งไม้ ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานอย่างระมัดระวัง ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก จนกู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียงหัวใจเต้นของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

แสงจันทร์ที่สว่างไสวน้อยนิดนั้นส่องผ่านต้นไม้ลงมากระทบร่างกายของคนทั้งสอง

ตอนออกมานางสวมเสื้อผ้าหนาเตอะ และตอนนี้นางถูกฉินเย่จือโอบกอดอย่างอบอุ่น กู้เสี่ยวหวานจึงสัมผัสได้ถึงเหงื่อที่ชุ่มชื้นอยู่บนฝ่ามือ

เมื่อนึกถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างถังซ่านจู่และเกาเหลียนจือเมื่อครู่แล้ว จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าใบหน้าของนางแดงก่ำ และทำให้รู้สึกอึดอัด

ระยะห่างอันน้อยนิดของเขา ทำให้ฉินเย่จือสังเกตเห็นท่าทางแปลกประหลาดของกู้เสี่ยวหวาน จึงถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “หวานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป”

เนื่องจากความใกล้ชิด กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกได้เพียงเสียงลมหายใจของฉินเย่จือที่พ่นรดบริเวณหูู ทำให้ร่างกายของนางสั่นสะท้าน รู้สึกได้เพียงว่าร่างกายร้อนวาบแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

อาการสั่นเทาของกู้เสี่ยวหวานเมื่อครู่นี้ทำให้ฉินเย่จือตื่นตระหนก เขาจึงกระชับกอดนางแน่นขึ้นเรื่อย ๆ และถามอย่างเป็นห่วงว่า “หวานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร หนาวแล้วใช่หรือไม่?”

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกหน้าแดงซ่าน ใบหน้าเห่อร้อนจนแทบจะต้มไข่ได้

นางพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะระงับความตื่นตระหนก นางส่ายหน้าเป็นพัลวันและบอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะปีนต้นไม้เป็นครั้งแรก”

เดิมทีกู้เสี่ยวหวานต้องการใช้หัวข้อที่ผ่อนคลายจึงเอามันตามมาด้วย แต่ใครจะไปคิดว่า ทันทีที่นางเริ่มพูด พอฉินเย่จือได้ยินก็คลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นอ่อนโยน แต่ด้วยระยะห่างอันใกล้ชิดนี้ กู้เสี่ยวหวานจึงได้ยินเสียงหยอกล้อของฉินเย่จืออย่างชัดเจน

และดูหมือนว่าเสียงลมหายใจของเขาจะขยับเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อย ๆ

กู้เสี่ยวหวานกลั้นหายใจ และรู้สึกหายใจไม่ออก

รอยยิ้มตื้นเขินและลมหายใจอุ่น ๆ ปรากฏขึ้น อีกทั้งยังมีภาพที่เห็นในห้องเมื่อครู่นี้ มันเหมือนเป็นยาพิษที่ทำให้นางรู้สึกเวียนหัว

ในตอนนี้ หากไม่ใช่เพราะฉินเย่จือยังคงกอดนางอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าต้นไม้สูงขนาดนี้ นางคงตกลงไปจนหัวฟาดพื้นแล้วแน่ ๆ

เมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่สบายใจของกู้เสี่ยวหวาน ครั้งนี้ฉินเย่จือจึงไม่กล้าทำอะไรผิดพลาด

เขาขยับออกมาเล็กน้อย เว้นระยะห่างจากกู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานสัมผัสได้ถึงความจริงใจของฉินเย่จือ และรู้สึกได้ถึงการจากลาของเขา กู้เสี่ยวหวานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่การจากลาอย่างกะทันหันในครั้งนี้ ทำให้นางรู้สึกใจหาย

จู่ ๆ ก็คิดถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นและลมหายใจอุ่น ๆ เมื่อครู่

กู้เสี่ยวหวานไม่กล้าคิดอีกและรวบรวมสติ นางพยายามทำจิตใจให้สงบและทำตัวให้เป็นปกติ

แต่ทางนั้น เกาเหลียนจือและถังซ่านจู่สองคนนั้นเหมือนจะลืมเวลาไปแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา

อาจั่วยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างระวังตัวตลอดเวลา เพราะนางรู้ศิลปะการต่อสู้ และยังสามารถได้ยินเสียงที่พูดคุยจากด้านในได้อย่างชัดเจน หรือไม่อาจจะเป็นเสียงหอบ หรือเสียงร้องไห้ของผู้หญิง

“หวานเอ๋อร์” ฉินเย่จือเอ่ยกระซิบข้าง ๆ หูของกู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานพลันสะดุ้งตื่น สิ่งแรกที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบเจอคือ ตนเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่จือ ทั้งท่าทางในตอนนี้ก็ดูคลุมเครือกว่าเมื่อครู่ยิ่งนัก

กู้เสี่ยวหวานกอดเอวของฉินเย่จือไว้แน่น แล้วหนุนศีรษะไปที่แขนของอีกฝ่าย ฉินเย่จือเกรงว่านางจะหนาวก็เลยเอาเสื้อของตัวเองมาคลุมให้นาง

ทั้งสองคนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน

เมื่อนางตื่นขึ้นมาและเงยหน้าขึ้น นางก็พบว่าตนเองอยู่ห่างจากคางของฉินเย่จือไม่ไกล เพียงแค่นางขยับยืดตัวนิดหน่อย ริมฝีปากของนางคงจะจูบคางฉินเย่จือแน่นอน

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ภาพเมื่อครู่ก็แวบเข้ามาในความคิดของนางอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเพียงว่าใบหน้าของนางเห่อร้อนไปถึงใบหู จึงรู้สึกละอายใจและตื่นตระหนก แต่เมื่อจะดีดตัวออกห่าง ใครจะไปรู้ ฉินเย่จือก็ไม่ได้ดีไปกว่านาง ทั้งสองคนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ ๆ กิ่งไม้ที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ก็มีเสียงหักดังขึ้น

กู้เสี่ยวหวานไม่ทันได้อุทาน ทั้งสองคนก็ร่วงตกลงไปด้านล่าง

และเมื่อนึกได้ว่าที่นี่คือบ้านตระกูลเหลียง กู้เสี่ยวหวานก็รีบปิดปากตัวเองแน่นไม่ให้ส่งเสียงออกมา และเมื่อตั้งสติได้ ก็ตกลงมาอยู่ที่พื้นอย่างปลอดภัย

ตั้งแต่แรกจนถึงพื้น ฉินเย่จือก็กอดนางไว้ตลอด และไม่ปล่อยให้นางออกห่างจากตัวแม้แต่น้อย

ขาทั้งคู่แตะอยู่บนพื้น กู้เสี่ยวหวานถึงจะรู้สึกวางใจ

แต่นี่เพิ่งจะโล่งใจได้ไม่นาน ก็มีเสียงที่ตะโกนมาจากห้องอื่นว่า “เสียงอะไร”

หลังจากนั้นในห้องก็มีแสงไฟสว่างขึ้น ฉินเย่จือรีบพากู้เสี่ยวหวานหนีไป เมื่อคนผู้นั้นออกมาก็ไม่พบสิ่งใด

เห็นเพียงอาจั่วที่นั่งอยู่หน้าประตูตลอดเวลา ห่มผ้านวมบาง ๆ และเหมือนกับว่าโดนปลุก อาจั่วขยี้ตาและถามอย่างง่วงงุนว่า “หัวหน้าหมู่บ้านเหลียง เกิดอะไรขึ้น”

“เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงมองซ้ายมองขวา นอกจากอาจั่วแล้วก็ไม่เห็นใครอีกเลย จึงอดที่จะไม่ถามอาจั่วไม่ได้

กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ด้านนอกม่าน ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองหน้าแดงแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกว่าฉากตรงหน้าของตนนั้นน่าตกตะลึง

“เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงมองซ้ายมองขวา นอกจากอาจั่วแล้วก็ไม่เห็นใครอีกเลย จึงอดที่จะไม่ถามอาจั่วไม่ได้