บทที่ 1165 บทที่หนึ่งพันหนึ่งร้อยหกสิบห้าแล้ว
กู้เฉิงเซวียนนึกถึงญาติคนนั้นพลางขมวดคิ้ว “แน่นอนว่าผมไม่อยากเกี่ยวดองกับเธออยู่แล้ว และเธอก็ไม่ใช่แบบที่ผมชอบด้วย!”
จ้าวหงเหมยเริ่มสนใจ “แล้วคุณชอบผู้หญิงแบบไหนล่ะ?”
ชายหนุ่มตกใจ ไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะถามอย่างโจ่งแจ้ง
เธอคาดหวังคำตอบแบบไหนอยู่นะ?
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ไม่ว่าใครก็อดไม่ได้ที่จะสนใจขึ้นมา
“ผมชอบคนที่มีอะไร ๆ เหมือนกันกับผม จะดีมากถ้าเป็นคนเรียบ ๆ น่ะ!”
ฐานะบ้านเรามั่งคั่งก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกินหรูอยู่หรูไม่ได้
แต่ตนไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงฟุ่มเฟือย
ให้ดีคงเป็นคนเรียบง่ายดีกว่า
ส่วนนิสัยเขามองว่าไม่มีอะไรที่พอดีอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็คงเป็นผลพลอยจากการค่อย ๆ ปรับตัวเข้าหากันมากกว่า
หากช่องว่างทางทัศนคติไม่ใหญ่จนเกินไปก็เข้ากันได้
จ้าวหงเหมยหัวเราะ
“เงื่อนไขแบบนี้ หาเหมาะ ๆ ได้เยอะนะคะ”
“การไม่มีเงื่อนไขถือเป็นเงื่อนไขที่ดีที่สุดแล้วละ ผมต้องการแบบนี้น่ะ แต่หายากมากเลย”
“พูดเหมือนเสี่ยวเถียนเลยค่ะ”
ทั้งสองคุยกันอย่างมีความสุข ค่อย ๆ รับรู้ถึงความรู้สึกทีละนิด
ส่วนอีกสองคนที่พากันออกมา หาที่นั่งข้างหน้าตาแล้วนั่งคุยกัน
ถึงจะมีความต่างเรื่องอายุแต่เราคุยหัวข้อเดียวกันได้
โดยเฉพาะเรื่องที่เด็กสาวช่วยแก้ปัญหาครั้งนี้ให้ ชุยถงหลานจึงรู้สึกว่าเราได้สนิทกันมากขึ้น
แถมยังคิดอีกว่าเด็กคนนี้คือเทพธิดาโชคดีของเธอ
จากนั้นก็ถามว่าฝึกงานเป็นยังไง อนาคตไปทางไหน อะไรอีกหลายอย่าง
เพราะด้วยวัยของเสี่ยวเถียน มันยังเด็กเกินไปจริง ๆ
ต่อให้ได้เข้าร่วมทำงาน แต่สิ่งนี้ย่อมมีข้อดีข้อเสียอยู่แล้ว ส่วนจะไปในฝั่งไหนมากกว่ากันนั้นยังไม่รู้ชัดหรอก
หลังจากซูเสี่ยวเถียนบอกเรื่องแผนการในอนาคต ชุยถงหลานถึงกับตกใจ
เธอคิดว่าเด็กคนนี้จะเข้าสู่โลกแห่งการเมือง
เพราะมีคนน้อยมากที่จบจากมหาวิทยาลัยแล้วได้ทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ
ไม่มีใครไม่อยากทำงานที่นั่นหรอกนะ
แต่เสี่ยวเถียนกลับไม่คิดเช่นนั้น
“ถึงการทำธุรกิจจะหาเงินได้เยอะ แต่ความทุ่มเทที่เราเสียไปใช่ว่าคนอื่นเขาจะเทียบได้นะ”
ตระกูลชุยของตนถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ มีตั้งแต่ทำงานด้านธุรกิจไปจนถึงลงเล่นการเมือง
ทีแรกคิดว่าเล่นการเมืองคงจะยาก แต่พอได้ติดต่อกับผู้คนเพิ่มมากขึ้น กลับรู้สึกว่าธุรกิจต่างหากที่ทำยาก
หาเงินต้องระวังความเสี่ยง ไม่เช่นนั้นจะสูญเสียทุกสิ่งไป
“หนูรู้ค่ะ แต่หนูสร้างโรงงานแล้ว อนาคตจะต้องขยายเพิ่มต่อไป ไม่มีทางให้ถอยแล้วค่ะ”
ชุยถงหลานยิ้ม “ผลประโยชน์โรงงานเธอในตอนนี้ถือว่าดีนะ พี่ว่าต้องมีคนสนใจไม่น้อยแน่ ๆ ถ้ายินดีขายมันจะต้องทำกำไรได้มหาศาลแน่”
“มันไม่ได้ทำกันง่าย ๆ นี่แหละค่ะ หนูเริ่มมาตั้งแต่ศูนย์เลยทำใจขายไม่ได้หรอก ต่อให้มันยากขึ้นอีกนิดก็ช่างมัน!”
จากนั้นจึงว่าต่อ “ถึงอนาคตหนูจะล้มเหลว แต่หนูยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอค่ะ หนูยังเด็กอยู่เลยนะ!”
มีอายุเป็นทุนเชียวนะ เธอเข้าเรียนไว้กว่าคนอื่นสี่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ แล้วก็จบไวกว่าด้วย ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้ได้ข้อได้เปรียบ
ตัดสินใจแล้วสินะ
ชุยถงหลานไม่ได้ชักชวน แค่เสนอความเห็นเท่านั้น
ครึ่งชั่วโมงต่อมา คนชั้นบนเดินลงมาข้างล่างแล้ว
เราหยุดคุยแล้วหันไปมอง
ใบหน้าทั้งคู่มีรอยยิ้ม รู้เลยว่าพูดคุยกันได้ดีทีเดียว
ชุยถงหลานเหลือบมองซูเสี่ยวเถียน มุมปากยกยิ้ม
“นี่ก็กินเวลามาพอสมควรแล้ว พี่ว่าพี่กลับดีกว่า!” ในที่สุดก็สบายใจได้เสียที
ทุกวันนี้เอาแต่มีปัญหากับญาติผู้น้องที่ตาไร้แววอยู่ตลอด
กลัวความสัมพันธ์เหล่านั้นจะส่งผลกระทบต่อตนและครอบครัวสามีเอา
เพราะพวกเขาก็แสดงให้เห็นเลยว่าไม่ชอบญาติคนนี้ด้วย
แต่ตัวญาติดันไม่เข้าใจ ยืนกรานจะแต่งด้วยให้ได้
ชุยถงหลานเข้าใจความคิดญาติคนนี้ดี
ตระกูลชุยถือว่าเป็นตระกูลร่ำรวย แม้แต่ในเมืองหลวงเองก็ยังถือว่าพวกเขามีฐานะไม่น้อย
เพราะสภาพความเป็นอยู่ดีมาก ญาติของเธอจึงคิดการใหญ่
หากแต่งเข้าตระกูลกู้ได้ จะต้องได้ใช้ชีวิตอู้ฟู่หรูหราที่ใครต่อใครต่างก็อิจฉา
ทว่ากลับไม่รู้เรื่องหนึ่ง ตระกูลกู้เกลียดคนเกียจคร้าน เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะอยู่บ้านทำตัวเฉย ๆ น่ะ
ขนาดตนยังไม่ได้ทำงานอย่างเป็นทางการ ยังต้องช่วยงานที่ตระกูลตลอดเลย
จ้าวหงเหมยเขินนิดหน่อยตอนที่รู้ว่าชุยถงหลานต้องกลับแล้ว ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
คนอายุมากกว่ายกยิ้ม ต้อนรับอีกฝ่ายให้ไปเที่ยวเล่นที่บ้านด้วย
“ไว้ฉันมีเวลาจะไปเยี่ยมพี่ถงหลานนะคะ” จ้าวหงเหมยพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ
มีหรือที่พี่สาวคนนี้จะมองไม่ออกว่า เด็กตรงหน้าพึงพอใจน้องสามีของตนมาก
แบบนี้ก็ดี ถ้าทั้งสองคนตกลงหารือกันได้ จะได้มีเหตุผลส่งญาติคนนั้นกลับเสียที
“พี่สะใภ้ฝากบอกพ่อแม่ด้วยครับว่าผมยังไม่กลับนะ!” กู้เฉิงเซวียนยิ้ม
เขาให้ความเคารพพี่สะใภ้คนนี้มาก
ถึงจะมาจากตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เธอเป็นผู้หญิงที่มีการศึกษา อ่อนโยน มีเหตุผล และมีบุญคุณต่อพี่ใหญ่มาตั้งแต่สมัยนู่นเลย
เพราะอย่างนั้นต่อให้ตนรำคาญญาติพี่สะใภ้ แต่ก็ไม่ได้โกรธเธอด้วยเหตุผลแค่นี้หรอก
“เข้าใจแล้วจ้ะ งั้นเย็นนี้ไม่ต้องรอกินข้าวนะ หนุ่มสาวเที่ยวเล่นด้วยกันคงดึกกว่าจะกลับ”
ชุยถงหลานจงใจพูดเช่นนั้น พวกเขาอาจจะไปกินข้าวหรือไปดูหนังก็ได้
เธอไม่คิดจะอยู่ทำลายบรรยากาศ จึงขอตัวกลับบ้านไปทำหน้าที่ต่อ
“พี่ถงหลานรอก่อนค่ะ เดี๋ยวหนูห่อผลไม้ไปให้!” ซูเสี่ยวเถียนรั้งเอาไว้
ชุยถงหลานบอก “พี่พูดไปงั้นแหละ ไม่ต้องหรอกจ้ะ”
เชอร์รีกับสตรอว์เบอร์รีราคาแพงมาก ต่อให้หาซื้อได้ก็คงซื้อได้ไม่เยอะหรอก
ตนจึงไม่คิดว่าจะรับไว้ได้
“แต่มันเก็บนานไม่ค่อยได้นะคะ หนูซื้อมาเยอะมากเลย ถ้าเก็บไว้จะไม่สดแล้วน่ะสิ!”
ตอนนั้นเองที่เหลียงซิ่วหิ้วตะกร้าเข้ามาหา
ในตะกร้ามีสตรอว์เบอร์รีและเชอร์รีอย่างละครึ่ง
“ถงหลานเอากลับไปให้ที่บ้านลองเถอะจ้ะ!” เหลียงซิ่วยัดใส่มือ
ชุยถงหลานจึงต้องหยุดลงแล้วยิ้มขอบคุณ
ทั้งสามกลับไปแล้ว เด็กสาวเฝ้ามองพวกเขาเดินออกจากร้าน
ฝั่งชุยถงหลานแยกตัวออกมาคนเดียว
ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นเป็นเรื่องของพวกเขา เราเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก