บทที่ 1171 คนอะไรคิดขุมหลุมฝังตัวเอง?

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 1171 คนอะไรคิดขุมหลุมฝังตัวเอง?

บทที่ 1171 คนอะไรคิดขุมหลุมฝังตัวเอง?

ตอนแรกซูเสี่ยวเถียนบอกพี่ชายว่าจะเปิดกิจการในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า

ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะเปิดครบทุกห้าชั้นเสียหน่อย

ตามแผนคือจะเปิดสองชั้นแรกก่อน โดยเป็นร้านอาหารหออีหมิงชั้นหนึ่ง ตามด้วยชั้นสองคือร้านปิ้งย่างหออีหมิงและร้านหม้อไฟหออีหมิง

เธอตั้งใจให้ฐานลูกค้าจากสองชั้นนี้แน่น ๆ ก่อนสักครึ่งเดือน แล้วจึงค่อยเปิดชั้นสาม

อีกสักพักก็ตามด้วยชั้นสี่และชั้นห้า

เปิดทีเดียวน่าจะลำบาก เพราะซูเสี่ยวซื่อไม่อยู่

อีกทั้งสามชั้นที่เหลือยังไม่เสร็จดีเลย

แต่เจ้าตัวดันเข้าใจผิด

คิดว่าจะเปิดรวดเดียวทุกชั้น

ถึงจะลำบากไปหน่อยแต่ขอแค่หาเงินได้อะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น

แม้ในตึกส่วนใหญ่จะเป็นของน้อง แต่เขาเองก็ลงทุนด้วยเหมือนกัน

เราตกลงกันไว้แต่แรกแล้วด้วยว่า การบริหารชั้นสามขึ้นไปเป็นของซูเสี่ยวซื่อ

ส่วนรายได้สุทธิที่ได้ก็มอบให้น้องตามอัตราส่วนที่เราตกลงกันไว้

คุณความดีของซูเสี่ยวซื่อขอแค่หาเงินได้ เขาย่อมเอาชนะความยากลำบากได้ทั้งนั้น

ชายหนุ่มง่วนกับการจัดเตรียมพื้นที่ทั้งสามชั้นทั้งวันทั้งคืน

แม้กระทั่งคุณปู่คุณย่าซูที่มักเห็นหลานชายรกหูรกตายังปวดใจไปด้วย

ซูเสี่ยวเถียนช่วยเตรียมเท่าที่จะทำได้

ตอนนี้เธอดูแลข้อมูลการรับสมัครคนงาน และฝึกอบรมก่อนเข้าทำงานจริง

กอปรกับมีเพื่อนทำงานอยู่สมาคมหนังสือพิมพ์ เลยเชิญนักหนังสือพิมพ์มาให้การสัมภาษณ์เป็นพิเศษ

สมัยนี้มีโฆษณาเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่มีแต่ธุรกิจใหญ่โต

มีแค่คนกลุ่มนี้เท่านั้นที่มีเงินทุนมหาศาล จึงมีปัญญาจ่ายค่าโฆษณาไหว

คราวนี้เด็กสาวจึงหาวิธีใหม่ที่ไม่ต้องโฆษณาโปรโมตศูนย์การค้าเฉย ๆ

เนื่องจากมันเป็นศูนย์การค้าที่มีการบริหารแบบผสม ด้วยการรวมทั้งร้านอาหารและร้านค้าเข้าด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นแนวคิดที่ดีไม่น้อย เธอจึงสัมผัสได้ว่าทางสมาคมหนังสือพิมพ์ต้องสนใจแน่

แน่นอนว่า หลังจากพูดคุยกันสั้น ๆ นักหนังสือพิมพ์บางส่วนได้แสดงความสนใจออกมา

ในเมื่อจะทำย่อมไม่ต้องการให้น้อยหน้าใคร

นักหนังสือพิมพ์รู้กันดี ในเมื่อจะหาคนสักคน คนอื่นย่อมตามมาติด ๆ

ในไม่ช้า เสี่ยวเถียนก็ได้เชิญนักหนังสือพิมพ์ทั้งสี่ท่านจากสมาคมดี ๆ ในเมืองหลวงมาได้

ตัวเธอไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก อะไรที่ควรจะแสดงท่าทีออกมาได้ย่อมทำทั้งนั้น

เพราะนักหนังสือพิมพ์สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว กอปรกับสิ่งที่ซูเสี่ยวเถียนทำถือว่ามีสไตล์ก็เลยตอบตกลง

เงินที่เด็กสาวจ่ายให้น้อยกว่าทางสมาคมจ่ายให้มาก แต่พวกเขายังคงพึงพอใจอยู่ดี

เพราะไม่ว่าจะจ่ายค่าโฆษณาให้ทางสมาคมเท่าไรย่อมไม่ตกมาถึงมือเรา

แต่เด็กคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น ๆ เธอให้ซองแดงกับเราโดยตรง ซึ่งถือเป็นค่างานเขียนของเราเอง

และผลลัพธ์ก็น่าพอใจตรงที่นักหนังสือพิมพ์กลุ่มนี้แอบคิดว่าจะต้องเขียนออกมาให้ดีเพื่อให้ทุกคนในเมืองหลวงได้ทราบว่ามีศูนย์การค้าเปิดใหม่ในเมืองหลวง

การช็อปปิงควรจะทำให้ครบวงจร ไม่ว่าจะของใช้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้ารองเท้าย่อมต้องมีขาย

ระหว่างนั้นได้มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น

ขณะที่เด็กสาวกำลังง่วนกับการแปลเอกสาร ก็มีโทรศัพท์ในสำนักงานดังขึ้น

ถังผิงเป็นคนรับสาย พอได้ยินว่าปลายสายอยากคุยกับซูเสี่ยวเถียนจึงให้เธอมารับช่วงต่อ

เด็กสาววางปากกาแล้วเดินไปรับ มืออีกข้างม้วนสายโทรศัพท์เอาไว้

“สวัสดีค่ะ ซูเสี่ยวเถียนพูดค่ะ”

ก่อนเสียงกังวลของคุณย่าซูจะดังออกมา

[เสี่ยวเถียนหนูรีบกลับมาเร็ว มีคนมาหาย่าแล้วบอกว่าอาคารที่เราสร้างผิดกฎหมาย ให้รื้อถอนทันที!]

ซูเสี่ยวเถียนตกใจมาก

นี่มันอะไรกัน จะผิดกฎหมายได้ยังไง?

เธอจำได้ว่าต้องรออีกสองสามปีนู่นถึงจะมีกฎหมายเรื่องการก่อสร้างผิดกฎหมายออกมาอย่างเป็นทางการ

ตอนนี้ก็ทำได้แค่ยกเรื่องนี้มาพูดเฉย ๆ เท่านั้น

แล้วทำไมถึงมีคนมาหาแล้วบอกว่าตึกเรามันผิดกฎหมายกัน?

คุณย่าซูเป็นกังวลเมื่อไม่ได้ยินคำตอบ

[เสี่ยวเถียน ย่าไม่ได้เรียนหนังสือมา ย่าไม่รู้ว่าอาคารผิดกฎหมายคืออะไร หนูกลับมาดูหน่อย พี่สี่ไปไหนก็ไม่รู้ เวลาคับขันแท้ ๆ แต่หาตัวไม่เจอเลย!]

เพราะกำลังคิดอยู่ แต่เมื่อได้ยินเสียงย่าจึงได้สติขึ้นมา

อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องกฎหมายนั่นเริ่มใช้เมื่อไรเลย สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้เถอะ

ซูเสี่ยวเถียนคว้ากระเป๋าก่อนจะเอ่ย “ถังผิง ฉันไปข้างนอกก่อนนะ ฝากบอกผู้ดูแลไช่หน่อยนะ”

อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นย่อมรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

“ให้ช่วยอะไรไหมเสี่ยวเถียน?” ถังผิงถามด้วยความเป็นห่วง

เธอส่ายหน้า “เดี๋ยวไปดูสถานการณ์ก่อน น่าจะมีคนตั้งใจมาสร้างปัญหาให้ที่บ้านน่ะ”

“มีเรื่องอะไรก็โทรมานะ จะได้ช่วย ๆ กัน”

ตั้งแต่เราได้มาเป็นมิตรกัน ก็เข้าขาได้เป็นอย่างดี

ตัวถังผิงที่เคยคิดว่าซูเสี่ยวเถียนเข้ามาฝึกงานโดยใช้เส้นสายได้กลายเป็นชอบเพื่อนคนนี้มาก

“ได้เลย!” ซูเสี่ยวเถียนตอบรับทันทีแล้วรีบจากไป

คล้อยหลังเจ้าตัว เยี่ยไคอวี่กลับโมโหขึ้นมา

“ถังผิง ทำไมเธอต้องประจบซูเสี่ยวเถียนด้วย? เพราะโดนปฏิเสธหรือไง?”

ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด แต่เมื่อมาถึงกระทรวงต่างประเทศกลับพบว่ามีหลายคนที่เก่งกว่ามาก

ว่าก็ว่าเถอะ เขาแย่ที่สุดในกลุ่มเด็กฝึกงานเลยด้วย

เมื่อก่อนเขาทำเป็นขยันทำการทำงานเพื่อที่จะได้อยู่ในกระทรวง

แต่หลังจากรู้ว่าไม่มีโอกาสจึงปล่อยตัวทันที

ถังผิงได้ยินก็ไม่พอใจ

“เยี่ยไคอวี่ เราเป็นเพื่อนร่วมงานกันนะ ทำไมนายต้องพูดจาแย่ ๆ ขนาดนั้นด้วย?”

อะไรคือการประจบ?

มันก็แค่ดูแลกันและกันไม่ใช่หรือ?

ยิ่งสนิทกับคนคนนี้มากเท่าไร ยิ่งเจอแต่ปัญหามากเท่านั้น

“เพราะรู้ว่าซูเสี่ยวเถียนมีเส้นสาย ได้ทำงานที่นี่ต่อก็เลยประจบสินะ ทำไม ทีตัวเองพูดได้ทำไมฉันจะพูดไม่ได้?”

เยี่ยไคอวี่ไม่รู้เรื่องครอบครัวของถังผิง แต่เกือบทุกคนในกระทรวงล้วนรู้ว่าซูเสี่ยวเถียนมีเส้นสาย

เขาจึงคิดไปโดยปริยายว่า ถังผิงพยายามประจบคนคนนั้นเอาไว้เพื่อที่ตัวเองจะได้ทำงานที่นี่บ้าง

“ไม่คิดบ้างหรือว่าเส้นสายซูเสี่ยวเถียนใหญ่ขนาดไหนน่ะ ตัวเองจะไปช่วยเขาได้ยังไง?”

ประโยคนั้นทำให้ถังผิงตระหนัก

ก็จริง ทุกคนรู้ว่าซูเสี่ยวเถียนเหนือกว่าทุก ๆ คน

เส้นสายของเธอไม่สามารถยิ่งใหญ่ไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว!

แล้วทำไมยังมีคนคิดขุดหลุมฝังตัวเองอยู่อีกล่ะ?