ตอนที่ 294-1 ความลับสะเทือนฟ้า ราตรีอันรื่นรมย์
จีซวงนั่งทายาให้บุตรชายอยู่ในห้อง เถาจือเปิดผ้าม่านเดินเข้ามาถามเสียงเบาว่า “ฮูหยิน แม่นางฉินบอกว่า…อยากออกไปข้างนอกสักหน่อยเจ้าค่ะ”
จีซวงตักยาขึ้นมาช้อนหนึ่งด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ “นางอยากไปก็ให้ไป จะมาบอกข้าทำไม”
เถาจือรู้ว่าเรื่องที่ท่านเขยช่วยฉินเฉียวนั้นฝังใจฮูหยินของตนไปแล้ว เวลานี้เกรงว่าฮูหยินคงจะไม่อยากได้ยินชื่อฉินเฉียวนี้อีกแล้ว นางจึงไม่อ้อมค้อม เอ่ยออกไปตรงๆ ว่า “แม่นางฉินบอกว่าอยากออกไปเดินเล่นคนเดียว ไม่พาบ่าวไปด้วยเจ้าค่ะ”
จีซวงวางขวดยากระแทกลงบนโต๊ะ “ไม่เอาไปก็ไม่ต้องเอาไป ต่อไปเรื่องของนางไม่ต้องเอามารายงานข้าแล้ว!”
“เจ้าค่ะ” เถาจือใจเต้นระส่ำ ถอยออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง นางเป็นสาวใช้ในห้องนอนที่จัดให้อยู่ในห้องของท่านเขย ฮูหยินไม่รู้ว่าเอ่ยต่อหน้านางกับท่านเขยกี่ครั้งว่าให้ท่านเขยรับนางไว้คอยปรนนิบัติ แต่ท่านเขยก็ไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น นางนึกยินดีทั้งยังไม่เคยกล้าที่จะคิดฝันในเรื่องนี้ ฮูหยินสนใจเรื่องหน้าตา ถึงปากจะแสดงออกถึงความใจกว้างเพียงใด แต่เนื้อแท้ภายในขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงถึงท่านเขย นางก็มักจะใจแคบอย่างมากเสมอ
แม่นางฉินผู้นี้อาศัยฐานะที่ตนเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่านเขยมาแย่งความโปรดปรานของท่านเขยกับฮูหยิน ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยจริงๆ
ฉินเฉียวออกจากจวนไป
จีซวงทายาให้บุตรชายแล้วให้แม่นมอุ้มออกไป ไม่นานท่านเขยฉินก็กลับมาจากห้องหนังสือ เมื่อครู่ทั้งสองดื่มด่ำดูดดื่มกันไปยกหนึ่ง บนหน้าท่านเขยฉินจึงยังมีรอยยิ้มได้ใจจากความรื่นรมย์นั้นอยู่ เขาเดินเข้าไปกอดไหล่จีซวงไว้อย่างสนิทสนม จีซวงทำเสียงจึ๊ด้วยความรำคาญแล้วเอามือเขาออก
เขาเลยก้มลงไปหอมแก้มนางทีหนึ่ง
จีซวงถลึงตาใส่เขา แต่ถึงอย่างไรก็ถูกเขาง้อจนอ่อนยวบยาบไปหมดแล้ว เวลานี้แม้แต่ยามถลึงตาใส่ยังมีแววกรุ้มกริ่มเจืออยู่
ท่านเขยฉินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ซวงเอ๋อร์ เจ้าช่างงามนัก”
จีซวงจับพู่ไข่มุกตรงข้างหู “งามเท่าน้องสาวเจ้าหรือ”
ท่านเขยฉินทั้งฉิวทั้งขัน “เจ้าไม่ยอมปล่อยผ่านใช่ไหมนี่ ยังต้องให้ข้าอธิบายอีกกี่รอบหรือ ในใจข้า นางสิบคนก็ยังสู้เจ้าคนเดียวไม่ได้”
จีซวงหยิบพุทราขึ้นมาลูกหนึ่ง “ช่างพูดช่างเจรจานัก!”
พูดจบนางก็เหลือบมองเขาทีหนึ่ง พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในชุดอยู่บ้านทั่วไป การแต่งกายเสียเรียบร้อยก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “นี่เจ้าจะไปไหนหรือ”
ท่านเขยฉินบอกว่า “ที่สำนึกศึกษามีงานนิดหน่อย ข้าเลยต้องไปดู”
“เจ้าไม่ได้ลาหยุดไว้หรือ” จีซวงขมวดคิ้วขณะถาม
ท่านเขยฉินเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ลาไปแล้ว แต่หลังจากหมดวันลาแล้วก็ต้องไปเริ่มสอนทันที ข้าต้องเตรียมความพร้อมสักหน่อย”
จีซวงเอ่ยอย่างใส่อารมณ์ว่า “ก่อนหน้านี้ก็น้องสาวเจ้าจะออกไป ตอนหลังเจ้าก็จะออกไปอีกคน พวกเจ้าสองคนคงไม่ได้คุยกันไว้แล้วหรอกใช่หรือไม่ ว่าจะแอบไปทำเรื่องที่บอกใครไม่ได้ลับหลังข้าน่ะ”
“ฉินเฉียวออกไปข้างนอกหรือ” ท่านเขยฉินขมวดคิ้ว
จีซวงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด “เจ้าไม่รู้?” นางนิ่งไปก่อนจะยิ้มประชด “ข้ายังคิดว่าเจ้าดีต่อนางเพียงนี้ นางเลยจะมอบใจทั้งดวงของนางให้เจ้าเสียอีก ไม่คิดว่านางจะปิดบังเจ้ากระทั่งเรื่องที่นางไปไหนมาไหน”
ท่านเขยฉินยิ้ม “นางโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เสียหน่อย นางมีอิสระของนาง”
ไม่ว่าอย่างไรเรื่องที่ฉินเฉียวไม่บอกทุกอย่างกับท่านเขยฉินก็ทำให้จีซวงพอใจไม่น้อย หลังจากจีซวงเอ่ยประชดประชันท่านเขยให้หลายประโยคแล้ว นางก็ตอบรับให้เขาออกไปข้างนอก
…
บนรถม้าด้านนอกโรงเตี้ยม เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักได้รับข่าวที่ปี้เอ๋อร์ส่งมา ฉินเฉียวกับท่านเขยฉินออกจากบ้านตามกันมา คิ้วของเฉียวเวยเลยเลิกขึ้นเล็กน้อย “โอ๊ะ วิธีการนี้ได้ผลจริงๆ เสียด้วย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากที่แดงฉ่ำยิ่งกว่าสตรีขึ้นอย่างได้ใจ “ความคิดของข้าจะไม่ได้ผลได้อย่างไร ใช้ชื่อของโจวซุ่นในการล่อฉินเฉียวออกมา พอฉินเฉียวออกมา ท่านเขยแซ่ฉินอะไรนั่นก็ต้องนั่งไม่ติดรีบตามออกมาแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวต้นเรื่องทั้งสองก็มากันพร้อมแล้วไม่ใช่หรือ หลังจากนี้ก็ถึงตาพวกเราเดินหมากของตนเองกันแล้ว ข้าไปจัดการฉินเฉียว ส่วนเจ้าไปพาจีซวงมาจับชู้ที่โรงเตี้ยมนี่”
เฉียวเวยไม่ขยับ
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกว่า “เหตุใดเจ้ายังยืนบื้ออยู่นี่อีก”
เฉียวเวยมองประเมินอีกฝ่ายขึ้นลงทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “ข้ารู้สึกว่า…พวกเราเปลี่ยนหน้าที่กันดีกว่า ข้าไปใส่ยาให้ฉินเฉียว ส่วนเจ้าไปล่อท่านน้ามาที่นี่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยด้วยความรำคาญว่า “ข้าคร้านจะพูดคุยกับคนตระกูลจีของพวกเจ้า!”
เฉียวเวยผายมือออก “หากเกิด…ท่านน้าไม่มา แล้วฉินเฉียวดื่มยาพิษลงไปแล้ว ด้วยอารมณ์ที่พัดโหมทำให้นางขืนใจเจ้าขึ้นมาจะทำเช่นไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดือดจัด “จะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้อย่างไร! ข้าไม่ได้จะใส่ยาต่อหน้านางเสียหน่อย! สรุปแล้วข้าไม่อยากพูดคุยกับคนตระกูลจีของพวกเจ้า! เจ้าไปล่อสตรีหัวทึบนางนั้นมาเดี๋ยวนี้!”
เฉียวเวยทำเสียงจึ๊ๆ ขณะมองหน้าเขา “ก็ได้ๆๆ ข้าไปก็ได้ คนหนุ่มหัวร้อนนี่ไม่ดีเอาเสียเลย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกอดอกพลางส่งเสียงหึเย็นๆ
เฉียวเวยลงจากรถม้าไปไม่นานก็เดินกลับมาใหม่ “ไม่ใช่สิ เจ้าเข้าไปวางยาส่วนข้ากลับบ้าน คนที่ควรลงจากรถเป็นเจ้าถึงจะถูก!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยถูกเฉียวเวยเตะโด่งลงจากรถ
เฉียวเวยนั่งรถม้ากลับไปที่บ้านตระกูลจี ส่วนใต้เท้าเจ้าสำนักถือยาเดินสบายๆ ขึ้นไปด้านบน
เสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาหรูหรา ลักษณะท่าทางดูไม่ธรรมดา จึงไม่เข้ากับโรงเตี้ยมธรรมดาแห่งนี้เอาเสียเลย แทบจะทันทีที่เขาเดินเข้าโรงเตี๊ยมไปก็ดึงดูดสายตาทุกคนให้หันมองมาทันที ผู้ดูแลร้านวิ่งเข้ามาเอง ยิ้มประจบพลางถามว่า “คุณชายมากินอาหารหรือมาพักแรมขอรับ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบว่า “พักแรม ขอห้องดีๆ หน่อยสองห้อง”
ผู้ดูแลร้านได้ยินว่าสองห้อง สีหน้าก็พลันมีแววยินดีพร้อมชี้บอกทาง “คุณชายช่างมาได้ประจวบเหมาะนัก ห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมเราเพิ่งว่างพอดี ข้าน้อยจะนำทางท่านไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตามเขาขึ้นข้างบนไป เพิ่งได้ไปได้ครึ่งทางเด็กในร้านคนหนึ่งก็เดินถือกะละมังสวนลงมาบอกกับผู้ดูแลร้านว่า “ห้องเทียนจื้อมีคนเอาไปแล้วขอรับ”
ห้องเทียนจื้อเป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ผู้ดูแลจึงจำต้องหันไปเอ่ยกับใต้เท้าเจ้าสำนักว่า “ขอโทษด้วยขอรับคุณชาย ห้องที่ดีที่สุดไม่ว่างเสียแล้ว แต่ยังมีห้องตี้จื้ออยู่ อันที่จริงไม่ต่างอันใดกับห้องเทียนจื้อสักนิด”
“เช่นนั้นห้องข้างๆ ห้องนั้นเล่า” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม
ผู้ดูแลตอบว่า “มีคนพักอยู่ทั้งคู่ขอรับ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยังคิดจะไปรอยังห้องข้างๆ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของท่านเขยฉินกับฉินเฉียว แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงสูญเสียจุดสังเกตการณ์ที่ดีที่สุดไป แต่กระนั้นก็ไม่เป็นไร อยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกันทั้งนั้น แค่ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกเช่าห้องตี้จื้อ แล้วขออีกห้องตรงมุมอีกห้องหนึ่ง หลังจากจ่ายเงินแล้วก็บอกกับผู้ดูแลว่า “อีกเดี๋ยวจะมีแม่นางแซ่ฉินมาหาคนชื่อโจวซุ่นที่นี่ เจ้าก็พานางไปรอที่ห้องตี้จื้อก็แล้วกัน”
“เรื่องนี้…” ผู้ดูแลมีท่าทีลังเล
ใต้เท้าเจ้าสำนักควักเงินออกมาอีกก้อนหนึ่งแล้วโยนให้เขา
ผู้ดูแลพลันระบายยิ้มกว้าง “ไม่มีปัญหาขอรับ! ข้าน้อยจำได้แล้ว! แม่นางฉิน มาหาโจวซุ่น ให้รอที่ห้องตี้จื้อ!”
พูดจบผู้ดูแลก็ก้าวขาเดินออกไป ใต้เท้าเจ้าสำนักเรียกเขาไว้ “ส่งอาหารกับสุราชั้นดีไปไว้ที่ห้องตี้จื้อด้วย”
“ขอรับ!” ผู้ดูแลตอบรับด้วยความยินดี เดินถือเงินไปทางห้องครัว
ส่วนใต้เท้าเจ้าสำนักเดินไปที่ห้องตรงหัวมุม มุมที่ห้องนี้อยู่ไม่ดีเท่าไรนัก แทบจะมองไม่เห็นสถานการณ์ทางด้านนั้นเลย ทั้งยังไม่รู้ว่าฉินเฉียวจะมาเมื่อไร หากนางเดินมาก็ต้องใช้เวลาสามเค่อ หากนั่งรถม้ามาอีกไม่นานก็น่าจะมาถึงแล้ว