ตอนที่ 296-1 ทั้งบ้านรู้ความจริง
จีซวงเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า ต่อให้ตกไปในทะเลาสาบที่หนาวเหน็บก็ยังไม่บาดลึกถึงกระดูกเช่นนี้
ท่านเขยฉินปล่อยตัวฉินเฉียว มองจีซวงด้วยสองตาที่เป็นประกาย “ซวงเอ๋อร์…”
จีซวง “นี่คืออะไร”
ท่านเขยฉินบอกด้วยความลำบากใจ “ซวงเอ๋อร์ เจ้าฟังข้าอธิบาย…”
“ได้สิ ข้าฟัง เจ้าอธิบายมา รอยเล็บที่คอเจ้านั่นเกิดอะไรขึ้น แล้วยัง…” จีซวงใช้มืออีกข้างเช็ดริมฝีปากของฉินเฉียวแล้วเอานิ้วทั้งสองข้างมาเทียบกัน “นี่อีก มันเรื่องอะไรกัน”
ตอนจีซวงไม่เปิดโอกาสให้เขาอธิบาย เขามีสารพัดเหตุผลที่จะพร่ำพรรณนา แต่กระนั้นเวลานี้พอจีซวงมองเขา รอคอยอย่างใจกว้าง เขากลับพูดแก้ตัวไม่ออกเลยสักประโยคเดียว
เสื้อผ้าของฉินเฉียวและบรรยากาศออกจะไม่อยู่ในรูปในรอยสักเท่าไร ขอเพียงไม่ใช่คนปัญญาอ่อนก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือตามตัวเขายังมีหลักฐานค้างอยู่ด้วย
จีซวงกำหมัดแน่น ไม่รู้ต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดถึงจะข่มอาการสั่นเทิ้มตามร่างกายไว้ได้ “พูดไม่ออกแล้วใช่รึไม่ แต่งเรื่องต่อสิ บอกว่านางเป็นน้องสาวเจ้า บอกว่านางไม่สนิทสนมกับเจ้า บอกสิว่าที่เจ้าดูแลนางแค่เพราะเจ้าเป็นพี่ชาย เจ้าพูดสิ!”
“ซวงเอ๋อร์…”
จีซวงตะคอกสวน “ไม่ต้องมาเรียกชื่อข้า!”
ท่านเขยฉินมองอีกฝ่ายด้วยความเจ็บปวด “ซวงเอ๋อร์!”
สองตาจีซวงราวกับมีไฟสุม “เสียแรงที่ข้าเชื่อใจเจ้าเพียงนี้ เจ้าถึงขั้นทำเรื่องเช่นนี้ลับหลังข้า! จิตใจของเจ้าถูกหมากินไปแล้วหรือไร!”
ท่านเขยฉินขยับปาก “ซวง…”
จีซวงไม่อยากฟังเลยแม้แต่คำเดียว นางเอ่ยตัดบทอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ “มิน่าเล่าตอนข้ากับนางตกน้ำ เจ้าเข้าไปช่วยนางสุดชีวิต นั่นไม่ใช่เพราะทุกคนไปช่วยข้าแล้วหรอก แต่เป็นเพราะเจ้าอยากให้ข้าตายๆ ไปเสีย! พอข้าตาย เจ้าก็จะได้อยู่ครองรักกับนาง! จะได้อยู่กับนางไปจนแก่เฒ่า! เจ้าจะได้เอาสมบัติของข้าไปเลี้ยงดูนังแพศยานี่ได้อย่างเปิดเผย!”
ท่านเขยฉินจ้องตานางขณะเอ่ยว่า “ซวงเอ๋อร์ เจ้าไปกันใหญ่แล้ว ข้าไม่เคยคิดอยากให้เจ้าตายเลยนะ ไม่เคยคิดจะไปครองรักกับสตรีนางอื่น และยิ่งไม่เคยคิดหมายในสมบัติตระกูลเจ้า… หลายปีนี้ข้าเป็นคนเช่นไรเจ้าไม่รู้หรือ ข้าเคยอยากได้ใคร่มีในสมบัติของตระกูลจีหรือไม่ ที่ข้าเข้ามาอยู่บ้านตระกูลจีก็เพื่อเจ้า…”
จีซวงไม่สนใจเขา หมุนตัวจะเดินไปทันที
“ซวงเอ๋อร์!” ท่านเขยฉินดึงมือนางไว้
จีซวงสะบัดออกแต่กลับสลัดมือที่ราวกับกรงเล็บของเขาไม่หลุด “เจ้าปล่อยนะ!”
“ข้าไม่ปล่อย”
“เจ้าจะปล่อยหรือไม่ปล่อย”
“ไม่ปล่อย ให้ตายก็ไม่ปล่อย”
พอสิ้นเสียง ดาวกระจายเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามากระแทกตรงเข้าที่ข้อมือเขา เขาหดมือกลับตามสัญชาตญาณ จีซวงได้รับอิสระ
จีซวงเอ่ยด้วยความผิดหวังว่า “นี่หรือที่เจ้าบอกว่าต่อให้ตายก็ไม่ปล่อย”
ท่านเขยฉินสะอึกจนพูดไม่ออก เขาจับสังเกตบางอย่างได้เลยหันไปมองรถม้าที่หน้าตรอก เวลานี้เฉียวเวยกำลังยืนพิงรถม้า ในมือถือดาวกระจายที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยให้นางมา ตรงมุมปากมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่
แววตาท่านเขยฉินดูครึ้มลง
เฉียวเวยผายมือออก
โทษข้าได้หรือ
จีซวงเดินขึ้นรถม้าโดยไม่แม้จะหันมอง
ท่านเขยฉินเดินตามมา
เฉียวเวยโยนดาวกระจายไปขวางหน้าเขาไว้ ขาที่ก้าวอยู่ของเขาพลันชะงัก เหลือบตาขึ้นมองเฉียวเวย เฉียวเวยก็มองตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน สายตาประสานกันกลางอากาศพลันเกิดเป็นบรรยากาศที่น่าหวั่นเกรง
แววตาท่านเขยฉินค่อยๆ เยือกเย็นลง เฉียวเวยกลับอมยิ้ม หนังตาไม่แม้แต่จะขยับก็หมุนตัวขึ้นรถม้าไปทันที
ระหว่างทางกลับจวน จีซวงไม่พูดอะไรสักคำ เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่ซักไซ้อย่างรู้อะไรควรไม่ควร อันที่จริงก็ไม่ต้องถามเพราะทั้งสองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นหมดแล้ว เดิมทีคิดว่าวันนี้จะเสียแผนไปแล้ว แต่ใครจะคิดว่าจะได้รับผลเช่นนี้ ถึงแม้จะจับชู้ไม่ได้คาเตียงแต่ก็ไม่ต่างไปสักเท่าไร
ด้วยความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของที่จีซวงมีต่อท่านเขย อย่าว่าแต่เขากักตัวสตรีนางอื่นแล้วจุมพิตนางในตรอกเลย ต่อให้เขาแค่จับมือถือแขนกับอีกฝ่ายก็ทำให้จีซวงระเบิดลงราวสายฟ้าฟาดได้แล้ว
รถม้าไปถึงบ้านตระกูลจี จีซวงลงจากรถม้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเดินตรงไปทางเรือนสี่
แทบจะในเวลาเดียวกัน รถม้าของท่านเขยฉินก็กลับมาถึงบ้านตระกูลจี แต่เขาเข้าทางประตูเหนือจึงไปถึงเรือนเร็วกว่าจีซวงก้าวหนึ่ง
เฉียวเวยนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหันปลายเท้าออกเดินไปทางบ้านชิงเหลียนที่อยู่คนละทิศ
ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว “เอ๊ะ? นี่เจ้าจะไปไหน”
เฉียวเวยตอบเสียงเรียบ “ไปเรือนเหล่าฮูหยิน”
“เจ้าไปที่นั่นทำไม” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามด้วยความงุนงง
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ไปฟ้อง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักนึกว่าตนเองได้ยินผิด อายุตั้งเท่าไรแล้วยังจะฟ้องผู้ใหญ่เป็นเด็กๆ อีก ไม่อายบ้างหรือไร!
เฉียวเวยออกเดินพลางตอบเสียงเนือยว่า “ท่านเขยมีวาทศิลป์ดีเกินไป ข้ากลัวท่านน้าจะรับมือไม่ไหว หาคนมาเป็นกำลังเสริมไว้สักหน่อยดีกว่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยอมรับว่าที่นางพูดมีเหตุผลมาก ด้วยความเชื่อคนง่ายอย่างจีซวง ไม่แน่ว่าอาจะถูกไอสารเลวนั่นกล่อมไปอีกก็ได้ แต่การวิ่งไปฟ้องโต้งๆ อย่างนี้จะดีจริงๆ หรือ จะขายขี้หน้าเกินไปไหม
เฉียวเวยเดินไกลออกไปเรื่อยๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยด้วยความร้อนใจ “นี่ๆๆ เจ้าไปแล้วข้า… ข้าจะทำอย่างไร”
เฉียวเวยตอบ “อยากมาก็ตามมาสิ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกรอกตาใส่ “ใครเขาอยากไปกัน”
ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ระหว่างที่กรอกตาก็ยังเดินตามไปด้วย
น้องชายพี่สะใภ้มาถึงเรือนลั่วเหมยอย่างรวดเร็ว นี่เป็นครั้งแรกหลังจากใต้เท้าเจ้าสำนักกลับมาอยู่บ้านตระกูลจีที่ได้มายังเรือนของจีเหล่าฮูหยิน จีเหล่าฮูหยินดีใจยิ่งนัก ตั้งแต่ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้ามา สองตานางก็เอาแต่จับจ้องไปยังเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกมองจนเริ่มรู้สึกอึดอัด
โชคดีที่เฉียวเวยพูดถึงเรื่องจีซวงกับท่านเขยฉินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความสนใจของจีเหล่าฮูหยินเลยเปลี่ยนไปอยู่ที่เรื่องนั้นในบัดดล “…เจ้าว่าอะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
เฉียวเวยถอนหายใจ “ข้าเห็นเองกับตา หากไม่ได้เห็นกับตาให้ตายข้าก็ไม่เชื่อว่าท่านเขยจะกระทำเรื่องเช่นนี้ ท่านย่า หมิงเยี่ยตอนนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ท่านถามเขาสิ ว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้หรือไม่”
จีเหล่าฮูหยินหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนักด้วยความลำบากใจ ใต้เท้าเจ้าสำนักพยักหน้าด้วยความรำคาญ
จีเหล่าฮูหยินเริ่มหายใจติดขัด ท่านเขยที่ซื่อตรงเช่นนั้นถึงขั้นกระทำการน่าอับอายเช่นนี้ลับหลังบุตรสาวนาง! บุตรสาวนางเลือกแล้วเลือกอีกแต่ดันเลือกได้คนสารเลวเช่นนี้มาหรือ
“ตงเหมย! ไปเรียกคุณหนูมาหาข้า! ท่านเขยก็ด้วย! นายท่านใหญ่อีกคน เรียกมาที่นี่ให้หมด!”
“เจ้าค่ะ!” ตงเหมยกระวีกระวาดออกไปทันที
จีเหล่าฮูหยินสูดหายใจเขาลึกๆ ข่มโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายในเอาไว้ นางเอ่ยกับเฉียวเวยและใต้เท้าเจ้าสำนักว่า “พวกเจ้าสองคนกลับไปก่อน เรื่องนี้ข้าจะตัดสินเอง”
คนทั้งบ้านรู้กันหมดแล้ว น่ากลัวว่าท่านเขยฉินคงจะกล่อมทุกคนไม่ได้อีก น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่อย่างนั้นนางคงมีสีหน้าสนุกๆ เก็บไว้ได้พอดูหลายปีทีเดียว
เฉียวเวยลากใต้เท้าเจ้าสำนักที่อยากดูเรื่องสนุกให้กลายเป็นเรื่องใหญ่กลับบ้านชิงเหลียน
ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ้มชั่วร้าย “เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกว่าบ้านตระกูลจีของเจ้าน่าสนุกมากทีเดียว”
เฉียวเวยฉีกยิ้มกว้าง “เรื่องเยอะดีใช่รึไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพยักหน้าราวกับสับกระเทียม!
เฉียวเวยผลัดหุบยิ้ม ตบศีรษะอีกฝ่ายให้ทีหนึ่งจนน้ำในศีรษะแทบจะกระเด็นออกมาจนหมด ตอนจีหมิงซิวกลับมาถึงจวน เรื่องของจีซวงก็กระจายไปทั่วแล้ว แม้ตัวเขาจะยังกลับมาไม่ถึงบ้านชิงเหลียน แต่ก็ได้ยินผ่านหูมาไม่น้อย
ปี้เอ๋อร์เพิ่งอาบน้ำให้วั่งซูเสร็จ ยกกะละมังเดินออกมาก็เห็นจีหมิงซิวทันที นางยิ้มพลางทำความเคารพ “คุณชายใหญ่!”
จีหมิงซิวพยักหน้ารับเรียบๆ กวาดตามองกะละมังที่นางถือแล้วถามว่า “วั่งซูอาบน้ำแล้ว?”
ปี้เอ๋อร์เทน้ำทิ้งก่อนตอบว่า “เพิ่งอาบเสร็จยังไม่หลับเจ้าค่ะ คุณชายจะเข้าไปหานางรึไม่”
“ข้าจะเข้าไปหน่อย” จีหมิงซิวเข้าไปในห้องของตัวแสบทั้งสอง จิ่งอวิ๋นอาบน้ำล้างหน้าเสร็จนานแล้ว ข้าวของเก็บวางอย่างเป็นระเบียบ กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหัวเตียง วั่งซูไม่ยอมใส่เสื้อผ้าดีๆ ตีลังกาเนื้อตัวล่อนจ้อนไปมาอยู่บนเตียง
ฉานเอ๋อร์ถือเสื้อผ้าอยู่ในมือ จะจับตัวนางให้วุ่น ฉานเอ๋อร์ไปซ้ายนางก็ไปขวา ซานเอ๋อร์ไปขวานางก็ไปซ้าย อย่ามองแต่นางเนื้อตัวอวบแน่น แต่ปฏิกิริยากลับว่องไวจนน่าตกใจ ฉานเอ๋อร์ตามจนเหงื่อแตกแล้วแต่ก็ยังจับตัวแม่เด็กน้อยไม่ได้กระทั่งปลายก้อย
วั่งซูน้อยกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง แต่พอไม่ทันระวังก็กลิ้งตกลงมา อีกนิดเดียวศีรษะก็จะกระแทกพื้นอยู่แล้ว ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาคว้าตัวนางที่สนุกจนเกือบได้เรื่องขึ้นมาอุ้มไว้
วั่งซูส่งยิ้มยินดี “ท่านพ่อ!”
จีหมิงซิวหยิกแก้มยุ้ยๆ ของบุตรสาวพลางเอ่ยเสียงดุว่า “เกือบตกมาแล้วเห็นไหม คราหน้าห้ามซนขนาดนี้อีกนะ รู้หรือไม่”
วั่งซูตอบทันทีไม่มีหยุดคิด “ทราบแล้ว!”
จิ่งอวิ๋นมองน้องสาวที่ถูกบิดาอุ้มอยู่แล้วกะพริบตาปริบๆ ค่อยๆ ขยับก้นทีละน้อย เขยิบไปทางขอบเตียงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เขากำลังจะ “ตก” ลงไปกองกับพื้นนั้นบิดาก็เอ่ยปากว่า “เจ้าดูพี่ชายเจ้าสิว่าระวังตัวดีเพียงใด ไม่เคยตกลงมาเลย”
จิ่งอวิ๋นน้อยที่เตรียมจะ “ตก” ลงพื้นด้วยความไม่ระวังเพื่อได้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนบิดาเลยได้แต่ขยับตัวกลับเข้าไปเงียบๆ
จีหมิงซิวนั่งอยู่ในห้องนั้นพักหนึ่ง หลังจากจับเด็กทั้งสองเข้าไปอยู่ในผ้าห่มแล้วถึงได้ลุกเดินออกไป
“พี่ชาย เจ้าหลับรึยัง” วั่งซูลืมตากลมโตใสแจ๋วของตนแล้วกระซิบถามเสียงเบา
จิ่งอวิ๋นไม่ตอบ
วั่งซูกระโดดลงจากเตียงมาลากพี่ชายกลับไปอยู่ในผ้าห่มของตน
จิ่งอวิ๋นที่ไม่อาจต่อต้านใดๆ ได้เลย “…”
…