บทที่ 1203 บรรยากาศที่คลุมเครือ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1203 บรรยากาศที่คลุมเครือ

บทที่ 1203 บรรยากาศที่คลุมเครือ

กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นสูง และจ้องมองฉินเย่จือด้วยรอยยิ้มเสน่หา “เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใด”

ฉินเย่จือก้มศีรษะลงและกุมมือกู้เสี่ยวหวานไว้แน่น เมื่อเห็นใบหน้าที่มีความสุขของนาง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาทั้งวันหายไปในคราวเดียว เขาเหยียดนิ้วออกเกาจมูกของกู้เสี่ยวหวาน และยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าเพิ่งมาถึง และข้าก็เห็นเจ้ากำลังนอนหลับเหมือนลูกแมว เลยไม่อยากกวนเจ้า ข้าเพียงมาดูเจ้าและกำลังจะไปอาบน้ำ แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะตื่น”

กู้เสี่ยวหวานย่นจมูกและพูดด้วยความทุกข์ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปล้างตัว แล้วข้าจะทำโจ๊กรังนกให้เจ้าหนึ่งชาม”

ฉินเย่จือผละออกจากกู้เสี่ยวหวานอย่างมีความสุข อาโม่ได้เตรียมน้ำสำหรับอาบน้ำไว้แล้ว หลังจากโจ๊กรังนกพร้อมแล้ว ฉินเย่จือเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาดและออกมา จากนั้นพบว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังรออยู่ในห้องแล้ว

เพราะเขาต้องการรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด ระหว่างทาง ฉินเย่จือจึงขี่ม้าโดยไม่หยุดพัก กินอาหารแห้งเมื่อเขาหิว พักผ่อนเล็กน้อยเมื่อเขาเหนื่อย และเดินทางต่อไป

กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าเขาเป็นแบบนี้มาตลอด ดังนั้นคราวนี้สิ่งที่นางเตรียมคืออาหารที่สามารถย่อยได้ง่าย ๆ โจ๊กรังนกหนึ่งชามพร้อมกับอาหารเรียกน้ำย่อยทำเองหนึ่งถึงสองอย่าง ฉินเย่จือกินโจ๊กไปสองชาม

ในห้องมีเพียงกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานนั่งข้างเขาและมองเขากินอย่างมีความสุข

หลังจากทานอาหารเสร็จและล้างจาน กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือก็ดื่มชาและพูดคุยเกี่ยวกับกิจการในเมืองหลิวเจียและเมืองหลวงในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา

ร้านหล่านเยว่ ดูเหมือนจะกลายเป็นร้านตุ๊กตาอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ผู้คนในเมืองหลวงต่างรู้จักร้านของพวกเขาเป็นอย่างดี ทำให้กิจการของร้านดีมาก

แต่เนื่องจากกู้เสี่ยวหวานเป็นคนทำงานละเอียด งานฝีมือจึงช้าตามโดยปริยาย เหล่าคุณหนูจึงต้องสั่งจองล่วงหน้าหากต้องการผ้าเช็ดหน้าหรือตุ๊กตา

ร้านค้าอื่น ๆ เห็นโอกาสทางกิจการนี้และต้องการสร้างตุ๊กตาแบบเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเลียนแบบ แต่เนื่องจากสิ่งนี้เป็นของเลียนแบบ ไม่มีอะไรใหม่ และลอกเลียนแบบมาจากร้านหล่านเยว่ หลังจากเป็นที่นิยมอยู่ไม่นานก็ไม่มีใครไปที่นั่นอีก

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สามารถซื้อตุ๊กตาและผ้าเช็ดหน้านี้ได้ต้องมีฐานะร่ำรวย และพวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นเจ้าของร้าน และสิ่งของในร้านนี้มีความละเอียดประณีตและแปลกใหม่อย่างมาก ซึ่งเพิ่มความลึกลับเข้าไปอีก

สิ่งต่าง ๆ หายากและมีราคาแพง และเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังก็ไม่มีใครรู้จัก ร้านหล่านเยว่นี้จึงเป็นเหมือนความลึกลับในเมืองหลวง เป็นสัญลักษณ์ของสถานะ

หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็หัวเราะออกมา “สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงของเล่น แต่ผู้หญิงเหล่านี้ชอบมันมาก”

เป็นธรรมชาติของผู้หญิงที่ชอบตุ๊กตาที่สวยงามและประณีต ด้วยเหตุนี้ ร้านแรกที่กู้เสี่ยวหวานเปิดจึงประสบความสำเร็จในทันที ผลกำไรของร้านหล่านเยว่เพิ่มมากขึ้น และกู้เสี่ยวหวานก็มีความสุขมากเช่นกัน

ตระกูลกู้ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป กู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยอย่างแท้จริง

นอกจากอาจั่วแล้ว แต่เดิมกู้เสี่ยวหวานต้องการเพิ่มสาวใช้อีกคนหนึ่งในครอบครัวที่จะมาคอยจุดไฟและทำความสะอาด แต่ป้าจางไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยบอกว่านางสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง และถ้าหาสาวใช้มา แล้วจะให้นางทำอะไร เดิมทีกู้เสี่ยวหวานต้องการให้นางอยู่ด้วยความสบายใจ แต่ป้าจางกลับปฏิเสธ โดยบอกว่าหากมีสาวใช้คนใหม่มาทำสิ่งเหล่านี้ นางก็จะไปจากสวนกู้

กู้เสี่ยวหวานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากนางหาสาวใช้มาทำงานแทนป้าจางจริง ๆ ป้าจางคงจะรู้สึกเสียใจมาก

กู้เสี่ยวหวานทำได้เพียงยอมแพ้เท่านั้น

ป้าจางเอาใจใส่มากกว่าเดิม และกู้เสี่ยวหวานรู้สึกสงสารเมื่อเห็นนางทำงานหนัก

เมื่อพวกนางยังเด็ก ป้าจางคอยดูแลพวกนางตลอดเวลา ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงอยากให้นางพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ป้าจางไม่เห็นด้วย โดยบอกว่านางอาศัยอยู่ในสวนกู้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและนางก็รู้สึกละอายใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว หากสาวใช้คนใหม่มาทำงานแทนตน นางก็จะกลายเป็นเจ้านายซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

กู้เสี่ยวหวานได้พูดคุยกับกู้ฟางสี่มาเป็นเวลานาน แต่ในที่สุดพวกนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรักษาสถานะที่เป็นอยู่

กู้เสี่ยวหวานยังพูดคุยกับฉินเย่จือเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาไม่อยู่ ฉินเย่จือฟังด้วยความสนใจ นั่งตรงข้ามกู้เสี่ยวหวานพลางมองไปที่นางด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม รอยยิ้มนั้นเต็มไปความเสน่หา

กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างมีความสุข และฉินเย่จือรู้สึกยินดีเมื่อได้ยิน

ไม่ได้เจอกันมาสามเดือน ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานดูละเอียดอ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ มันเคยเป็นเหมือนดอกบัวที่ยังไม่บาน แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็น มันเหมือนดอกบัวเล็ก ๆ ที่บานออก และส่งกลิ่นหอมละมุนชวนหลงใหล

กู้เสี่ยวหวานพูดพูดเป็นต่อยหอยอย่างมีความสุขโดยไม่สนใจสายตาของฉินเย่จือที่จับจ้องมา

เมื่อนางรู้สึกตัวและหยุดพูด ดวงตาที่ยิ้มแย้มของฉินเย่จือก็ยังคงจ้องมองที่ตัวเอง มันทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเขินอายเล็กน้อย และลูบใบหน้าตัวเองแผ่วเบา “พี่เย่จือ มีอะไรติดหน้าข้าหรือ”

ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะทันได้พูดจบประโยค ก็มองเห็นร่างหนึ่งแวบหายไป เมื่อนางมองอีกครั้งก็ไม่มีใครอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว และก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นที่คุ้นเคยในครู่ต่อมา

กู้เสี่ยวหวานถูกฉินเย่จืออุ้มขึ้นและวางลงบนตักตนเอง เมื่อครู่กู้เสี่ยวหวานรู้สึกประหลาดใจ และโอบแขนรอบคอของฉินเย่จือแน่น ทั้งสองคนมองหน้ากันในท่าทางที่คลุมเครือ

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเพียงว่าริมฝีปากของนางแห้งผากเล็กน้อย ดังนั้นจึงแลบลิ้นออกมาและเลียริมฝีปากโดยไม่ได้ตั้งใจ การกระทำแบบนี้ทำให้ฉินเย่จือลอบกลืนน้ำลาย และร่างกายของเขาราวกับถูกปีศาจเข้าสิง

บรรยากาศระหว่างทั้งสองเกิดความคลุมเครือขึ้น

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน แสงรำไรสีแดงของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าสาดส่องเข้ามาจากบานหน้าต่าง กระทบร่างของชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังสวมกอดกัน