ตอนที่ 297-2 ฉีกอกท่านเขย (1)
คืนนี้จีซวงมานอนที่เรือนของเหล่าไท่ไท่
จีซั่งชิงกับจีเซิ่งบุกเข้าไปที่เรือนสี่ จัดการซ้อมท่านเขยฉินกันอย่างหนักหน่วงจนเขาหายใจรวยรินเต็มที แทบจะลงจากเตียงไม่ได้ แต่เขาก็ยังพยายามคุกเข่าอยู่ที่เรือนลั่วเหมย ขอร้องให้เหล่าฮูหยินกับจีซวงให้อภัย
จำต้องบอกว่า บุรุษคนหนึ่งทำได้ถึงขั้นนี้นับว่าลงทุนลงแรงมากทีเดียว
ข่าวนี้แพร่ไปถึงเรือนชิงเหลียนในเช้าตรู่วันต่อมา
จีหมิงซิวออกไปประชุมราชการแล้ว เด็กๆ ก็ออกไปสถานศึกษากันแล้ว เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งกันอยู่ที่ลานด้านหลัง นั่งตากแดดพลางม้วนด้ายกันไปด้วย ใต้เท้าเจ้าสำนักใช้สองมือแยกด้ายออกเป็นเส้นตรง เฉียวเวยจับหัวด้ายไว้แล้วม้วนเป็นวงกลมอยู่ในมือ ทั้งสองร่วมมือกันได้ไม่เลวเสียด้วย
แต่บุรุษตัวใหญ่คนหนึ่งมานั่งม้วนด้ายราวกับสตรีเช่นนี้ หากพูดออกไปก็นับว่าทำให้ใต้เท้าเจ้าสำนักขายหน้าอยู่ไม่น้อยจริงๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ “เจ้ามือไม้ให้เร็วกว่านี้ได้หรือไม่”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “รีบหรือ รีบจะไปเกิดใหม่?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักโกรธจนกัดฟันกรอดพลางยกเท้าถีบ
เฉียวเวยเขยิบสองขาหลบ เขาถีบโดนโต๊ะมาหิน เจ็บจนร้องโอ้ยๆ!
ปี้เอ๋อร์เดินเข้ามา นำข่าวที่ได้ยินมาบอกเล่าให้ทั้งสองฟัง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ “เหล่าไท่ไท่กับหลี่ซื่อกล่าวเช่นนี้จริงๆ?”
ปี้เอ๋อร์พยักหน้า
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ “พวกนางสองคนปัญญาอ่อนหรือไร ไอสารเลวนั่นเลี้ยงดูสตรีคนอื่นอยู่ข้างนอกลับหลังจีซวงเชียวนะ ยังจะหวังให้มันกลับตัวกลับใจอีกหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร?”
ก็ใช่น่ะสิ จะเป็นไปได้อย่างไร หนึ่งครั้งไม่ภักดี ร้อยครั้งไม่ควรเก็บไว้ นี่เป็นหลักการที่แม้แต่คนชั้นต่ำยังเข้าใจ แต่เหล่าฮูหยินกับหลี่ซื่อกลับไม่เข้าใจ หากจะบอกว่าพวกนางเป็นห่วงจีซวงไม่มากพอก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ยุคสมัยเป็นเช่นนี้ นี่ก็คือสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่ ความผิดแบบเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาระหว่างบุรุษกับสตรีนั้นต่างกันลิบลับ หากสตรีคบชู้สู่ชาย ถ้าจับได้จะถูกเอาตัวไปขังไว้ในเล้าหมู แต่บุรุษมีสามภรรยาสี่อนุกลับเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ต่อให้มีข่าวว่าเลี้ยงดูสตรีนอกบ้านจะน่าอับอายเพียงใด แต่ก็ไม่เคยเห็นมีบุรุษคนใดต้องหย่าร้างเพราะเรื่องนี้มาก่อน
นางยังคิดว่าตระกูลที่เย่อหยิ่งอย่างตระกูลจีจะข้ามผ่านข้อห้ามเช่นนี้ไปได้เสียอีก ที่แท้ก็ไม่ได้มีอะไรต่างกัน
เฉียวเวยได้แต่หัวเราะเบาๆ
“เจ้าหัวเราะอะไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้วถาม
เฉียวเวยม้วนด้านพลางบอกว่า “ข้าหัวเราะที่ข้าเอาความคิดจากที่ข้าเคยอยู่มาใช้กับโลกของพวกเจ้าที่นี่น่ะสิ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยด้วยความงุนงง “ที่ที่เจ้าเคยอยู่กับโลกของข้าอะไรกัน เจ้าหมายถึงชนเผ่าถ่าน่าหรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่ใช่ เป็นสถานที่อันแสนไกลอีกแห่งหนึ่ง ที่นั่นบุรุษคนหนึ่งแต่งงานกับสตรีได้เพียงคนเดียว หากต้องการไปใช้ชีวิตกับสตรีอีกนางหนึ่ง จะต้องหย่าขาดกับภรรยาคนแรกเสียก่อน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด “มีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย เจ้าไม่ได้เป็นคนเมืองหลวงหรอกหรือ”
เฉียวเวยตอบเรียบๆ “เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักลุกขึ้นยืน เอามือที่คอยดึงด้ายยันลงบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้เฉียวเวย กระซิบบอกว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าเป็นตัวปลอม! เจ้าเป็นตัวปลอม! เจ้าไม่ใช่เฉียวเวยตัวจริง!”
ในใจเฉียวเวยสะอึกไปนิดหนึ่ง มองเขาด้วยสีหน้าคงเดิม “ถ้ายังพูดเหลวไหลอีกข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้ง!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหดคอด้วยความกลัวแล้วกลับไปนั่งเช่นเดิม “จะดุทำไมเนี่ย แค่ล้อเล่นไม่ได้หรือ!”
เฉียวเวยเอ่ยกับปี้เอ๋อร์ว่า “เจ้าออกไปเถิด”
“เจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ถอยออกไป
เฉียวเวยม้วนด้ายต่อไป ใต้เท้าเจ้าสำนักขยับมือทั้งสองข้างอย่างรู้จังหวะเพื่อให้นางดึงด้ายไปม้วนได้อย่างสะดวก
ใต้เท้าเจ้าสำนักใช้เท้าเตะรองเท้าเฉียวเวยเบาๆ “นี่ นางยักษ์ ข้าไม่ชอบหน้าอีตาแซ่ฉินนั่นเลย”
เฉียวเวยม้วนด้ายต่อพลางเอ่ยหน้าตาเฉยว่า “เจ้ายังไม่ชอบหน้าข้าเลย”
“นั่นไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนกันตรงไหน”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ที่ข้าไม่ชอบหน้าเจ้าเพราะเจ้าโหดร้ายเกินไป ถ้าเจ้าไม่โหดร้ายกับข้า ข้าก็จะไม่ชอบหน้าเจ้าน้อยลงเล็กน้อย”
เฉียวเวยพลันยิ้ม “ขอบคุณมากนะ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้วไม่ปฏิเสธ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างใช้ความคิดว่า “แต่อีตาแซ่ฉินนั่น เหตุใดข้าถึงไม่ถูกชะตากับเขาเลยก็ไม่รู้”
เฉียวเวยบอกว่า “ข้าก็ไม่ถูกชะตากับเขาเช่นกัน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหรี่ตา “ไม่ได้การละ ข้าจะต้องไล่เขาออกไปให้ได้ แค่คิดว่าต้องอยู่ในบ้านเดียวกับเขา ข้าก็อึดอัดจนกินข้าวไม่ลงแล้ว!”
ปี้เอ๋อร์กลับเข้ามาอีกครั้ง “ฮูหยิน คุณชายรอง ห้องครัวให้มาถามว่ากลางวันนี้จะกินอะไรเจ้าคะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบว่า “เอาหมูตุ๋นน้ำแดง ปูผัดพริก เนื้อตุ๋นครึ่งจิน ซี่โครงแพะหนึ่งหม้อ หมูก้อนหัวสิงโตสองลูก แล้วก็ น้ำแกงกุ้งบดตุ๋นเห็ดหอม เครื่องเคียงผัดๆ สองอย่าง ตุ๋นรังนกหม้อหนึ่ง แล้วก็เอาไข่ตุ๋นด้วย อย่าลืมใส่กุ้งลงไปด้วยล่ะ!”
เฉียวเวยปรายตามองเขา “เจ้านี่กินไม่ลงจริงๆ นะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยเบ้ปากตามองฟ้า
…
ตอนกลางวัน ใต้เท้าเจ้าสำนักกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย การที่ไม่ต้องกินข้าวกับเจ้าเด็กอ้วนวั่งซู นับเป็นความสุขที่สุดในชีวิตเขาแล้ว! กับข้าวทุกอย่างเป็นของเขาทั้งหมด นางยักษ์นั่นถึงจะโหดร้าย แต่ไม่เคยแย่งอาหารกับเขา จากจุดนี้ดูเหมือนตนจะเกลียดนางยักษ์ได้น้อยลงเล็กน้อย
พอกินข้าวเสร็จ ใต้เท้าเจ้าสำนักไปนอนตากแดดที่ลานด้านหลัง เฉียวเวยยังคงวุ่นอยู่กับการม้วนด้ายต่อไป เขาเหลือบมองเฉียวเวยทีหนึ่งก่อนพูดขึ้นว่า “นี่ เรื่องสารเลวฉินนั่นนะ ข้ามีความคิดบางอย่าง”
เฉียวเวยไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง “เจ้ามีความคิดอะไรอีกล่ะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงจึ๊ทีหนึ่ง “เจ้าอย่ามาดูถูกข้า ครั้งนี้ความคิดข้าดีจริงๆ อีกอย่างข้าจะไม่ไปสร้างความวุ่นวาย รับประกันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีก”
“ความคิดอะไร” เฉียวเวยถามขึ้นเสียงเอื่อย
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกอย่างได้ใจว่า “ครั้งก่อนที่เจ้าไปเรียกฉินเฉียวมา ที่เจ้าพูดกับนางข้าได้ยินทั้งหมด ที่สารเลวฉินชอบนางเป็นเพราะนางมีส่วนคล้ายองค์หญิงกระมัง เจ้าว่าหากบิดาผู้โง่เขลาของข้ารู้เรื่องนี้ จะให้เขาอยู่ในตระกูลจีต่อไปรึไม่”
มือของเฉียวเวยพลันชะงัก เหตุใดนางถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้นะ
บ้านตระกูลใหญ่กลัวที่สุดคือเรื่องขายหน้า บุรุษที่คิดไม่ซื่อกับพี่สะใภ้ของตนเอง ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาอย่างการเลี้ยงดูอนุไว้นอกบ้านเช่นนั้น เรื่องนี้เดือดร้อนไปถึงเรื่องคุณธรรมจรรยาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เขาหมายปองคือเจาหมิง จีซั่งซิงจะต้องทนอยู่เฉยไม่ได้แน่ๆ
ตกบ่ายเฉียวเวยเลยไปหาฉินเฉียว
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นตัวฉินเฉียวย่อมไม่อาจอยู่ในบ้านตระกูลจีได้ต่อไป นางถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลจีให้กลับไปอยู่บ้านหลังเล็กที่นางเคยอยู่มาก่อนหน้านี้แล้ว
นางไม่คิดว่าเฉียวเวยจะมาหาที่นี่จึงอึ้งไปพักใหญ่ ถึงได้นึกได้ว่าต้องเชิญอีกฝ่ายเข้าบ้าน
เฉียวเวยนั่งลงที่ห้องโถง “ข้าขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ที่ข้ามาหาเจ้าก็เพราะอยากทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับเจ้า”
“แลกเปลี่ยนอะไร” ฉินเฉียวถาม
เฉียวเวยทำหน้าจริงจัง “ข้ารู้ว่าเจ้าถูกบังคับ เจ้าไม่ได้ชอบท่านเขยของข้า หากข้าช่วยให้เจ้าได้ไปจากท่านเขยข้า เจ้าจะยินดีทำเรื่องหนึ่งให้ข้าหรือไม่”
ฉินเฉียวคิดแล้วตอบว่า “ท่านช่วยข้าตามหาโจวซุ่นได้หรือ”
เฉียวเวย “เรื่องนี้ข้ารับปากไม่ได้ ข้ารับปากได้เพียงอิสรภาพของเจ้าเท่านั้น”
ฉินเฉียวหลุบตา “ท่านจะรับประกันได้อย่างไร”
เฉียวเวยเลยบอกว่า “สามีข้าเป็นอัครเสนาบดีคนปัจจุบัน ข้าจะใช้ชื่อเสียงของสามีข้าในการคืนอิสรภาพให้เจ้า”
สีหน้าฉินเฉียวดูหวั่นไหว “ท่านอยากให้ข้าทำอะไร”
เฉียวเวยหันไปมองนอกหน้าต่าง หยุดมองดอกกุหลาบในสวนที่กำลังชูช่อบานสะพรั่ง “ข้าอยากให้เจ้าไปพูดกับคนในตระกูลจีให้เข้าใจว่าที่ท่านเขยฉินถูกใจเจ้าเป็นเพราะเห็นเจ้าเป็นตัวแทนองค์หญิงเจาหมิง”
ฉินเฉียวส่ายหน้า
“เจ้าไม่ยินดี?” เฉียวเวยขมวดคิ้ว
เฉียวเวยพูดเสียงต่ำว่า “ไม่ใช่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว คนที่เขาชอบไม่ใช่องค์หญิงอะไรที่ท่านว่า แต่เป็นสตรีนางหนึ่งที่ชื่อสวินหลัน”