ตอนที่ 2,517 : ตระกูลการ์นิเย่

‘เฮ่ย! ไออ่อนนี่มันยืนขาตาย ไม่ทันรู้เรื่องเลยงั้นเรอะ?’

‘ดูเหมือนระดับพลังฝึกฝนของพวกมันจะไม่ถึงด่านเซียนสวรรค์ด้วยซ้ำ!’

‘น่าเบื่อแท้!’

นี่คือความคิดในหัวของชายหนุ่มในหุ่นเกราะทั้งสอง…

ใบหน้าภายใต้หุ่นเกราะของพวกมันกำลังเผยความเซ็งอย่างถึงที่สุด คล้ายเบื่อหน่ายระคนผิดหวัง

ผิดหวังในความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน!

ต้องทราบด้วยว่าแม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนถึงจะสู้พวกมันไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่นิ่งแบบนี้ตอนพวกมันลงมือ

“สวะชัดๆ…”

น๊อคที่ยืนอยู่บนสเก็ตบอร์ดเหินไม่ไกล พลันสบถคำปรามาสออกมาด้วยสายตาดูถูก

อย่างไรก็ตามพริบตาต่อมาใบหน้าดูแคลนของมันก็ถึงกับต้องชะงักค้างแข็งเติ่ง!

“ไม่จริงน่า!”

ยังมีเสียงชายหนุ่มที่อุทานด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้นจากหุ่นเกราะทั้ง 2!

ตอนนี้หนึ่งในหุ่นเกราะได้บรรลุถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนแล้ว และดาบสีเงินที่เปล่งประกายเยียบเย็นของมันก็ฟันลงไปยังร่างต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย!

ด้วยความคมกล้าของดาบสีเงินมัน ต่อให้เป็นเหล็กกล้าเสริมแกร่งพิเศษหนาเป็นเมตรก็ตัดผ่าได้ดั่งเนย!

ทว่าตอนนี้ดาบสีเงินอันคมกล้าของมันกลับหยุดอยู่ห่างร่างต้วนหลิงเทียน 1 ฉื่อ และไม่อาจขยับไปต่อได้ไม่ว่ามันจะออกแรงมากแค่ไหนก็ตามที!

ราวกับถูกหยุดไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็นบางอย่าง!

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

ขณะเดียวกันปืนเลเซอร์ที่หุ่นเกราะอีกตัวยิงมานั้น ก็บังเกิดการระเบิดออกกลางอากาศห่างจากร่างต้วนหลิงเทียน 1 ฉื่อเช่นกัน! เสียงระเบิดยังดังสนั่นลั่นขึ้นไม่หยุดราวกับลำแสงนั่นกำลังระเบิดทำลายวัตถุบางประการ!!

แต่ร่างต้วนหลิงเทียนก็ยังคงลอยนิ่งห่างจุดระเบิดราวฉื่อเดียวอย่างแน่นิ่ง ไม่ไหวติง

“ไม่จริง?”

“เหอะๆ อาศัยพลังอ่อนด้อยเพียงเท่านี้ของพวกเจ้าคิดจะฆ่าข้า? นี่จะไม่ดูถูกข้าเกินไปหน่อยรึไง?”

ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตื่นตระหนกตกใจของทั้งคู่ ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มสดใสกล่าวออกมาอย่างสนุกสนาน

ครู่ต่อมาชุดคลุมสีม่วงของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มกระพือสะบัดเล็กน้อย

ต้องทราบด้วยว่าแม้การลงมือของหุ่นเกราะทั้ง 2 จะมีพลังอำนาจทัดเทียมเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน ยังไม่แม้แต่จะทำให้ชุดคลุมของต้วนหลิงเทียนขยับ!

ทว่าตอนนี้ชุดคลุมของต้วนหลิงเทียนกำลังกระพือสะบัด!

“ถอยเว้ย!”

“เผ่นเร็ว!!”

หลังชายหนุ่มทั้ง 2 ควบคุมหุ่นเกราะให้หันมามองหน้ากัน ด้านหน้าของพวกมันก็ปรากฏท่อไอพ่นออกมาอย่างพร้อมเพรียง พวกมันคิดจะยิงปืนใหญ่สุญญากาศเป็นแรงส่ง เพื่อผลักร่างถอยหนี!

แต่พวกมันยังจะหนีได้จริงหรือ?

“จะรีบไปไหนเล่า?”

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนที่ร่างจะวูบไปผุดโผล่เบื้องหน้าชายหนุ่มในหุ่นเกราะที่ถือดาบสีเงินในฉับพลัน ค่อยชกออกไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน

เปรี๊ยงงง!!

ทว่าหมัดที่ชกออกไปอย่างไร้เรื่องราวนั่น กลับชกจนเกราะหน้าของหุ่นเกราะแหลกเป็นชิ้นๆ!

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เอื้อมมือไปคว้าร่างชายหนุ่มในชุดหุ่นเกราะเอาไว้

หลังจากคว้าร่างชายหนุ่มในหุ่นเกราะไว้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆดึงร่างของมันออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน

แน่นอนว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ตอนนี้เขาเคลื่อนไหวอย่างไม่รีบไม่ร้อนอะไร

ทว่าในสายตาของชายหนุ่มทั้ง 3 นั้นความเร็วของต้วนหลิงเทียนมันยิ่งกว่าไวฟ้าผ่า!

ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะเคลื่อนไหวด้วยท่าทางสบายๆไม่รีบไม่ร้อนอะไร

แต่ในสายตาของชายหนุ่มทั้ง 3 ความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนมันรวดเร็วจนเหนือกว่าเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน กระทั่งเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนด้วยซ้ำ!!

บรึมม!

แทบจะพร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนคว้าร่างชายหนุ่มในชุดหุ่นเกราะที่ต่อยแหลกไป หุ่นเกราะอีกตัวตอนนี้ก็ได้ยิงแรงอัดอากาศออกมาดังสนั่น!

ฟุ่บ!

ทว่าในขณะที่ร่างหุ่นเกราะกำลังพุ่งทะยานถอยไปตามแรงระเบิดนั้นเอง ร่างต้วนหลิงเทียนพลันวูบมาผุดโผล่เบื้องหลังของมันปานภูตผี!

เปรี๊ยง!

หมัดของต้วนหลิงเทียนชกออกไปอย่างไร้เรื่องราวอีกครั้ง ซัดจนหุ่นเกราะที่พุ่งถอยมาแหลกยับ เจริญรอยตามหุ่นเกราะตัวก่อนหน้า…

จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็คว้าร่างชายหนุ่มที่อยู่ด้านในออกมา

สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ใช้มือข้างหนึ่งหิ้วร่างพวกมันทั้งคู่เอาไว้ปานอินทรีย์จับลูกเจี๊ยบ

“อาศัยกำลังของพวกเจ้า ยังคิดฆ่าข้า?”

หลังจับร่างทั้งคู่ไว้แล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันหันไปมองกล่าวกับน็อตด้วยสายตาเยียบเย็น ขณะเดียวกันก็ใช้พลังไร้สภาพยกร่างทั้งคู่เอาไว้ ค่อยๆเอื้อมมือไปคว้าจับลำคอแล้วบิดเบาๆอย่างไม่รีบไม่ร้อน จนบังเกิดเสียงดังกร๊อบกังวานไปในอากาศ…

ทั้งคู่เป็นแค่คนที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเล็กน้อยเท่านั้น แค่หักคอก็ตายแล้ว…

“กะ…แกคือ ตงจินเฉียง หรืออู๋ไป่เฟิงกันแน่?”

เมื่อเห็นสหายทั้ง 2 ถูกชายหนุ่มชุดม่วงหักคอตายต่อหน้าต่อตา สีหน้าของน็อคก็มืดดำลงปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก กล่าวถามออกมาเสียงเข้ม

ตงจินเฉียง อู๋ไป่เฟิง

ทั้งคู่ที่มันกล่าวถึงก็คือผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงในดาราจักรนับสิบๆรอบๆดาราจักรคอสเตอร์

ที่ทั้งคู่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่ใช่เพราะพลังฝีมือ หากแต่เป็นศักยภาพและพรสวรรค์

เพราะทั้งคู่นั้น เป็นเพียงอัจฉริยะแค่ 2 คนจากดาราจักรนับสิบๆรอบๆดาราจักรคอสเตอร์ ที่แม้จะมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ก็บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 5เปลี่ยนกับเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนไปแล้ว

ดังนั้นน็อคจึงคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นใครคนใดคนหนึ่งใน 2 คนนี้

“ตงจินเฉียง? อู๋ไป่เฟิง?”

“โทษที แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอย่างไร้แยแส

“แกไม่ใช่พวกมัน 2 คนงั้นเหรอ แล้วแก…”

หน้าน็อคเปลี่ยนสีไปทันที และคล้ายมันฉุกคิดอะไรได้ออก “ระ…หรือแกไม่ใช่ผู้ฝึกตนในดาราจักรละแวกดาราจักรคอสเตอร์!?”

“อ่า ไม่ใช่”

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ค่อยหยีตามองน็อค “แล้วก็ข้ายังไม่ลืมหรอกนะ…เมื่อครู่ไม่ใช่เจ้าปล่อยให้พวกมันฆ่าข้ารึไง?”

ขณะกล่าววาจาประโยคนี้ สองตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองน็อคก็เผยจิตสังหารออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ

“กะ…ทะ..ท่าน ถึงผมจะปล่อยให้พวกมันสองคนลงมือ แต่ท่านก็ฆ่ามันระบายความโกรธไปแล้วนี่นา…งั้นท่านกับผมเราต่างคนต่างไปดีไหม?”

หลังได้เห็นความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน ทั้งตระหนักได้ว่าพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนน่ากลัวขนาดไหน น็อคก็ไม่กล้าจะมีเรื่องบาดหมางกับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป

ไม่ต่องพูดถึงเรื่องที่มันไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะฆ่าต้วนหลิงเทียนได้หรือไม่

ถึงมันจะฆ่าต้วนหลิงเทียนได้จริง แต่มันก็กลัววจนไม่กล้าลงมือ เพราะใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังผู้ฝึกตนที่ร้ายกาจอย่างต้วนหลิงเทียนจะมีผู้ฝึกตนที่น่าสะพรึงกลัวอยู่หรือเปล่า…

หากไม่มีผู้ฝึกตนที่ร้ายกาจกว่าพลังของตระกูลมันก็แล้วไป

แต่ถ้ากำลังรบของอีกฝ่ายเหนือกว่าตระกูลของมันขึ้นมา ยังไม่ใช่เป็นการชักนำหายนะมาสู่ตระกูลของตัวเองรึไง? คราวนี้ไม่ใช่แค่มัน แต่ตระกูลของมันเผลอๆจะถูกกวาดล้างไปพร้อมกับมันด้วยซ้ำ!

เรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระนาบเหยียนหวง!

“โทษที…”

ได้ยินวาจาด้วยน้ำเสียงสุภาพคล้ายหาทางประนีประนอมของน็อค ต้วนหลิงเทียนพลันส่ายหัวไปมาอีกครั้ง “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้าไม่คิดปล่อยให้คนที่คิดฆ่าข้ามีชีวิตรอด…กระทั่งสหายข้า ก็เกรงว่าไม่คิดจะปล่อยให้เจ้าอยู่ในโลกนี้ต่อไป”

“คนเรา…พูดอะไรออกมา ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง”

กล่าวถึงท้ายประโยคแม้น้ำเสียงต้วนหลิงเทียนจะยังคงเรียบสงบเฉยเมย หากแต่พอดังเข้าหูน็อคแล้ว ก็ทำให้สีหน้ามันเปลี่ยนไปอย่างมาก

“ยังจะกล่าวกับมันให้เสียเวลาทำอะไร…”

และขณะเดียวกันกับที่เสียงกล่าวต้วนหลิงเทียนดังจบคำ ถังเซี่ยวเซี่ยวก็เหินร่างมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน

เช่นเดียวกัน นางไม่ได้รีบร้อนและใช้วรยุทธ์ท่าร่างอะไร แต่ในสายตาของน็อคความเร็วของนางสูงล้ำเกินกว่าที่มันจะมองตามได้ทัน!

พอน็อครู้ตัวอีกที ถังเซี่ยวเซี่ยวก็มาผุดโผล่ตรงหน้าแล้ว!

วูบ!

ทันใดนั้นสีหน้าของน็อคก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง มันเร่งตะโกนออกมาเสียงเย็น “พะ..พวกแกฆ่าข้าไม่ได้! ข้าเป็นคนของตระกูลการ์นิ…”

“…เย่!”

แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่น็อคเริ่มร้องโวยวายออกมา มือของถังเซี่ยวเซี่ยวก็สะบัดซัดหมุดชิ้นหนึ่งออกไปฉับไว และหมุดที่ว่าก็พุ่งทะลวงเจาะเข้ากลางหว่างคิ้วของน็อคจนฝังหายไปในเสี้ยวพริบตา!

หมุดนี้เป็นอาวุธซัด หนึ่งในอาวุธลับใช้แล้วทิ้งที่ถังเซี่ยวเซี่ยวมีพกติดตัวไว้ใช้งาน ในแหวนมิติของนางเรียกว่ามีเก็บไว้นับพันๆชิ้น!

เช่นนั้นแม้จะซัดหมุดฝังเข้ากลางหว่างคิ้วของน็อคแล้ว นางก็ไม่คิดจะเก็บมันกลับมาแต่อย่างใด เพราะวัสดุที่ใช้สร้างก็ไม่ใช่ของหายากอะไร

“ตระกูลการ์นิเย่หรือ? ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อน”

หลังฆ่าน็อคแล้ว ถังเซี่ยวเซี่ยวเพียงมองร่างไร้วิญญาณที่ล้มไปคาสเก็ตบอร์ดเหินกลางหาวด้วยสายตาเฉยเมย ไม่ได้แยแสชีวิตของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

จากนั้นถังเซี่ยวเซี่ยวก็หันไปยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “พวกเราไปกันเถอะ”

“ไปสิ”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้หอบหิ้วร่างถังเซี่ยวเซี่ยวแต่อย่างใด เพียงพากันเหินบินออกไปอย่างไม่รีบไม่ร้อนแทน

ไม่นานทั้งคู่ก็ทิ้งดาวแซทเทิลไว้เบื้องล่าง ก่อนที่จะพากันเหินท่องออกไปในอวกาศ…ท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาวไร้สิ้นสุด

“คนในกลุ่มดาวที่ปกครองด้วยเทคโนโลยี…ไม่มีใครเป็นผู้ฝึกตนงั้นเหรอ?”

เหตุผลที่ไฉนต้วนหลิงเทียนไม่รีบเดินทางและหอบหิ้วถังเซี่ยวเซี่ยวเหาะไปด้วยความเร็วสูงสุด เพราะเขายังมีเรื่องสงสัยอยู่บ้าง จึงคิดจะถามถังเซี่ยวเซี่ยวให้รู้เรื่องก่อน

สุดท้ายแล้ววในระนาบเซียนก็ไม่มีเทคโนโลยีอะไรเลย

ถึงแม้ว่าโลกเก่าของเขาจะเป็นโลกที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในชีวิตอย่างยิ่งยวด

อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีในโลกเก่า พอมาเทียบกับเทคโนโลยีที่พึ่งเขาได้เห็นเมื่อครู่ ก็บอกได้เลยว่าระดับอารยธรรมนั้นต่างกันราวกับมนุษย์ยุคหินพบเห็นเครื่องบินด้วยซ้ำ…

ได้ยินคำถามด้วยความสงสัยของต้วนหลิงเทียน ถังเซี่ยวเซี่ยวก็ตอบกลับทันที

“เมื่อครู่มิใช่เจ้าใช้สำนึกเทวะตรวจสอบร่างของพวกมันแล้วหรือไร?”

“เช่นนั้นเจ้าก็คงเห็นแล้วว่าโครงสร้างร่างกายและอวัยวะภายในของพวกมันแตกต่างกับของพวกเรา…และถึงแม้ในร่างของพวกมันจะมีชีพจรพลัง แต่ทว่าชีพจรพลังก็ไม่เชื่อมต่อถึงกัน ทำให้ไม่อาจบ่มเพาะพลังได้…ถึงแม้จะมีผู้ฝึกตนที่สามารถเชื่อมต่อชีพจรให้พวกมันได้อยู่บ้าง…”

“แต่พวกมันทั้งหมดล้วนเกิดมาเป็นเช่นนี้แต่แรก จะให้มาจัดการชีพจรพวกมันได้หมดอย่างไรไหว…”

“เช่นนั้นภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว พวกมันก็จำต้องรู้จักปรับตัวตามสภาพ จึงหันไปพัฒนาเรื่องเทคโนโลยีแทน…และเจ้าอย่าพึ่งดูแคลนความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเชียว! หุ่นเกราะที่พวกมันพึ่งใช้เมื่อครู่ หากเทียบกับเทคโนโลยีระดับสูงสุดที่มีในระนาบเหยียนหวงแล้วยังไม่อาจนับเป็นอะไรได้!!”

ขณะที่ฟังถังเซี่ยวเซี่ยวอธิบาย และร่างของต้วนหลิงเทียนกับถังเซี่ยวเซี่ยวก็ท่องไปในอวกาศห่างไกลออกจากดาวแซทเทิลอันเป็นดาวแม่ของดาราจักรคอสเตอร์มากขึ้นทุกขณะ

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง

ภายในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยฉากทันสมัยแลคล้ายมีความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอันล้ำยุค ภายในตึกสูงชะลูดเทียมเมฆแห่งหนึ่ง ชั้นบนสุดปรากฏเสียงสูดลมหายใจเข้าด้วยโทสะ

ชั้นบนสุดที่ว่านั่น ตอนนี้ในห้องหนึ่งกำลังฉายภาพเรื่องราวบางอย่างขึ้นจอ

ภาพเรื่องราวที่ฉายบนจอก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ในนั้นมีชายหนุ่มหญิงสาวที่มีเครื่องแต่งกายโบราณอยู่

หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่คงแลเห็นได้ทันที ว่าชายหนุ่มกับหญิงสาวในชุดโบราณที่กำลังฉายขึ้นจออยู่ตอนนี้คือเขากับถังเซี่ยวเซี่ยวเอง

และในจอภาพตอนนี้ร่างเบื้องหน้าถังเซี่ยวเซี่ยวก็ถูกฆ่าตายกลายเป็นศพ ทรุดลงไปค้างเติ่งบนสเก็ตบอร์ดเหิน…