ตอนที่ 295-1 จับได้ หมดทางบ่ายเบี่ยง
ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม ผู้ดูแลร้านกำลังก้มหน้าก้มตาดีดลูกคิดอยู่ จู่ๆ ก็มีเงาดำเงาหนึ่งเคลื่อนตัวมาบังทางแสงของเขาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเห็นว่าเป็นสตรีสาวนางหนึ่ง หวีผมทรงสตรีออกเรือนแล้ว รูปลักษณ์หมดจดงดงาม ท่าทางอ่อนหวาน จึงถามด้วยความเกรงใจว่า: “ฮูหยินท่านนี้ ท่านต้องการรับประทานอาหารหรือเข้าพักขอรับ”
“ข้ามาตามหาคน” นางตอบ
“ท่านหาผู้ใดหรือ” ผู้ดูแลร้านถาม
ฉินเฉียวมองไปทั่วๆ “ข้ามาหาโจวซุ่น”
ผู้ดูแลร้านยิ้มอย่างเข้าใจดี “ข้ายังว่าอยู่ที่เดียวว่าวันนี้ท่านจะมาหรือไม่ เชิญด้านบนขอรับ!”
“เขามาแล้วหรือยัง?” ฉินเฉียวถาม
ผู้ดูแลร้านคลี่ยิ้ม “ท่านเชิญเข้าไปนั่งรอในห้องก่อนสักครู่ สุราอาหารจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว กินรอสักครู่อีกเดี๋ยวเขาก็มาขอรับ”
ฉินเฉียวนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า เดินตามผู้ดูแลร้านขึ้นด้านบนไป
ภายในห้องเทียนจื้อที่อยู่ด้านข้างมีเสียงแปลกๆ ดังออกมา ฉินเฉียวชะงักฝีเท้า ผู้ดูแลร้านเลยรีบยิ้มบอกว่า “ฮูหยินวางใจเถิด ห้องด้านข้างเป็นสตรีสองนางพักด้วยกัน เวลานี้น่าจะกำลังขนสัมภาระกันกระมัง”
ฉินเฉียวเลยก้าวเข้าห้องตี้จื้อไปด้วยความสบายใจ
ผู้ดูแลร้านให้คนยกอาหารที่ยังส่งควันฉุยขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วปิดประตูให้นาง
ทางด้านนี้พอประตูห้องปิดลง อีกด้านหนึ่งท่านเขยฉินก็เดินเข้ามาให้ห้องโถง
…
“ท่านน้า ข้าเอายามาให้น้องห้าแล้ว”
เฉียวเวยเดินเข้าไปในเรือนของจีซวงพร้อมขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็ก
จีซวงเลิกผ้าม่านเดินออกมา นัยน์หน้ายังคงมีรอยยิ้มดูไม่ออกสักนิดว่านางเพิ่งตกน้ำมา นางคลี่ยิ้มพลางคว้ามือเฉียวเวยพาเดินเข้าไปในห้อง “ยาอะไรหรือ”
ทั้งสองนั่งลงบนตั่งร้อน อากาศในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องจุดไฟใต้ตั่งแล้ว แต่ที่นี่พระอาทิตย์ส่องดี แสงแดดมากพอ จึงอบอุ่นยิ่งนัก
เฉียวเวยเอาขวดยาวางลงบนโต๊ะ “เป็นยาทาตุ่มหัดที่ข้าเพิ่งปรุงขึ้นใหม่ ใช้ทาตามตุ่มแล้วจะหายได้ไวขึ้นเล็กน้อย”
จีซวงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้ามีน้ำใจแล้ว”
เฉียวเวยมองคุณชายห้าที่กำลังหลับสนิทแล้วถามจีซวงว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นท่านเขยเลยเล่า”
จีซวงตอบว่า “ที่สำนักศึกษาเกิดปัญหานิดหน่อย เลยออกไปแล้ว”
สำนักศึกษาเกิดปัญหา? ข้ออ้างเช่นนี้คงมีแค่ท่านน้าผู้แสนซื่อเท่านั้นที่เชื่อ
ลูกตาเฉียวเวยขยับเล็กน้อย ยังคงยิ้มแย้มขณะบอกว่า “ไม่เห็นแม่นางฉินด้วยเหมือนกัน นางออกไปสำนักศึกษากับท่านเขยหรือ”
พอพูดถึงฉินเฉียว รอยยิ้มของจีซวงก็ดูกระด้างไปสามส่วน นางจะให้อภัยสามีตนอย่างไรก็ได้ แต่ในช่วงเวลาสำคัญสามีนางไปช่วยน้องสาวแต่กลับไม่ช่วยตน เรื่องนี้อย่างไรก็ยังเป็นเข็มทิ่มแทงใจนางอยู่ดี
“ไม่ได้ไปกับท่านเขยเจ้า นางไม่ได้ให้ใครตามไปด้วย ไม่รู้ว่าออกไปทำอะไร” จีซวงเอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน
เฉียวเวยเลยแค่ยิ้มๆ “ท่านน้า คราก่อนข้าเห็นร้านเครื่องหยกที่ถนนฉางหลิว ข้าชอบแบบของในร้านนั้นมาก แต่ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องหยกเท่าไร กลัวจะซื้อได้ของปลอม หมิงซิวบอกว่าท่านน้ารู้เรื่องหยกดี ท่านน้าไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่”
จีหมิงซิวไม่เคยชมใครง่ายๆ จีซวงได้ฟังก็ถึงกับฉีกยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นจับปิ่นทองตรงข้างศีรษะ “ถึงอย่างไรท่านเขยเจ้าก็ไม่อยู่ ข้าก็อยู่ว่างๆ จะไปเป็นเพื่อนเจ้าสักทีก็แล้วกัน เพียงแต่…ถึงแม้เทศกาลโคมไฟบนถนนฉางหลิวจะไม่เป็นรองใคร แต่ร้านรวงแถวนั้นโดยมากกลับไม่ได้เรื่องได้ราวนัก หากเจ้าอยากซื้อหยกจริงๆ ข้าพากเจ้าไปดูร้านที่ข้าไปประจำก็แล้วกัน”
เฉียวเวยบอกอย่างเกรงใจว่า “แต่ข้าชอบแบบของที่นั่น”
จีซวงเลยบอกว่า “เอาเถิด เจ้าเป็นคนชอบเอง เช่นนั้นก็ไปที่นั่นแล้วกัน”
ทั้งสองขึ้นนั่งรถม้าของเฉียวเวยมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมบนถนนฉางหลิว
ภายในโรงเตี๊ยม ท่านเขยฉินกำลังเดินขึ้นชั้นสอง เวลานี้ไม่ใช่เวลาอาหาร ในโถงใหญ่และทางเดินจึงแทบไม่มีคน ไม่นานเขาก็มาถึงห้องที่อยู่ลึกเข้ามาด้านในที่สุดสองห้อง ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นประตูหรือพื้นไม้ล้วนดีกว่าห้องอื่นๆ ไม่น้อย
เขาหยุดยืนอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง ยกมือขึ้นเคาะสามครั้งก่อนจะผลักเปิดประตูเบาๆ แต่เขายังไม่ทันได้มองเข้าไป ผ้าขาวผืนหนึ่งก็พุ่งตรงออกมาจากในห้อง กระแทกถูกหัวไหล่จนเขาล้มกลิ้งไปกับพื้น!
จากนั้นผ้าขาวก็พันเข้ากับประตู แล้วจัดการดึงประตูปิดดังปัง
ท่านเขยฉินจับหัวไหล่ที่รู้สึกเจ็บเอาไว้ ลุกยืนด้วยความงุนงง ในขณะที่กำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นก็เห็นฉินเฉียวเดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง
“ฉิน…”
เขากำลังจะเอ่ยปาก ผู้ดูแลร้านก็วิ่งเข้ามาเสียก่อน เขาเลยรีบไปหลบหลังเสา ก่อนจะได้ยินผู้ดูแลร้านถามว่า “ฮูหยิน ท่านจะไปไหนหรือ”
“ข้าจะกลับแล้ว” ฉินเฉียวตอบ
ผู้ดูแลร้านรับเงินเขามาแล้วย่อมต้องช่วยจัดการให้เรียบร้อย เขารีบบอกว่า “เอ๋? ท่านจะไปได้อย่างไร คุณชายโจวจะมาถึงแล้วนะขอรับ!”
ฉินเฉียวเหลือบมองผู้ดูแลร้านที่หนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาคมกล้าของนางทำให้ผู้ดูแลร้านถึงกับลอบถอนหายใจ ผู้ดูแลร้านเบี่ยงตัวเปิดทางให้ ฉินเฉียวก้าวเดินลงไปข้างล่าง
สายตาท่านเขยฉินพลันล้ำลึก รีบเดินตามไป
…
รถม้ามาถึงโรงเตี๊ยม เฉียวเวยกระโดดลงมาแล้วยื่นมือไปช่วยประคองจีซวง “ท่านหน้า ร้านเครื่องหยกอยู่ไม่ไกลนี้แล้ว พวกเราหาอะไรกินรองท้องกันก่อนเถิด”
เมื่อกลางวันจีซวงมัวแต่อยู่กับท่านเขยฉินจนลืมกินข้าวกินปลา เวลานี้จึงหิวอยู่บ้างจริงๆ เพียงแต่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ดูแล้วเป็นร้านที่ชาวบ้านทั่วไปจะเข้ากัน นางที่เป็นถึงคุณหนูตระกูลจีจะลดตัวลงไปกินร่วมโต๊ะกับชาวบ้านเหล่านั้นได้อย่างไร
เฉียวเวยยิ้มบอกว่า “ท่านน้าอย่าดูแค่ว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้หน้าตาซอมซ่อ อาหารของเขาอร่อยมากทีเดียว ทั้งยังเป็นหมิงซิวที่พาข้ามาหลายครั้งข้าถึงได้รู้ว่าอาหารที่นี่อร่อยกว่าที่จวนพวกเราทำเสียอีก”
ผู้สูงศักดิ์อย่างใต้เท้าอัครเสนาบดีย่อมไม่เคยมายังสถานที่เช่นนี้ จีซวงช่างเลือกมากเท่าไร ใต้เท้าอัครเสนาบดีมีแต่จะยิ่งเรื่องมากกว่าเท่านั้น ช่วยไม่ได้ เด็กที่โตมาในบ้านตระกูลจีล้วนเป็นโรคติดหรูกันทั้งสิ้น
“หมิงซิวมาที่แบบนี้ด้วยหรือ” จีซวงดูเหมือนไม่เชื่อ
เฉียวเวยเลยอมยิ้ม “เขาก็มีเพื่อนแนะนำมาอีกทีเช่นกัน ดูเหมือนจะเป็นใครนะ… ท่านอ๋องเก้า!”
จอมตะกละนั่นน่ะนะ! ของข้างทางยังกินเลย!
จีซวงก็เลยเชื่อ จับมือเฉียวเวยเดินลงจากรถม้า
ผู้ดูแลร้านถึงกับตาค้าง วันนี้เขาโชคดีอะไรกันนี่ ตามปกติผู้รากมากดีเช่นนี้ปีๆ หนึ่งไม่เคยเจอสักคน วันนี้กลับมากันหลายคนทีเดียว!
“ฮูหยินทั้งสองเชิญด้านใน!” เขาเข้ามาต้อนรับด้วยตัวเอง “ฮูหยินมากินอาหารหรือมาเข้าพักขอรับ”
“กินอาหาร” จีซวงตอบเสียงเรียบ
ผู้ดูแลร้านเลือกโต๊ะที่สะอาดในห้องโถงให้ก่อนยิ้มอย่างประจบประแจง “ฮูหยินอยากกินอะไรขอรับ”
“ร้านพวกเจ้ามีอะไรบ้าง” จีซวงถาม
“มากมายทีเดียว ร้านข้าน้อยมี…”
ผู้ดูแลร้านยังไม่ทันพูดจบ จีซวงก็โบกผ้าเช็ดหน้าในมือตัดบทอย่างเหลือจะทน “อาหารขึ้นชื่อเอามาอย่างละจาน อย่าเผ็ดเกินไปล่ะ”
ผู้ดูแลร้านชอบลูกค้าที่ใจใหญ่เช่นนี้ที่สุดแล้ว จึงยิ้มจนตาหยีขณะรับคำ “ข้าน้อยจะไปสั่งห้องครัวให้ทำเดี๋ยวนี้!”
ดวงตาคู่สวยของเฉียวเวยพลันเปลี่ยน “ท่านน้านั่งรอที่นี่ก่อน ข้าขอไปห้องสุขาสักครู่”
จีซวงตอบอื้อเสียงเรียบ
เฉียวเวยหมุนตัวเดินไปที่ลานด้านหลัง เลยเจอเข้ากับผู้ดูแลร้านที่กำลังเดินออกมาเข้าอย่างจัง “ผู้ดูแลร้าน ข้าถามหน่อย โจวซุ่นอยู่ห้องไหนหรือ”
ผู้ดูแลร้านอึ้งไป เหตุใดถึงมาหาโจวซุ่นอีกแล้ว
เฉียวเวยโบกมือไปมาตรงหน้าเขา เขาเลยเรียกสติกลับมาได้ ตอบว่า “ห้องตี้จื้อทางด้านบนขอรับ”
“เมื่อครู่มีสตรีนางหนึ่งมาหาเขาใช่หรือไม่”
ในหัวผู้ดูแลร้านปะติดปะต่อเรื่องเองทันทีว่าโจวซุ่นลักลอบพบกับหญิงสาวโดยใช้สหายเป็นข้ออ้าง แต่สุดท้ายภรรยาเอกตามมาหาจนพบ เขาเลยส่ายหน้าดิก “ข้าไม่รู้!”
ไม่พูดแล้วกัน ให้นางไปหาเอง!
เฉียวเวยเดินขึ้นชั้นบน แต่กระนั้นที่ทำให้เฉียวเวยรู้สึกประหลาดใจเหลือแสนก็คือ ข้างในห้องว่างเปล่าไม่มีใครสักคน เฉียวเวยขมวดคิ้วด้วยความสงสัย นางเปิดกาน้ำชาแล้วลองดมดู ซ้ำยังตรวจดูอาหารที่ไม่มีการแตะต้องสักนิด ทั้งหมดดูไม่มีร่องรอยของการใส่ยาเลย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไม่ได้บอกไว้ว่าจะวางยาฉินเฉียวหรอกหรือ เฉียวเวยไปอยู่ไหนเสียเล่า
ครึก!
เสียงดังออกมาจากแขน
“อ๊าก…”
เสียงใต้เท้าเจ้าสำนัก!
เฉียวเวยก้าวเร็วๆ ออกจากห้องไปตรงหน้าห้องเทียนจื้อ ก่อนจะใช้เท้าถีบประตูเข้าไป!
เงาคนในชุดสีน้ำเงินกระโดดออกไปทางหน้าต่าง
เฉียวเวยมองหน้าต่างแล้วมองสภาพภายในห้อง คิ้วพลันขมวด สายตาหยุดมองเตียงหลังใหญ่ที่สภาพเละเทะกระจุยกระจาย ใต้เท้าเจ้าสำนักเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ตาถูกผ้าผืนหนึ่งมัดไว้ ไม่ได้สติไปแล้ว บรรยากาศมีกลิ่นอายของการร่วมรักอย่างดุเดือดลอยฟุ้ง บนผ้าปูเตียงมีรอยเลือดสีแดงหลายหยดที่พาให้ใจตระหนก
ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวเฉียวเวยก็คือ อีตานี่คงไม่ได้ถูกใครแหวกประตูหลังหรอกนะ!
นางเดินเข้าไปเปิดผ้าห่มออกดู ก่อนจะรีบเอามือปิดตาแล้วคลุมกลับไปอย่างเก่า
ไม่เสียแรงที่เป็นพี่น้องกัน ขนาดน่าตกใจพอกันเลยจริงๆ
น้องชายใต้เท้าเจ้าสำนักได้รับความอิ่มเอมที่ห่างหายไปนาน จึงดีใจจนกระโดดโลดเต้นไม่หยุด ไม่ยอมอยู่นิ่งสักนิด เล่นเอาเฉียวเวยไม่กล้าเรียกหาใครมาใส่เสื้อผ้าให้เขา
เฉียวเวยตรวจชีพจรให้ใต้เท้าเจ้าสำนัก ชีพจรธาตุหยางที่ลุกโชนนับว่าไม่มีแล้ว แต่มีร่องรายการเคลื่อนตัวของกำลังภายใน ร่างกายจึงถูกสะท้อนกลับทำให้สลบไป
เขาไม่มีวรยุทธ์ ตัวเองไม่รู้ว่าจะเคลื่อนกำลังภายในอย่างไร มีเพียงตอนที่เขาถูกคนอื่นโจมตีแล้วไปแตะถูกปราการของเขาเท่านั้นที่จะกระตุ้นกำลังภายในของเขา
คนที่โจมตีเขาคิดว่าก็น่าจะบาดเจ็บไม่น้อย