บทที่ 1200 มีน้องสาวเป็นคนที่สิบ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 1200 มีน้องสาวเป็นคนที่สิบ

บทที่ 1200 มีน้องสาวเป็นคนที่สิบ

ซูเสี่ยวซื่อตอบกลับด้วยคำถาม ทำให้สีหน้าอีกฝ่ายชะงักไป

ถึงกับสงสัยด้วยซ้ำว่าบ้าหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นจะพูดแบบนี้กับนักข่าวได้ยังไง?

เขาเป็นนักข่าวจากหนังสือพิมพ์เมืองหลวง ทุกคนในเมืองหลวงย่อมรู้ดีว่าหนังสือพิมพ์ของเรามีอิทธิพลอย่างไรในอุตสาหกรรมสื่อ

เมื่อกิจการต่าง ๆ เปิดตัว หรือมีการเฉลิมฉลองสำคัญ พวกเขาหวังจะเชิญนักข่าวของหนังสือพิมพ์นี้มารายงานข่าวมาก

เพราะการได้รายงานข่าวก็ถือเป็นการโฆษณากิจการฟรี และโฆษณาก็ถือเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างยิ่ง

แม้ครั้งนี้เราจะเป็นฝ่ายติดต่อเขาไปก่อน แต่คนฉลาดย่อมมองออกว่านี่คือข้อเสนอที่เอามาส่งถึงบ้านเลยนะ

และที่เขามาเพราะร้านชานมน่าสนใจ อีกทั้งชื่นชมซูซื่อเจี่ยนเป็นการส่วนตัว

ในฐานะนักเขียนของหนังสือพิมพ์เมืองหลวง การสัมภาษณ์ในวันนี้คือโฆษณาร้านชานมของเขาให้ฟรี ๆ

ซึ่งเป็นโอกาสดีที่หลาย ๆ ธุรกิจอยากจะได้ ถ้าเป็นคนอื่นคงตอบมาแล้วละ ทว่าอีกฝ่ายกลับเลี่ยงไม่ตอบคำถามเสียอย่างนั้น

หมายความว่ายังไงนะ?

แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ทำชวี่จือป๋ายคิดมากไปแล้ว

ขณะนั้นเองกลับได้ยินอีกฝ่ายว่าต่อ

“ถ้านักข่าวชวี่เคยทำธุรกิจจะไม่ถามคำถามแบบนี้แน่นอนครับ ไม่ว่าจะทำธุรกิจแบบไหนล้วนต้องลงทุนทั้งนั้น ส่วนร้านชานมของเราเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ยิ่งร้านเล็กต้นทุนก็ยิ่งน้อยครับ”

“แม้ร้านค้าในเมืองหลวงจะไม่ได้ราคาแพง แต่ก็ไม่ได้ถูกขนาดนั้น ผมไม่ได้มีเงินทุนเยอะ ถ้าประหยัดได้ก็จะทำทุกวิถีทาง”

“โดยเฉพาะร้านเล็ก ๆ แบบนี้ คนทั่วไปไม่ชอบแล้วก็ไม่อยากเช่ากันด้วย เลยอยากได้ราคาที่ถูกกว่านั้นอีกหน่อย แต่สำหรับพวกเราที่ทำธุรกิจถือว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากจริง ๆ ครับ”

ชายหนุ่มแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา

ถ้าชวี่จือป๋ายไม่รู้เรื่องทั่วไปของซูเสี่ยวซื่อ ตนคงเชื่อแล้วว่าเขาเป็นนักธุรกิจตัวเล็ก ๆ ที่มีกิจการไม่กี่แห่งเท่านั้น

แต่ที่ถามก็เพราะรู้ยังไงละ

“คุณซูถ่อมตัวมากเลยครับ ผมได้ยินมาว่าเมืองอาหารว่างของคุณดำเนินไปด้วยดีมากเลย!”

หากไม่มีเงินทุนเดิมคงไม่มีทางเปิดร้านได้ยี่สิบกว่าแห่งในคราวเดียวกันหรอก

“เมืองอาหารว่างธุรกิจดีก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายเยอะครับ เทียบกับบริษัทใหญ่ ๆ แล้วของผมมันก็แค่เรื่องเล็กน้อย”

“คุณพูดถูกครับ หลายปีมาค่าเช่าร้านในเมืองหลวงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก”

ชวี่จือป๋ายรู้เรื่องนี้ดี และเป็นเรื่องที่ไม่อาจโต้แย้งได้

สามปีก่อนค่าเช่าเพิ่งจะอยู่ที่หนึ่งร้อยหยวน เดี๋ยวนี้เงินเพียงหกเจ็ดร้อยยังไม่พอด้วยซ้ำ

ไม่ว่าค่าเช่าจะเพิ่มขนาดไหนก็ไม่น่าเช่าร้านเล็ก ๆ แบบนี้เลยนี่

ในฐานะนักข่าว ชวี่จือป๋ายเชื่อว่านั่นไม่ใช่เหตุผลของซูซื่อเจี่ยนเป็นแน่

“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามคุณซูว่า คุณได้พิจารณาให้ลูกค้านั่งดื่มชาที่ไหนหรือครับ?”

ชวี่จือป๋ายถามอย่างไม่อ้อมค้อม

“ผมเป็นนักธุรกิจย่อมมุ่งหวังที่ทำกำไรอยู่แล้วครับ แน่นอนเรื่องที่นั่งของลูกค้าก็เช่นกัน”

ชวี่จือป๋ายตื่นเต้นทันที จนแววตาแทบเป็นประกายในทันที

“คุณซูช่วยเจาะจงอีกนิดหนึ่งได้ไหมครับ?” ชวี่จือป๋ายถือสมุดปากกาเตรียมจดข้อมูล

แต่ซูเสี่ยวซื่อกลับบอกว่า “ขอเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก่อนได้ไหมครับ เดี๋ยวทุกคนจะได้รู้เมื่อถึงวันเปิดร้านในวันอาทิตย์เอง”

ซูเสี่ยวซื่อไม่ตั้งใจจะตอบ

หาได้ยากที่มีคนมาขอสัมภาษณ์ ถ้าบอกหมดจะไปมีความหมายอะไรล่ะ?

คนเรามีความอยากรู้อยากเห็น ฉะนั้นก็ต้องปล่อยให้ความสงสัยนั้นค้างคาต่อ เพื่อกระตุ้นความสนใจ

ซูเสี่ยวซื่อเข้าใจเรื่องนี้ดี

แม้แต่ชวี่จือป๋ายยังตื่นเต้นไม่น้อย

“คุณซูแอบบอกนิดหนึ่งไม่ได้หรือครับ?”

“เดี๋ยวผมเซอร์ไพรส์ในวันนั้นทีเดียวครับ รับประกันได้เลยว่าทุกคนจะต้องพึงพอใจครับ!” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง

นั่งดื่มชานมไม่ได้มีอะไรวิเศษวิโส แต่ถ้าเราหิ้วถือไปไหนมาไหนได้หลายคนน่าจะชอบแน่

ชวี่จือป๋ายจึงทำได้แค่ถามเรื่องอื่นแทน

ซูเสี่ยวซื่อให้ความร่วมมือดีมาก กว่าหนึ่งชั่วโมงที่นักข่าวชวี่ดื่มชาไปหลายแก้ว ดูเหมือนพวกเราจะเข้ากันได้ดีไม่น้อย

“คำถามสุดท้ายนะครับ ทำไมถึงใช้ชื่อ ‘ซูเสี่ยวเม่ย’(น้องซู) เป็นชื่อร้านครับ?”

นี่เป็นคำถามที่ชวี่จือป๋ายอยากรู้มาก เพราะชื่อ ‘ซูซื่อเจี่ยน’ ไม่ได้เกี่ยวโยงอะไรกับ ‘ซูเสี่ยวเม่ย’(น้องซู) เลย

แต่จากข้อมูลที่ได้มา เจ้าของร้านมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

“เพราะครอบครัวผมมีน้องสาวเป็นคนที่สิบครับ เธอคิดค้นชานมขึ้นมา เพราะเป็นน้องคนสุดท้ายผมก็เลยตั้งชื่อว่า ‘ซูเสี่ยวเม่ย’ ครับ!”

ใบหน้าของชายหนุ่มฉายแววภาคภูมิใจ

มีหรือที่ชวี่จือป๋ายจะมองไม่ออก

ไม่รู้ว่าเป็นเด็กยังไงหนอ

เพราะแค่ตัวคุณซูเองยังเก่งขนาดนี้ แล้วการที่น้องสาวเขาคิดค้นชานมขึ้นมาจนเป็นกระแสได้จะต้องเก่งมากเช่นกัน

“ไม่รู้ว่าจะเป็นเกียรติหรือไม่หากได้พบกับน้องสาวของคุณซู ผมเชื่อว่าคุณหนูท่านนี้จะต้องเป็นคนที่เก่งมากเช่นกันครับ”

คำพูดของชวี่จือป๋ายโดนใจซูเสี่ยวซื่อมาก ชายหนุ่มถึงกับร่าเริงขึ้นมาทันใด น้ำเสียงแตกต่างไปจากช่วงสัมภาษณ์โดยสิ้นเชิง

“น้องสาวผมเก่งมาก ๆ เลยครับ เธอเคยเป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจิ่งเฉิง แล้วต่อมาก็ได้เข้าเรียนที่นี่ครับ”

นักช่าวชวี่นึกถึงใครบางคน

“หรือว่าน้องสาวที่คุณซูพูดถึงจะชื่อซูเสี่ยวเถียน?”

“คุณเดาถูกได้ยังไงครับเนี่ย?” ถึงคราวที่ซูเสี่ยวซื่อต้องประหลาดใจแทน

เขาพูดถึงน้องนิดเดียวเอง เดาออกได้ยังไงกัน?

น้องเล็กมีชื่อเสียงขนาดนั้นเลยหรือ?

“ผมเองก็จบจากจิ่งเฉิงครับ สมัยเรียนปีสามก็มีรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อซูเสี่ยวเถียน ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอคุณบอกเธอสอบได้อันดับหนึ่งเลยนึกออกครับ”

ถึงชวี่จือป๋ายจะเข้าเรียนเร็วกว่าซูเสี่ยวเถียนสองปี แต่เขาก็ชื่นชมเด็กคนนี้ไม่น้อย

ถามว่าทำไมน่ะหรือ?

เพราะเจ้าตัวเรียนภาษาจีนแต่ความสามารถรอบด้าน เป็นแสงสว่างของคณะเลย!

ไม่คิดเลยว่าคุณหนูท่านนี้จะเป็นเพื่อนร่วมคณะของเรา

ก่อนหน้านี้เคยได้ยินว่าเด็ก ๆ ตระกูลซูเรียนมหาวิทยาลัยกันหมดเลย แถมเรียนแต่ที่ดี ๆ ทั้งนั้น

งั้นคุณซูเองก็คงไม่ต่างกัน

นักธุรกิจที่มีการศึกษาสูง ไม่แปลกใจว่าทำไมพัฒนาได้ไวขนาดนี้

ความรู้คือพลัง ความรู้คืออนาคต!