เล่ม 1 ตอนที่ 298-2 ฉีกอกท่านเขย (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 298-2 ฉีกอกท่านเขย (2)

เฉียวเวยเลิกคิ้วเล็กน้อย “ท่านเขยฉินอยากรู้รึไม่ว่านางพูดว่าอะไรบ้าง”

ท่านเขยฉินหลุบตา “ในใจนางโกรธแค้นข้า โกรธแค้นจนอยากให้ข้าตายๆ ไปเสีย นางย่อมไม่พูดอะไรดี ๆ ถึงข้าแน่นอน เจ้าอย่าได้หลงกลนางจะดีกว่า”

เฉียวเวยลูบคาง “น่าแปลก นางไม่ได้เป็นอนุนอกบ้านของท่านเขยหรอกหรือ นางควรจะรักชอบท่านเขยมากถึงจะถูก เหตุใดจึงโกรธแค้นท่านได้เล่า”

ท่านเขยฉินกำมือแน่น “นาง…ระหว่างข้ากับนางเคยเกิดเรื่องคลางแคลงใจกันมาก่อน ครั้งนี้จากกันไม่ดี หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าจะรับนางมาอยู่ในจวนให้ได้ นางคงกลับบ้านนางไปแล้ว”

เฉียวเวยเพียงยิ้ม “จากกันไม่ดีแต่ตอนลูกนางป่วย ท่านเขยก็ยังอยู่เป็นเพื่อนนางทั้งคืน ท่านเขย ท่านคิดจะหลอกใครหรือ”

ท่านเขยฉินถอนหายใจ “เสี่ยวเวยเจ้ายังเด็ก มีหลายเรื่องที่เจ้ายังไม่เข้าใจ ที่ข้าปฏิบัติต่อนางเช่นนั้นก็เพราะเห็นว่าดีร้ายอย่างไรนางก็เคยอยู่กับข้า ไม่อยากให้นางจากไปอย่างน่าเศร้าเกินไป”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “ท่านเขย ที่นี่ไม่ได้มีคนอื่นอยู่ ท่านจะลำบากหลอกข้าไปไย”

ท่านเขยฉินทำหน้าจริงจัง “เสี่ยวเวย ใจคนนั้นโหดร้าย จะเชื่อใจใครง่ายๆ ไม่ได้ เจ้าอย่าได้ถูกนาง…”

เฉียวเวยคลี่ยิ้มบาง “แม้แต่ท่านข้าก็ยังเคยเชื่อมาแล้ว ยังมีใครที่จะเชื่อได้อีก”

สีหน้าท่านเขยฉินดูเสียใจ “เสี่ยวเวย ข้ายอมรับว่าเรื่องในครั้งนี้เป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรไปมาหาสู่กับสตรีนางอื่นลับหลังท่านน้าเจ้า ข้าทำผิดต่อท่านน้าเจ้าและทำผิดต่อลูกทั้งสองด้วย ต่อให้ข้าตายเป็นร้อยครั้งก็ไม่อาจชดเชยความผิดที่ข้าเคยทำมาได้ เพียงแต่… หากข้าตายไปจริงๆ ท่านน้าเจ้าก็จะไร้ซึ่งสามี น้องชายน้องสาวเจ้าก็จะไม่มีบิดา ข้าไม่อาจละทิ้งไม่สนใจพวกเขาได้ ข้าทำผิดต่อพวกเขา ข้าต้องใช้ชีวิตที่เหลือของข้าชดเชยสิ่งที่ข้าติดค้างพวกเขาไว้ ครั้งนี้ข้าจะไม่ทำอะไรที่ผิดต่อท่านน้าเจ้าอีกแล้ว”

หากไม่ใช่เพราะเฉียวเวยรู้เช่นเห็นชาติเขาแล้ว น่ากลัวว่านางคงถูกคำพูดที่ซาบซึ้งกินใจของเขากล่อมเข้าให้แล้วจริงๆ “ท่านเขย ที่ท่านอยากอยู่ในบ้านตระกูลจีต่อเป็นเพราะท่านต้องการชดเชยความผิดหรือเพราะมีเป้าหมายที่บอกใครไม่ได้กันแน่”

ท่านเขยฉินบอกว่า “เสี่ยวเวย เจ้าพูดเหลวไหลอะไรน่ะ”

เฉียวเวยบอกว่า “สวินหลันไม่เคยยอมรับว่านางมีคนคอยช่วยเหลือ ข้าคิดว่านางโกหกมาตลอด แต่วันนี้ดูท่านางคงจะไม่มีจริงๆ ท่านไม่ใช่พวกเดียวกับนาง ท่านเป็นคนร้ายที่ทำร้ายนาง การหมั้นหมายทั้งสามครั้งของนางเป็นท่านที่ทำลายมันลงทั้งหมด ความบริสุทธิ์ของนางก็ถูกท่านแย่งชิงไป ที่นางต้องหลบเข้ามาอยู่ในตระกูลจีก็เพราะถูกท่านบังคับ เพียงแต่บางครั้งคนร้ายก็ถูกใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน หากท่านไม่ได้ให้นางแบกรับชื่อเสียงว่ามีดวงกินสามี นางจะมาพึ่งพ่อสามีข้าได้อย่างไร แต่แท้จริงแล้วในใจนางมีใครอยู่ ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้ากระมัง อยู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนที่จะถึงวันมงคลสมรส หมิงซิวกับท่านพ่อข้าตกลงไปในหุบเขา ทั้งยังเจอคนกลุ่มหนึ่งไล่สังหาร เป็นฝีมือท่านใช่หรือไม่ ท่านเขย”

สายตาท่านเขยฉินเต็มไปด้วยความน่างสาร “เสี่ยวเวยเจ้าอย่าได้พูดเหลวไหล”

เฉียวเวยพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่หวั่นไหวจากสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่ายสักนิด “บ้านตระกูลจีมีหนอนบ่อนไส้ ลักขโมยเอาผลสองภพออกไปก็คงเป็นฝีมือท่านเช่นกันกระมัง ท่านเขยอย่าเพิ่งรีบร้อนจะปฏิเสธ เวลานั้นข้าซ่อนอยู่ใต้เตียงนั้นเอง สิ่งที่นายบ่าวสนทนากัน ข้าได้ยินทุกคนไม่มีตกหล่น พวกนางบอกว่า…เจ้าก็คือฉางเฟิงสื่อ

ท่านเขยฉินค่อยๆ ยกศีรษะขึ้น สายตาหยุดมองที่ใบหน้าเฉียวเวย ครานี้นัยน์ตาเขาไม่เหลือแววอบอุ่นอยู่อีก

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “มีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่ ท่านเขย”

ท่านเขยฉินจ้องหน้าเฉียวเวยเขม็ง นัยน์ตามีประกายดูแคลน “เจ้ามีหลักฐานหรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักรออยู่ข้างนอกจนดอกไม้ใกล้จะแห้งเหี่ยวเต็มที ในที่สุดเฉียวเวยก็เดินออกมาจากเรือนสี่ เขาสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหา “ไอสารเลวนั่นว่าอย่างไรบ้าง สารภาพหรือไม่ว่าเป็นฝีมือมัน”

เฉียวเวยตอบเรียบๆ “สารภาพแล้ว”

ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันตาเป็นประกาย “เช่นนั้นยังไม่รีบไล่มันออกไปอีก?!”

เฉียวเวยมองอีกฝ่ายอย่างพูดไม่ออก “จะกล่าวหาอะไรใครก็ต้องมีหลักฐาน”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “ก็แค่ไล่ใครคนหนึ่งออกไปเท่านั้น เหตุใดถึงได้ยุ่งยากเพียงนี้”

เฉียวเวยมองค้อนอีกฝ่ายทีหนึง “คนที่เจ้าไล่ไม่ใช่หมาใช่แมวที่ไหนเสียหน่อย เป็นสามีของท่านน้าเจ้าเชียวนะ ต้องมีหลักฐานแน่นหนาถึงจะลากเขาลงมาให้จมดินได้!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกัดฟันกรอด “หากอาต๋าเอ๋อร์อยู่ที่นี่ก็ดีหรอก ข้าจะให้อาต๋าเอ๋อร์เอามีดปาดคอเขาเสีย! แค่นี้ก็ไม่ต้องวุ่นวายแล้ว!”

เฉียเวยกอดอกมองประเมินเขาขึ้นลงทีหนึ่ง “เจ้าคิดว่าวรยุทธ์ของอาต๋าเอ๋อร์กับแม่นางที่เจ้าหลับนอนด้วยใครแข็งแกร่งกว่ากัน”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเบือนหน้าหนี ไม่ยอมตอบ

เฉียวเวยหัวเราะเรียบๆ แล้วหมุนตัวเดินไปทางประตูเล็ก

ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว “นี่ เจ้าจะไปไหนอีกน่ะ”

เฉียวเวยตอบโดยไม่หันกลับมามอง “ไปหาพี่ใหญ่เจ้าน่ะสิ จะไปบอกเขาเรื่องหนอนบ่อนไส้ เขามีวิธีหาหลักฐานมาให้ได้”

หึ ไอเจ้านั่นน่ะหรือจะมีทาง

ใต้เท้าเจ้าสำนักพึมพำกับตนเอง เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเฉียวเวยเดินไปไกลแล้ว “เจ้า… เจ้ารอข้าด้วย!”

เฉียวเวยมีหรือจะรอ

ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินหน้าบึ้งตามไป แต่ก็จนใจที่นางเดินเร็วเหลือเกิน เขาเดินตามไม่ทันเลยออกวิ่งเสียเลย เขาวิ่งเร็วจนขาแทบพันกันถึงไล่ตามเฉียวเวยที่เดินเร็วราวกับจะบินได้ทัน เขาหอบแฮ่กๆ ขณะเอ่ยว่า “ข้า…ข้าให้เจ้ารอก่อน… เจ้า…เจ้าหูหนวกเหรอ!”

เฉียวเวยเอามือไพล่หลัง เลิกคิ้วปรายตามองอีกฝ่าย “ขี้เหงาจริงนะ”

ใคร ใครๆๆๆๆ…ใครขี้เหงา?!

เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักออกจากบ้านตระกูลจีไปขึ้นรถม้ามุ่งหน้าสู่วังหลวง อีกด้านหนึ่งจีหว่านเองก็ขึ้นนั่งรถม้า แต่กลับมุ่งหน้าไปบ้านตระกูลจี

รถม้าเพิ่งเคลื่อนตัวไปถึงปากประตูก็เจอเข้ากับหลีซื่อที่เพิ่งกลับมาจากบ้านเดิมพอดี

หลีซื่อนั่งอยู่ในรถม้าของตน เลิกผ้าม่านขึ้นมองไปทางรถม้าของจีหว่าน นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “เอ๋ นั่นไม่ใช่รถม้าของพี่สะใภ้ใหญ่หรือ พี่สะใภ้ใหญ่จะออกไปข้างนอก?”

จีหว่านอุตส่าห์รอจนหลินฮูหยินนอนกลางวันแล้วถึงได้แอบออกมา ใครจะรู้ว่าจะถูกหลีซื่อขวางเอาไว้ได้ จึงเอ่ยขึ้นทันทีอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าจะออกไปซื้อของหน่อย”

หลีซื่อเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พี่สะใภ้จะซื้ออะไรหรือ ให้บ่าวออกไปซื้อให้เถิด เจ้ากำลังตั้งท้องหลานหัวแก้วหัวแหวนของท่านแม่อยู่ จะให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นไม่ได้”

จีหว่านเอ่ยด้วยความดูแคลน “จะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรกับข้าได้”

หลีซื่อยิ้มอมยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่กลับไปก่อนจะดีกว่า หากท่านแม่รู้เข้าคงจะไม่พอใจนัก”

จีหว่านเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าไม่ใช่นักโทษเสียหน่อย! ทำไมข้าจะออกไปไหนมาไหนไม่ได้”

หลีซื่อพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “พี่สะใภ้ใหญ่คลอดบุตรแล้ว จะออกไปไหนก็ย่อมได้ แต่ช่วงหลายเดือนนี้ ท่านรอคลอดอยู่ในบ้านอย่างสงบจะดีกว่า”

จีหว่านยิ้มเยาะ “หลีหมิ่นซู ข้าจีหว่านจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า หากเจ้าเก่งนักก็เอาเรื่องข้าไปฟ้องเสียตอนนี้เลยสิ แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อน ญาติฝ่ายบ้านเดิมเจ้าเพิ่งเข้าไปทำงานในตำแหน่งต่ำต้อยสักตำแหน่งในศาลต้าหลี่ ตำแหน่งนี้พี่เขยเจ้าเป็นคนหาให้ พี่เขยเจ้าให้เจ้าได้ก็ย่อมต้องเอาคืนได้ หากไม่อยากให้จานข้าวของญาติเจ้าปลิวหายไปก็หุบปากให้สนิทเสีย!”

หลีซื่อพ่ายแพ้กลับไป

หลีซื่อรู้ว่าจีหว่านไม่ได้ไปหาซื้อของแต่จะกลับไปหาน้องชายที่หายสาบสูญไปหลายปี เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร น้องชายใครหายไปแล้วได้กลับมาพบเจออีกครั้งก็นับเป็นเรื่องน่ายินดีทั้งสิ้น คนเป็นพี่สาวย่อมต้องกลับไปเยี่ยมเยียน แต่จีหว่านกำลังตั้งครรภ์อยู่ หลินฮูหยินกลัวว่าครรภ์นางจะได้รับการกระทบกระเทือน จึงให้นางอยู่แต่กับบ้าน

ครรภ์ของจีหว่านจะเป็นอย่างไรหลีซื่อหาได้สนใจไม่ แต่การได้เห็นจีหว่านอัดอั้นตันใจทำให้นางอารมณ์ดียิ่งนัก นางถึงได้เอ่ยปากห้ามเอาไว้สักหน่อย

แต่ที่จีหว่านพูดก็ถูก โชคชะตาของตระกูลบ้านเดิมนางอยู่ในมือหลินซูเยี่ยน นางอย่าได้ทำให้จีหว่านไม่พอใจจะดีกว่า

รถม้าของจีหว่านเคลื่อนผ่านรถม้าของหลีซื่อไป

จู่ๆ น้องชายลูกพี่ลูกน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ หลีซื่อก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่ เมื่อไรข้าจะได้พบท่านพ่อข้าหรือ”

เสียงนี้…

สายตาจีหว่านพลันสั่นไหว “หยุดรถ!”

รถม้าหยุดนิ่ง

จีหว่านลงจากรถม้าเดินเข้าไปที่รถม้าของหลีซื่อ นางเปิดผ้าม่านออก

หลีซื่อสะดุ้งตกใจ “เจ้าทำอะไรน่ะ”

จีหว่านหันไปมองเด็กหนุ่มที่อายุราวๆ สิบสามสิบสี่ปี “เจ้าเป็นใคร”

เด็กหนุ่มตอบอึ้งๆ ว่า “ข้าคือหลีอัน”

น้ำเสียงนี่แหละ!

ตอนนั้นน้ำเสียงที่นางได้ยินก็คือเสียงในช่วงแตกหนุ่มเช่นนี้!

จีหว่านกลับไปขึ้นนั่งรถม้า “ไปบ้านตระกูลจี!”

ไม่นานรถม้าก็มาถึงบ้านตระกูลจี

จีหว่านเหยียบเก้าอี้ลงจากรถม้าแล้วตรงปรี่ไปยังบ้านชิงเหยียนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอเข้าไปในห้องสาวใช้พากันทำความเคารพ นางไม่แม้แต่จะมอง ตรงไปยังห้องที่ปกติเฉียวเวยจะนั่งอยู่แล้วพูดโพล่งขึ้นทันทีว่า “เสี่ยวเวย! เสี่ยวเวยข้านึกออกแล้ว! ตอนนั้นคนที่บอกว่าน้องชายไม่ได้ร้องไห้ตอนอยู่ในโถงทำพิธีงานศพเป็นเสียงของเด็กคนหนึ่ง! อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี! เป็นเด็กหนุ่ม!”

“เด็กหนุ่มอะไรหรือ” ท่านเขยฉินเอ่ยเสียงเรียบพลางหมุนตัวกลับมา