ตอนที่ 303-2 รับกรรมที่ตนก่อ ให้บทเรียนจีซวง (1)
ท่านเขยฉินบังคับรถม้าไปยังบ้านหลังหนึ่งภายในเมืองที่ไม่เป็นที่สังเกตสักนิด หลังจากจอดรถม้าเรียบร้อยแล้วเขาก็หันไปเลิกผ้าม่านแล้วยื่นมือไปประคองจีซวง
จีซวงปัดมือเขาออก “อย่าแตะต้องข้า!”
ท่านเขยฉินระบายยิ้มรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะซวงเอ๋อร์ เมื่อครู่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปเลยไม่ทันได้หารือกับเจ้าก่อน ข้าไม่ได้ตั้งใจจะจับเจ้าเป็นตัวประกัน เพียงแค่อยากหาทางเอาตัวรอดออกมาให้ได้เท่านั้น เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
จีซวงมีอายุมาจนถึงป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกคนจับเป็นตัวประกัน ซ้ำคนร้ายยังเป็นสามีที่ใช้ชีวิตร่วมกับตนมากว่ายี่สิบปีเสียอีก นางเกือบสติแตกไปแล้วแต่เขากลับมาบอกว่าอะไรนะ ไม่ได้ตั้งใจ?
“เจ้ากระซิบบอกข้าหน่อยจะเป็นไรไป คิดว่าข้าจะไม่ให้ความร่วมมือเจ้าหรือ” จีซวงเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี
ท่านเขยฉินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องให้ความร่วมมือข้าแน่ แต่เจ้าใสซื่อเกินไป เจ้าแสดงท่าทางให้คนเชื่อไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้บอกเจ้าในตอนนั้น”
จีซวงทำเสียงหึเย็นๆ
ท่านเขยฉินเอ่ยปลอบเสียงอ่อนว่า “เอาล่ะซวงเอ๋อร์ ลงจากรถเถิด รถม้าคันนี้เป็นของตระกูลจี คนตระกูลจีจะพบเห็นได้ง่ายๆ พวกเราต้องเปลี่ยนชุดสำหรับออกเดินทางกันสักหน่อย”
จีซวงไม่เข้าใจ “พวกเรา? ข้ายังต้องไปกับเจ้าอีกหรือ”
ท่านเขยฉินบอกเสียงอ่อนว่า “ซวงเอ๋อร์ พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นข้าไม่อาจอยู่ที่ต้าเหลียงต่อไปได้แล้ว ข้าเพียงอยากอยู่กับเจ้าให้มากอีกสักนิดก่อนที่ข้าจะไปจากที่นี่ เจ้าไปส่งข้าถึงชายแดนไม่หรือไม่”
“เจ้าจะไปที่ใด” จีซวงถาม
“ข้าจะลงใต้” ท่านเขยฉินบอก
เจ้าจะไปหนานฉู่หรือ” แคว้นทางใต้ที่จีซวงนึกออกก็มีเพียงหนานฉู่เท่านั้น
สายตาท่านเขยฉินพลันเป็นประกาย “…ใช่น่ะสิ ข้าจะไปหนานฉู่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเดิมทีบ้านข้าก็อยู่ทางใต้น่ะ ที่นั่นข้าก็ยังพอมีคนรู้จักอยู่ ไว้ไปถึงตรงนั้นลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะรับเจ้ากับลูกไปอยู่ด้วย เจ้ายินดีไปตกระกำลำบากร่วมกับข้าหรือไม่ ซวงเอ๋อร์”
จีซวงมีท่าทีลังเล “ข้า…ข้าไม่อยากห่างกับคนในบ้านข้า”
ท่านเขยฉินเอ่ยอย่างใจดีว่า “ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าต้องตัดสินใจในเวลานี้ เจ้าค่อยๆ คิดเถิด”
“อื้อ” จีซวงพยักหน้าเรียบๆ
เมื่อถูกท่านเขยฉินหว่านล้อมเช่นนี้จีซวงจึงลืมเอาเรื่องเขาที่จับตนเป็นตัวประกันไปเสียสนิท นางตามเขาลงจากรถม้า มีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่กำยำสี่คนเดินออกมาจากในบ้าน พวกเขาใช้ภาษาถิ่นที่จีซวงฟังไม่เข้าใจพูดคุยบางอย่างกับท่านเขยฉิน จีซวงรู้สึกคล้ายว่าตนเป็นคนนอก นางอยากกลับบ้าน แต่พอคิดว่านี่อาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ได้อยู่กับเขา นางก็รู้สึกว่าตนควรใช้เวลาช่วงนี้ให้ดี
บุรุษร่างกำยำทั้งสี่ลากรถม้าสองคันออกมาจากลานด้านหลัง จีซวงกับท่านเขยฉินไปด้วยกันคันหนึ่ง สารถีเป็นหนึ่งในบุรุษกำยำสี่คนนั้น ส่วนอีกสามคนไปกับรถม้าอีกคันหนึ่ง
เวลานี้ประตูเมืองลงดานเรียบร้อยแล้ว ต้องรอให้ฟ้าสว่างก่อนถึงจะออกน้องเมืองได้ แต่เพื่อให้กลบหลักฐานการเดินทางได้ดียิ่งขึ้น พวกเขาจึงออกจากบ้านหลังนั้นไปหาโรงเตี๊ยมที่ไม่เป็นที่สะดุดตาเพื่อหลับนอนในคืนนี้
จีซวงไม่เคยนอนบนเตียงที่สภาพซอมซ่อเช่นนี้มาก่อน
ฉินปิงอวี่ดึงนางมากอด เอาผ้าห่มที่ส่งกลิ่นราคลุ้งมาคลุมตัวให้ “ทำให้เจ้าลำบากแล้วซวงเอ๋อร์”
จีซวงอิงซบอยู่กับอกสามี สูดดมกลิ่นบนตัวเขาที่ทำให้คนลุ่มหลง “ขอเพียงได้อยู่กับเจ้า ลำบากแค่ไหนข้าก็ทนได้”
ฉินปิงอวี่เหลือบมองยอดผ้าม่าน แววตามีเพียงความเย็นชา
…
เช้าตรู่วันต่อมา คณะของฉินปิงอวี่นั่งรถม้าออกนอกเมือง ตรงปากประตูมีภาพเหมือนของเขาแปะอยู่ แต่เพราะเขาถูกซ้อมเสียจนหน้าตายับเยิน จึงมีภาพแขวนอยู่สองภาพ ภาพหนึ่งเป็นรูปลักษณ์เดิมของเขา อีกภาพหนึ่งเป็นสภาพเขาในเวลานี้
องครักษ์ตีฆ้องร้องป่าว “ท่านเขยตระกูลจีถูกคนลักพาตัวไป พี่น้องชาวบ้านคนใดพบเห็นท่านเขยตระกูลจี ต้องรีบมาแจ้งแก่พวกเรา! หากให้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ จะมีรางวัสให้หนึ่งพันตำลึง!”
ชาวบ้านเลยเข้ามารุมดูกันยกใหญ่
แค่ให้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ก็ให้รางวัลหนึ่งพันตำลึง ไม่เสียแรงที่เป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งแห่งต้าเหลียงจริงๆ ช่างใจใหญ่ดีเหลือเกิน!
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงออกไปไม่ได้แล้ว ท่านเขยฉินให้ลูกน้องหาซื้อของสำหรับแปลงโฉมมา แล้วจัดการแปลงโฉมตนเองให้กลายเป็นชายชราหนวดขาวอายุหกสิบกว่าปี ฝีมือการแปลงโฉมนี้ไม่นับว่าแนบเนียน แต่หากแค่ให้พวกองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเมืองดูก็นับว่าเหลือเฟือ
คณะของพวกเขาเลยออกจากเมืองกันได้สำเร็จ
ตอนออกนอกเมืองเกิดเหตุไม่คาดหมายเล็กๆ ขึ้นเหตุการณ์หนึ่ง นั่นคือฉินเฉียวไปอยู่แถวนั้นด้วย ดูจากท่าทางแล้วก็เตรียมที่จะออกนอกเมืองเช่นกัน นางหาซื้อบ่าวมาสองคน ไปเข้าพักอยู่ในโรงเตี๊ยมใกล้ๆ กับประตูเมือง สาวใช้คอยดูแลถงเกอร์อยู่ในโรงเตี๊ยม ส่วนนางลงมาหาซื้อของใช้จำเป็นระหว่างเดินทาง แต่พอออกมาจากร้านนางก็ถูกฉินปิ่งอวี่จับตัวไว้
ฉินปิงอวี่จัดการลากตัวฉินเฉียวขึ้นรถม้าอีกคันหนึ่งแล้วสกัดจุดชีพจรใบ้เอาไว้
แล้วคณะของพวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อ
พอออกมานอกเมือง พื้นที่โล่งกว้าง ผู้คนบางตา จึงไม่จำเป็นต้องระวังตัวแจเช่นเดิมอีก จีซวงเลิกผ้าม่านหน้าต่างรถออกไปมองด้านนอก หางตาเหลือบมองไปยังรถม้าคันที่อยู่ข้างหลัง เห็นเพียงผู้คุ้มครองสองคนที่ควรนั่งอยู่ด้านใน กลับขี่ม้าคนละตัวประกบอยู่ด้านข้างรถม้าเสียแล้ว นางถามด้วยความงงงวยว่า “ท่านพี่ เหตุใดพวกเขาถึงไม่นั่งรถม้าแล้วเล่า”
ท่านเขยฉินตอบว่า “เช่นนี้จะได้คอยระมัดระวังได้ดีอย่างไร”
จีซวงถามด้วยความไม่เข้าใจ “แต่ถ้าพวกเขาไม่นั่ง ในรถม้าก็ว่างลงแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องลากรถม้าว่างๆ ไปกับเราด้วย”
ท่านเขยฉินตอบหน้าตาเฉยว่า “เผื่อระหว่างทางเกิดเหตุอะไรขึ้นอย่างไร มีรถม้ามากไว้ก่อนอีกคันหนึ่งอย่างไรก็ดีกว่า”
“อย่างนั้นหรือ” จีซวงไม่เข้าใจแผนการรับมือศัตรูอะไรทั้งสิ้น แต่นางคิดว่าขอเพียงเป็นสิ่งที่สามีนางพูด จะต้องถูกต้องแน่นอน
ภาพเหมือนของท่านเขยฉินถูกติดประกาศไปทั่วทุกที่ ถึงแม้จะแปลงโฉมแล้วแต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะมีคนพบเห็น ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะเข้าพักในโรงพักม้า จำต้องกางกระโจมหน้าตาเรียบง่ายสองหลังลงกลางแจ้งเท่านั้น
พวกเขากินเนื้อตากแห้งกับน้ำดื่มเย็นๆ จากบ่อน้ำ
จีซวงนึกรังเกียจจึงไม่ยอมกิน
ท่านเขยฉินเกลี้ยกล่อมนางว่า “เชื่อข้านะ เดินทางอีกไม่กี่วัน พอไปถึงทางใต้ก็มีของดีให้กินแล้ว”
จีซวงเบือนหน้าหนี “ข้าอยากกินอาหารร้อนๆ! ไม่อยากกินของแห้งๆ พวกนี้!”
ผู้คุ้มครองที่ขับรถม้าให้พวกเขาพากับกระชับกริชตรงช่วงเอว
ท่านเขยฉินส่งสายตาบอกผู้คุ้มครองว่าอย่าได้ทำอะไรผลีผลาม ผู้คุ้มครองลดมือลง ท่านเขยฉินเอ่ยกลั้วยิ้มว่า “เช่นนั้นข้าจะไปจับปลาจากแม่น้ำมาให้เจ้ากิน!”
จีซวงพลันยิ้มแย้ม “ดีสิ!”
ท่านเขยฉินขยับลุกขึ้น ชั่วขณะที่หันหลังไป รอยยิ้มบนใบหน้ามลายหายไปจนหมดสิ้น สิ่งที่เข้ามาแทนที่มีเพียงความเย็นชาที่บาดลึกไปถึงหัวใจ
เขาไปที่บ่อน้ำจริงๆ และลงน้ำไปจับปลามาจริงๆ
ด้วยความเบื่อหน่าย จีซวงจึงเอากิ่งไม้มาเขี่ยกองไฟเล่น แต่แล้วจู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงกระแอมไอเบาๆ คิ้วนางพลันขมวด หันมองไปโดยรอบ
“แค่กๆ…”
เสียงไอต่ำๆ ดังออกมาจากกระโจมอีกหลังหนึ่ง
เป็นเสียงของสตรี!
จีซวงขมวดคิ้ว วางกิ่งไม้ในมือแล้วเดินไปทางกระโจมหลังนั้น
ผู้คุ้มครองสี่คน คนหนึ่งไปสำรวจเส้นทาง คนที่เป็นสารถีให้นางกับฉินปิงอวี่เวลานี้ไปงีบหลับอยู่บนรถม้า ส่วนอีกคนนั่งกินเนื้อตากแห้งอยู่บนพื้น ไม่มีใครสนใจจีซวงสักคน
จีซวงเดินเข้าไปเปิดผ้าม่านกระโจมออก จากนั้นนางก็ได้เห็นใบหน้าที่ต่อให้เปรอะเปื้อนไปด้วยขี้เถ้านางก็ยังจำได้ สายตานางพลันเปลี่ยนเป็นดุดัน “เป็นเจ้า?”
“แค่กๆ…” ฉินเฉียวไอออกมาอย่างรุนแรง อันที่จริงนางเริ่มไอตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว แต่ในเวลานั้นกำลังเร่งเดินทาง เสียงล้อรถกับเสียงเกือกม้าจึงดังกลบเสียงไอของนางไปหมด ทำให้จวบจนกระทั่งเวลานี้ที่ฟ้ามืดทุกอย่างสงบนิ่ง จีซวงถึงได้ยินเสียงไอของนางสักที
ไอเย็นยะเยือกพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้เท้าจีซวง “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ฉินเฉียวถูกสกัดจุดใบ้เอาไว้จึงไม่อาจส่งเสียงได้ นางเหลือบมองอีกฝ่ายเรียบๆ เปิดถุงน้ำแล้วยกขึ้นดื่ม
จีซวงปัดถุงน้ำนางตกพื้น เอ่ยด้วยความขุ่นเคืองว่า “ข้าถามเจ้าอยู่นะ! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
ฉินเฉียวไม่สนใจนาง หันไปเก็บถุงนางที่ถูกอีกฝ่ายปัดตกไป
จีซวงเตะถุงน้ำนั้นออกไปแล้วสะบัดมือตบหน้าฉินเฉียวให้ทีหนึ่ง!
ฉินเฉียวถูกตบจนหน้าหัน นางนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะใช้ปลายนิ้วเช็ดรอยเลือดตรงมุมปากพร้อมหันไปมองจีซวง
จีซวงตะคอกเสียงดุว่า “มองอะไร สามีข้าไม่ได้ไล่ตะเพิดเจ้าไปแล้วหรอกหรือ เหตุใดเจ้ายังกลับมาตอแยเขาอีก!”
ฉินเฉียวค่อยๆ ลุกยืนขึ้น มองหน้าจีซวงนิ่ง จีซวงถูกสายตาสงบนิ่งของอีกฝ่ายมองจนรู้สึกไม่ดีไปหมด นางยกมือขึ้นอีกครั้ง เตรียมจะตบอีกฝ่ายให้อีกสักที แต่ครั้งนี้มือนางกลับไปไม่ถึงใบหน้าอีกฝ่ายเพราะถูกฉินเฉียวจับเอาไว้เสียก่อน
เพี๊ยะ!
ฉินเฉียวสะบัดตบให้อีกทีอย่างไม่มีเกรงใจ! แรงกว่าก่อนหน้านี้ที่จีซวงตบนางเสียอีก แรงจนหน้าข้างหนึ่งของนางบวมเป่งขึ้นมาทันตา
จีซวงมองฉินเฉียวอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าตบข้า? เจ้ากล้าตบข้า?”
ฉินเฉียวไม่เพียงตบนาง แต่ยังจิกผมนางแล้วลากออกจากกระโจมไปโยนลงกับพื้นอีกด้วย!
“เจ้า…เจ้า…” จีซวงโกรธจนตัวสั่นไปหมด หันไปหาผู้คุ้มครองที่นั่งกินเนื้อตากแห้งอยู่แล้วบอกว่า “จับตัวนางเอาไว้!”
ผู้คุ้มครองไม่แม้แต่จะหันมองจีซวง
จีซวงเดือดจัด “ข้าให้เจ้าจับตัวนางไว้ไม่ได้ยินหรือ!”
ผู้คุ้มครองยังคงกินเนื้อตากแห้งต่อไปอย่างไม่สนใจ
ฉินเฉียวหมุนตัวเดินกลับเข้ากระโจม
จีซวงคว้าอะไรสักอย่างที่แม้แต่ตนก็ยังไม่รู้ติดมือมาได้ ก่อนจะโยนใส่ฉินเฉียวด้วยความโกรธเกรี้ยว
ผู้คุ้มครองฟาดฝ่ามือใส่จีซวงจนนางล้มฟุบลงกับพื้นพร้อมฟันที่หลุดออกมาหนึ่งซี่