ตอนที่ 306-2 ได้ประโยชน์สองต่อ จุดจบ (2)
ในศาลารับลมของอุทยานหลวง ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ฝูกงกงกางกระดานหมาก ต้มชาปี้หลัวชุน ฝ่าบาททรงดื่มสุรานมม้าจนเบื่อแล้ว และเห็นว่าใบชาของจงหยวนรถชาติดี ยิ่งดื่มก็ยิ่งถูกใจ
ฝูกงกงกำลังชงชา พอเห็นว่าจีหมิงซิวไม่รีบร้อนจะตอบ จึงถอยออกไปอย่างรู้งาน
ฮ่องเต้หันไปโบกมือให้นางกำนัลที่อยู่นอกศาลา ทุกคนจึงพากันล่าถอยออกไป
ฮ่องเต้จิบชาอึกหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ว่ามาเถิด ครานี้จะให้ข้าเช็ดก้นเรื่องอะไรให้เจ้าอีกล่ะ”
“กระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะกราบทูล แล้วเลยจะขอแสดงความยินดีต่อฝ่าบาทด้วย”
ฮ่องเต้แค่นสรวล “แสดงความยินดีกับข้า? ข้ามีเรื่องน่ายินดีอะไรให้เจ้าต้องแสดงความยินดีหรือ” พระองค์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้ารู้เรื่องที่หลี่เหม่ยเหรินตั้งท้อง?”
เมื่อคืนฮ่องเต้ไปบรรทมที่ตำหนักของหลี่เหม่ยเหริน เช้ามาก็ได้ยินเสียงหลี่เหม่ยเหรินอาเจียนแห้งๆ สองครั้ง จึงถามถึงรอบเดือนของนาง ถึงได้เดาว่านางอาจจะกำลังตั้งครรภ์ แต่ยังไม่ทันได้เชิญให้ท่านหมอมาตรวจดู เจ้าเด็กนี้คงไม่ได้รู้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเท่านี้กระมัง
จีหมิงซิวบอกว่า “กระหม่อมหาใช่คนในวัง จะรู้ได้อย่างไรว่าสนมนางใดท้องหรือไม่ท้อง อีกทั้งกระหม่อมก็ไม่ได้ชอบที่จะวางหูตาของตนไว้ข้างกายฝ่าบาทเสียด้วย”
“หึ” ฮ่องเต้เลิกพระขนง
จีหมิงซิวมองอีกฝ่ายขณะเอ่ยว่า “ที่กระหม่อมจะแสดงความยินดีกับฝ่าบาทเป็นเพราะกระหม่อมจับตัวสายลับของเยี่ยหลัวได้แล้ว”
“สาย สายลับเยี่ยหลัว?”
ฮ่องเต้ไม่ได้ยินชื่อเรียกนี้มานานแล้ว จึงตั้งตัวไม่ทันไปชั่วขณะ ในใต้หล้านี้ดูเหมือนจะไม่มีแคว้นที่ชื่อว่าเยี่ยหลัวนี่…
หลังจากอึ้งไปพักใหญ่ ฮ่องเต้ก็ทรงคิดออกเสียทีว่าเยี่ยหลัวที่จีหมิงซิวเอ่ยถึงนั้นคือสถานที่ใด พระองค์ตกพระทัยจนขมวดคิ้วมุ่น “เวลานี้ยังมีคนเยี่ยหลัวอยู่อีกหรือนี่”
ชนเผ่าเยี่ยหลัวกับชนเผ่าถ่าน่าเคยเป็นชนเผ่าใหญ่ที่น่าเกรงขามในหมู่โจวทั้งเก้าและชนเผ่าทั้งหนึ่งร้อยแปด หลังจากราชวงศ์เทียนฉี่ล่มสลายไป คนของชนเผ่าใหญ่ทั้งสองก็หายวับไปจากใต้หล้านี้ ในสายตาคนทั่วไป ชนเผ่าถ่าน่าถูกราชวงศ์เยี่ยหลัวกวาดล้างไปจนสิ้นแล้ว ส่วนคนเยี่ยหลัวนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรนัก ใต้หล้าแตกแยก กลุ่มผู้กล้าผุดขึ้นไปทั่วแห่ง เพื่อรักษาอำนาจของราชวงศ์ให้มั่นคง คนเยี่ยหลั่วจึงต้องประสบกับการถูกกวาดล้างเช่นกัน ดังนั้นฮ่องเต้จึงคิดมาตลอดว่าคนเยี่ยหลัวได้ตายกันไปหมดแล้ว
ทว่าหากแม้กระทั่งชนเผ่าถ่าน่ายังใช้ชีวิตอยู่บนเกาะนิรนามกันได้ เช่นนั้นการที่คนเยี่ยหลัวทิ้งสายเลือดของตนไว้ได้ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อะไร
“สายลับที่เจ้าจับได้อยู่ที่ใด” ฮ่องเต้ถามด้วยความร้อนพระทัยเล็กน้อย
จีหมิงซิวจิบชาเรียบๆ “อยู่ที่บ้านกระหม่อม”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่พาตัวมาด้วย” ฮ่องเต้ตรัสถาม แต่คล้ายคิดอะไรได้จึงดูชะงักไป “อย่าบอกข้านะว่า เป็นคนในตระกูลจีของพวกเจ้าอีกแล้ว!”
“ใช่คนในตระกูลจี”
“จีหมิงซิว!” ฮ่องเต้ทรงพิโรธ
มีคนจากชนเผ่าลึกลับขึ้นมาสองคนก็แล้วไปเถิด เหตุใดกระทั่งคนเยี่ยหลัวก็ไปเป็นคนในตระกูลเขาไปได้ มีมันเวรกรรมอะไรกันนี่!
“เป็นใครกัน” ฮ่องเต้กัดฟันขณะตรัสถาม
จีหมิงซิวตอบอว่าสงบนิ่งไม่ไหวติงว่า “ท่านเขยของกระหม่อม”
“เจ้าหนอนหนังสือนั่น?” ฮ่องเต้ตกพระทัยไปอีกครั้ง เจ้าหนอนหนังสือนั่นพระองค์ไม่เพียงเคยพบหน้าอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งยังท่าทางสงบนิ่งยิ่งกว่าสตรี ทำเสียพระองค์คิดว่าเขาขลาดกลัวยามอยู่ต่อหน้าจีซวง พอจีซวงบอกว่าเขาชอบกินอาหารของพ่อครัวคนหนึ่งด้วยความสงสารเขาก็ส่งตัวพ่อครัวคนนั้นไปให้จริงๆ ใครจะคิดว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการแสดง
พอคิดอะไรได้ ฮ่องเต้ก็ตรัสต่อว่า “หมิงเยี่ยคงไม่ได้ถูกเขาวางยาเสมือนตายหรอกกระมัง”
จีหมิงซิวพยักหน้า “ถูกต้อง เขานี่เอง”
สายพระเนตรฮ่องเต้ดูดุดัน “เจ้าคนสารเลว! เจ้าคิดจะจัดการมันอย่างไร”
จีหมิงซิวตอบไปตามจริงว่า “ทรมานเขาสักหน่อย ไว้ชีวิตเขาไว้ วันหน้ายังมีประโยชน์”
ฝ่าบาทพยักพระพักตร์ “เจ้าคิดไว้แล้วก็ดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดคนเยี่ยหลัวถึงต้องแทรกซึมเข้าไปในบ้านตระกูลจี”
หมิงซิวเอ่ยว่า “เพื่อให้ได้ชนเผ่าลึกลับ”
เนื้อติดมันอย่างชนเผ่าลึกลับนี้ ไม่ว่าใครก็อยากกลืนกินลงไปจริงๆ ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตรัสว่า “คนเยี่ยหลัวมีนิสัยชื่นชอบทำสงคราม มักใหญ่ใฝ่สูงยิ่งนัก เป้าหมายของพวกมันน่ากลัวว่าคงไม่ใช่เพื่อให้ได้ครอบครองชนเฝ่าลึกลับเท่านั้น”
ชนเผ่าลึกลับเป็นเพียงหินรองเท้าก้อนหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าคนเยี่ยหลัวคิดอยากใช้ชนเผ่าลึกลับในการฟื้นฟูแคว้น
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนเยี่ยหลัว” ฮ่องเต้ตรัสถาม
จึหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงานว่า “หมิงเยี่ยกับเสี่ยวเวยเป็นคนรู้เข้า หมิงเยี่ยได้ยินคนเยี่ยหลัวสองคนสนทนากัน จึงรู้ว่าในตระกูลจีมีสายลับอยู่ จีหว่านนึกเรื่องเมื่อตอนนั้นขึ้นมาได้ ฉินปิงอวี่พอรู้ก็คิดจะฆ่าจีหว่านเพื่อปิดปาก ทำให้ตัวตนของเขาเปิดเผยออกมาในที่สุด”
ฮ่องเต้ฟังไม่เข้าใจ “หว่านหว่านนึกเรื่องเมื่อตอนนั้นอะไรได้?”
จีหมิงซิว “จีหว่านได้ยินเสียงร้องไห้ของหมิงเยี่ยในโถงจัดพิธีศพ ฉินปิงอวี่บอกกับจีหว่านว่าน้องชายไม่ได้ร้องไห้ ตอนนั้นจีหว่านยังเด็กเกินไป จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูด ครั้งนี้เพราะเกิดเหตุบังเอิญขึ้นถึงได้นึกขึ้นได้”
ฮ่องเต้อึ้งงันไป “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หว่านหว่านไม่เป็นอะไรกระมัง”
จีหมิงซิววางถ้วยชาลง “แค่ตกใจเล็กน้อยเท่านั้น”
ฮ่องเต้ถอนพระทัยยาว นิสัยของจีหว่านไม่ได้รับสืบทอดมาจากเจาหมิง แต่เรื่องรูปลักษณ์ยังมีส่วนคล้ายอยู่หลายส่วน ทุกครั้งที่ได้เห็นจีหว่าน เขามักนึกถึงเจาหมิงที่ตนลำบากตรากตรำกว่าจะเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ พอเจาหมิงไม่อยู่แล้ว นางก็ได้แต่มองจีหว่านแล้วนึกถึงลักษณะของเจาหมิงเท่านั้น
จีหมิงซิวหยิบตราคำสั่งอันหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
“นี่คือ…” ฮ่องเต้รับตรานั้นไปทอดพระเนตร ก่อนจะอึ้งงันไปทันที
จีหมิงซิวบอกว่า “ตราคำสั่งของฉางเฟิงสื่อ ฉินปิงอวี่ก็คือฉางเฟิงสื่อของเยี่ยหลัว ก่อนที่เสี่ยวเวยกับหมิงเยี่ยจะพบเงื่อนงำนี้ ท่านแม่ข้าก็รู้ถึงฐานะของเขาแล้ว ตราคำสั่งนี้น่าจะเป็นท่านแม่ข้าที่ได้มาจากฉินปิงอวี่ นางเก็บงำเรื่องนี้จากคนในตระกูล จนกระทั่งก่อนตายถึงได้เอาตราคำสั่งนี้มอบให้ท่านพ่อข้า”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ดูประหลาดไป “ตอนแม่เจ้ามอบตราคำสั่งนี้ให้กับพ่อเจ้า ได้บอกอะไรกับเขาบ้างหรือไม่”
“นางไม่ได้บอกอะไรเลย ดังนั้นท่านพ่อข้าจึงไม่เคยรู้ว่าตราคำสั่งฉางเฟิงสื่อนี้แท้จริงแล้วสื่อถึงอะไร และมีประโยชน์อย่างไร” จีหมิงซิวพูดพลางมองหน้าฮ่องเต้ เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายดูไม่สู้ดีจึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ฝ่าบาท พระองค์เป็นอะไรหรือ”
ฮ่องเต่หลุบพระเนตรลง ลูบตราคำสั่งในมือแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่ตกใจมาก…ตอนนั้นท่านแม่เจ้าเก็บงำเรื่องราวไว้มากมายเพียงนี้”